ตอนที่ 101 ระแวง
บุษย์น้ำเพชรเองก็คิดเช่นเดียวกับเวนไตย บางทีการทดสอบนี้อาจจะผิดพลาด แต่กระดาษอาคมและศิลาจ้าวอาคมที่ใช้ตรวจสอบนี้ หากเป็นอุปกรณ์ระดับทั่ว ๆ ไป เธอคงคิดจะทดสอบใหม่ แต่นี่เป็นสิ่งของที่มีคุณภาพเดียวกันกับที่ใช้ในสมาคมฮันเตอร์ต่อให้ไม่อยากเชื่อ เธอก็ปฏิเสธไม่ได้
“พอเถอะ เวนไตย จะตรวจสอบกี่ครั้ง ผลก็คงไม่ต่างจากเดิม”
“แต่คุณหนู...”
เวนไตยต้องการให้ผู้เป็นนายตัดสินใจใหม่อีกครั้ง แต่เขากลับถูกสายตาตำหนิตอบกลับมา ทำให้เขาได้แต่นิ่งเงียบ เก็บกดความคับแค้นไว้ในใจ ยิ่งเห็นท่าทางของเหนือภพที่ยักคิ้วหลิ่วตาให้กับเขา มันก็ยิ่งเติมเชื้อไฟในอกเขาให้โหมสะพัด
“ไม่มีอะไรกันแล้วใช่ไหม งั้น พวกเรามาคุยกันเรื่องค่าตอบแทนกันดีกว่า เจ้าก็เห็นแล้วนี่นาว่าระดับของข้ามากเพียงไหน”
ความจริงแล้วเหนือภพไม่รู้ว่าระดับของตัวเองมากจริงไหม แต่ดูจากสีหน้าของพวกเขา การที่ทุกคนแสดงออกว่าตกใจมาก ดังนั้นค่าตัวของเขาคงไม่ใช่น้อย ๆ
“เราจะคุยเรื่องนี้หลังจากจัดการเรื่องดาบมัจฉาสวรรค์ที่หายไปก่อน แล้วเราค่อยมาคุยกันอีกที เลิกประชุมได้”
สิ้นคำพูดขององค์หญิงทุกคนก็พาเดินกันออกจากที่ประชุม ใครมีธุระค้างคาอยู่ ก็แยกตัวไปทำหน้าที่ที่ตัวเองได้รับมอบหมาย หากใครไม่มีหน้าที่ก็แยกย้ายไปพักผ่อนตามอัธยาศัย ส่วนเหนือภพนั้นยังถือว่าเป็นคนขององค์หญิง ดังนั้นเขาจึงไม่มีงานอย่างอื่นทำ แต่เหนือภพก็ไม่เคยยอมให้ตัวเองเสียเปรียบ เขาทำเรื่องคาดไม่ถึงด้วยการขอกระดาษอาคมและหินจ้าวอาคมตรวจสอบที่เหลือมา เพื่อคอยใช้วัดระดับตัวเองเรื่อย ๆ แล้วอ้างว่าเพื่อประโยชน์แก่องค์หญิงเอง แม้บุษย์น้ำเพชรไม่อยากให้ แต่เธอก็ไม่อยากสูญเสียเหนือภพไป ดังนั้นเธอจึงไม่ปฏิเสธ ได้แต่ให้อุปกรณ์ทดสอบพลังราคาแพงไปอย่างไม่จำยอมนัก
หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันไป บนเส้นทางเดินที่เชื่อมระหว่างห้องประชุมกับเรือนรับรององค์หญิง
“คุณหนู ท่านไม่คิดว่ามันแปลก ๆ งั้นเหรอ ท่านพยายามอย่างมากที่พามันเข้าบ้านมาตลอด ทั้งเสนอเงิน ทรัพย์สิน ผู้หญิง เจ้านั่นก็ปฏิเสธมาตลอด แต่ครั้งนี้มันกลับไม่ปฏิเสธ ข้าคิดว่ามันต้องมีแผนการแฝงอยู่ ยิ่งข้าได้เห็นค่าสมรรถภาพทางกายของมันแล้ว ไม่มีทางเลยที่มันจะเป็นเพียงคนธรรมดา ท่านอย่าลืมว่าพี่ชายของมันทั้งสองเป็นใคร คนหนึ่งคือผู้นำตึกลำธารแห่งกลุ่มภราดา ส่วนอีกคนเป็นถึงนักฆ่าอันดับหนึ่ง ทั้งยังมีสิทธิ์มีเสียงในหอโลหิตที่เป็นศูนย์รวมฮันเตอร์รับจ้างนอกคอกที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นอมตะ คนอย่างมันจะนับว่าเป็นคนธรรมดาทั่ว ๆ ไปได้ยังไง ข้าอยากให้ท่านตัดสินใจใหม่ ท่านควรที่ไล่มันออกไป ก่อนที่มันจะทำให้ท่านต้องตกอยู่ในอันตราย”
เวนไตยยังไม่ละทิ้งข้อสงสัยเกี่ยวกับเหนือภพ หากเหนือภพเป็นเพียงแค่เด็กบ้านนอกทั่ว ๆ ไป เขาจะไม่คิดมากเช่นนี้
บุษย์น้ำเพชรที่กำลังเดินอยู่ชะงักกึก เธอไม่อาจมองข้ามข้อสงสัยของเวนไตยได้เช่นกัน การมาของเหนือภพนั้นแปลกจริง ๆ เพียงแต่ว่าเธอยังไม่มีหลักฐาน ดังนั้นเธอจึงได้แต่เลื่อนข้อตกลงเรื่องรายละเอียดในการจ้างวานไปก่อน จนกว่าเธอจะมั่นใจเต็มที่
“เรื่องนี้ฝากเจ้าด้วยเวนไตย มีแต่เจ้าที่เราไว้ใจ”
เวนไตยได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้ม รีบขานรับก่อนจะไปทำตามที่องค์หญิงบอกทันที
“เหนือภพ เจ้าเด็กเมื่อวานซืนข้าจะกระชากหน้ากากของเจ้าออกมาให้ได้”
ณ เรือนรับรององค์รัชทายาท
ศาลากลางน้ำหลังใหญ่ที่รายล้อมไปสระน้ำกว้างใหญ่ที่ถูกขุดขึ้นเพื่อองค์รัชทายาทโดยเฉพาะ ประดับประดาไปด้วยหงส์ขาวหนึ่งฝูง หงส์ดำหนึ่งฝูง และปลาสีเงินสีทองแหวกว่ายไปมา ดูรวมๆ แล้วช่างน่ารื่นรมย์ยิ่งนัก นับว่าผู้จัดเตรียมการประมูลครั้งนี้สามารถทำให้องค์รัชทายาทพอใจเป็นอย่างยิ่ง
“ได้เรื่องอะไรมาบ้างคีรี”
องค์รัชทายาทไถ่ถามพยัคฆ์คีรี ขณะที่ภายในศาลาไม่ได้มีเพียงแค่องค์รัชทายาทและองครักษ์คู่กาย แต่ยังมีพระอนุชาของพระองค์ที่นั่งเอนตัวไขว้ขาพาดบนโต๊ะโดยไม่สนมารยาท ไม่ใส่ใจว่าตนเองมีสายเลือดราชวงศ์ที่ต้องรักษาไว้ซึ่งจริยวัตรอันดีงาม
“ได้รับการยืนยันจากสมาคมพ่อค้ามาแล้วขอรับ เมื่อหกวันก่อนน่าจะเป็นช่วงเวลาที่ดาบมัจฉาสวรรค์ถูกขโมยไปอย่างแน่นอน”
“มั่นใจได้ยังไง ว่าโดนขโมยวันนั้นจริง”
พระอนุชาของรัชทายาทแทรกบทสนทนาขึ้นมา แล้วเอ่ยต่อ
“ข้าไม่เข้าใจ ถ้าพวกมันรู้ว่าหายวันนั้นทำไมไม่ตามหา ยังจะเปิดประมูลอีกเพื่ออะไร เห็นได้ชัดว่าไม่น่าจะหายวันนั้น แต่น่าจะหายก่อนเปิดประมูลไม่นานมากกว่า พวกมันก็อ้างไปเรื่อย พวกน่าสมเพช”
“คีรีพูดต่อ อย่าไปฟังเขา”
“ข้าเองก็สงสัยอย่างที่องค์ชายรองคิด แต่ว่ามันไม่เป็นเช่นนั้น หกวันที่แล้วมีผู้คุ้มกันดาบหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย”
พยัคฆ์คีรีรู้ว่าองค์รัชทายาทจะพูดอะไรต่อ ดังนั้นเขาจึงเอ่ยเพิ่มเติมว่า
“ไม่ใช่ทานธรรมหรือวัฏจักร เมื่อหกวันก่อนพวกเขาถูกโจมตีโดยกลุ่มคนปริศนาที่มีระดับอาคมสูงมาก จากนั้นพวกเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่ข้าสืบทราบมาว่า หลังจากวันนั้นกลุ่มภราดาที่อยู่ภายในหมู่บ้านลมหวนถูกลอบโจมตีทีละกลุ่ม จนพวกนั้นต้องหลบหนีออกจากหมู่บ้านลมหวนไป”
“พวกนั้นถูกใครกำจัด เสด็จพ่องั้นเหรอ”
องค์ชายชัยวิชิตถามอย่างไร้เยื่อใย เขาไม่ได้เป็นห่วงพวกภารดา เขาแค่อยากรู้เท่านั้น แต่องค์รัชทายาทไม่คิดว่าเป็นฝีมือขององค์เจ้าแคว้น
“ไม่ใช่แน่นอน แม้เสด็จพ่ออยากกำจัดกลุ่มภราดามาตลอด แต่พระองค์ย่อมไม่ทำอย่างโจ่งแจ้ง อีกทั้งพระองค์ย่อมไม่ใช้วิธีรุนแรงที่เป็นการกระตุ้นให้ผู้ไร้พรสวรรค์ลุกฮือ นี่น่าจะเป็นฝีมือของพวกอื่น”
“งั้นก็อาจจะเป็นท่านอา”
องค์ชายชัยวิชิตยังคงเสนอความคิดของตัวเองไปเรื่อยเปื่อย โดยไม่ได้ผ่านกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลเช่นเคย แต่การพูดเรื่อยเปื่อยของเขากลับทำให้องค์รัชทายาทขบคิดอะไรบางอย่างออก ก่อนมองไปทางพยัคฆ์คีรีผู้เป็นองครักษ์และสหายสนิทของตน
“คีรี ทางด้านน้ำเพชรกับน้ำทองมีความเคลื่อนไหวอะไรบ้าง”
“องค์หญิงบุษย์น้ำทองดูเหมือนจะไม่สนใจกับเหตุการณ์นี้ เห็นว่าพรุ่งนี้นางจะเดินทางกลับเมืองหลวงแล้วขอรับ”
“กลับเหรอ”
องค์รัชทายาทแปลกใจจนไอแค่ก ๆ ออกมา ขณะที่พระอนุชาโยนผ้าให้เช็ดคราบเลือด พลางเอ่ยอย่างไม่ยี่หระว่า
“อย่างนั้นก็ไม่ต้องสนใจนางหรอก วัน ๆ เอาแต่หมกอยู่ในห้อง ทำตัวเป็นลูกแสนดีของนางงูพิษนั่น ที่ท่านพี่ควรจะใส่ใจคือนางจิ้งจอกนั่นมากกว่า ไม่รู้ว่าครั้งนี้นางจะวางแผนทำอะไรอีก”
พยัคฆ์คีรีเห็นด้วยกับคำพูดองค์ชายชัยวิชิต คนที่น่ากลัวจริง ๆ คือองค์หญิงบุษย์น้ำเพชรต่างหาก จากนั้นพยัคฆ์คีรีก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับเหนือภพและพรรคพวกที่ไปขอพบองค์หญิงบุษย์น้ำเพชร ในเรื่องนี้เขาเองก็ไม่รู้เหตุการณ์เบื้องลึก เพราะได้แต่ฟังมาจากสายที่แฝงอยู่ที่นั่น จึงไม่รู้เหตุผลที่แท้จริงว่าเหนือภพไปกับใคร ไปทำอะไรนอกจากไปกินข้าว
“ดูเหมือนเราต้องไปเยี่ยมน้องสาวของเราดูสักครั้ง”
องค์รัชทายาทเอ่ยพลางไอแค่ก ๆ ออกมา ขณะที่องค์ชายชัยวิชิตยิ้มกว้าง เขาไม่ได้เจอพี่สาวมานานเช่นกัน จากนั้นเขาก็คว้าเอาทวนยาวที่พาดไว้กับเก้าอี้ยาวศาลากลางน้ำขึ้นมาถือไว้
“ไปกันเถอะท่านพี่”
ทางด้านเหนือภพ
“เจ้าจะพาข้าไปที่ไหน”
เหนือภพร้องถาม เมื่อได้ยินคำสั่งจากองค์หญิงบุษย์น้ำเพชรให้เขาตามเธอไป โดยมีเพียงเขาและเธอเท่านั้น องค์หญิงบุษย์น้ำเพชรแต่งกายอยู่ในชุดหญิงสาวทั่วไป หากมองอย่างผิวเผินก็จะเห็นเธอเป็นแค่สาวชาวบ้านที่สวยจัดคนหนึ่งเท่านั้น
“ตอนนี้เราได้เบาะแสบางอย่าง เมื่อสามวันก่อนมีคนของสมาคมพ่อค้าหายตัวไป เราเชื่อว่า เขาอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ดาบหายไป”
“แล้ว ?”
“ท่านต้องมาคุ้มกัน และช่วยเหลือเราตลอดการสืบหาเบาะแสของดาบ”
“งั้นเจ้าก็รับข้าเข้าทำงานแล้ว ถูกไหม”
องค์หญิงบุษย์น้ำเพชรส่ายหน้า พร้อมกับรอยยิ้มเล็ก ๆ
“แม้เราจะอยากรับท่านเข้าทำงานทันที แต่กฎต้องเป็นกฎ จนกว่าท่านจะผ่านการทดสอบ ตอนนี้ท่านยังถือว่าเป็นเพียงแค่ฮันเตอร์รับจ้าง ไม่ถือว่าเป็นคนของบ้านเพชรการเวกโดยสมบูรณ์ ในระหว่างที่ท่านทำงานให้เราท่านจะได้เบี้ยเลี้ยงวันละหนึ่งเหรียญทอง พร้อมค่ากิน และที่พัก เราจัดหาให้ท่านทั้งหมด ไม่ต้องกังวล”
“โอ้ไม่เลว แล้วแต่นายหญิงจะบัญชา”
เหนือภพยิ้มหน้าระรื่น โดยไม่สนท่าทีหรือฐานะระหว่างเขาและองค์หญิงว่าต่างกันเพียงใด
สำหรับเหนือภพแล้วงานที่ได้ค่าจ้างวันละหนึ่งเหรียญทอง ไม่ใช่จะหาง่าย ๆ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกว่ามันคุ้มค่ามาก แล้วถ้าหากเขาถูกรับเข้าเป็นสมาชิกของบ้านฮันเตอร์โดยสมบูรณ์ ไม่เพียงได้เบี้ยเลี้ยงรายวัน ยังมีทั้งเงินเดือน เงินค่ารักษา เงินค่าทำภารกิจแต่ละครั้ง บ้านฮันเตอร์ที่มีสวัสดิการดีเยี่ยมเช่นนี้เขาจะหาที่ไหนได้อีก
เหนือภพตามองค์หญิงมาถึงพื้นที่พิเศษที่เป็นเขตคนงานของสมาคมพ่อค้า ที่ถูกจัดขึ้นไม่ห่างจากอาคารประมูลนัก ที่นี่เต็มไปด้วยสิ่งปลูกสร้างหลายระดับ มันคือบ้านพักคนงานของสมาคมพ่อค้าที่มีตั้งแต่บ้านพักห้องเช่าเท่ารูหนูไปจนถึงบ้านหรูที่จัดไว้ให้กับฮันเตอร์ผู้มีความสามารถ แต่จุดมุ่งหมายขององค์หญิงบุษย์น้ำเพชรคือบ้านพักคนงานแบบห้องเช่า
“ที่นี่แหละ”
“ห้องไหน”
เหนือภพมองไปยังห้องเช่าคนงานสร้างอย่างแออัดเรียงรายกัน อย่างน้อย ๆ ก็มีราว ๆ ร้อยหลังคาเรือน ห้องพักแถบนี้ถูกแบ่งเป็นห้องเล็ก ๆ แม้จะแคบ เก่า ซอมซ่อ แต่ก็มีห้องน้ำในตัว องค์หญิงพาเหนือภพมาหยุดอยู่หน้าห้องเช่าหมายเลข 98
เหนือภพรู้ตัวว่าควรจะทำอะไร ดังนั้นเขาจึงไปเคาะประตูห้องเช่าดังกล่าวทันที เสียงก๊อก ๆ ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่เสียงตอบรับกลับมา เหนือภพลอกขยับกลอนก็รู้ในทันทีว่าห้องไม่ได้ถูกล็อกจากข้างใน
‘ไม่มีคนอยู่งั้นหรือ’
นับเป็นเรื่องน่าแปลก ห้องส่วนใหญ่ที่มีคนจับจองจะต้องถูกคล้องกุญแจ หรือไม่ก็ถูกล็อกจากข้างในเมื่อมีคนอยู่ แต่ห้องนี้กลับต่างออกไป
“เข้าไปเลยไหม ห้องไม่ได้ล็อก”
เหนือภพเสนอ แต่กลับถูกองค์หญิงบุษย์น้ำเพชรปฏิเสธ เธอให้เหตุผลว่า
“เมื่อหกวันก่อน คนงานที่อยู่ห้องนี้เป็นคนทำความสะอาดห้องเก็บดาบ เขาเป็นเพียงคนเดียวที่เห็นเหตุการณ์ และรู้ว่าใครที่มีหน้าที่รักษาดาบในวันนั้น แต่ว่าเขาถูกฆ่าตายแล้ว”
“ตายแล้ว ? แล้วเจ้ามาที่นี่เพื่ออะไร”
เหนือภพไม่เข้าใจ แน่นอนว่าเขาไม่เข้าใจก็ไม่แปลกเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องมาทำงานเกี่ยวกับการสืบสวนและตามหาเบาะแส เลยไม่อาจเข้าใจจุดประสงค์ของผู้เป็นนายจ้างได้ บุษย์น้ำเพชรไม่อยากผลีผลามบุกรุกเข้าไป บางทีครอบครัวที่อาศัยอยู่ในห้องนี้อาจจะกลับมาในไม่ช้า
“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่คนทำความสะอาดตายหรือไม่ตาย แต่ปัญหาคือเขาตายช้ากว่าควรที่จะเป็น โดยปกติหากคนทำความสะอาดเห็นเหตุการณ์จริง เขาควรถูกฆ่าเพื่อปิดปากทันที แต่เขากลับถูกฆ่าตายหลังจากที่สมาคมพ่อค้าประกาศให้ทุกคนช่วยตามหาดาบ นั่นก็หมายความว่าคนทำความสะอาดวันนั้นไม่เพียงแค่เห็น แต่เขากลับมีส่วนรู้เห็นในการปล้นดาบในวันนั้น และการที่เขาถูกฆ่าตายวันที่เรื่องแดงออกมามันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร มันก็แค่การฆ่าปิดปากเพื่อตัดเบาะแส”
เหนือภพฟังและคิดตาม แต่เขาก็ยังคงรู้สึกสงสัย
“การฆ่าปิดปากผู้สมรู้ร่วมคิด หลังจากที่เรื่องแดงออกไปมันปกติก็จริง แต่การไม่ฆ่าก่อนหน้า ข้าคิดว่าคนลงมือต้องเป็นคนใกล้ชิดคนทำความสะอาด พวกเขาอาจจะรู้จักกันและมีข้อตกลงบางอย่าง”
“เราเองก็คิดแบบนั้น เลยต้องมาที่นี่ สาเหตุการตายมันคงไม่ธรรมดาแค่เรื่องฆ่าปิดปาก แต่ต้องมีอะไรที่มากกว่านั้น คนร้ายคงไม่ได้มีแค่คนเดียว ในตอนนี้คนที่น่าจะรู้เบาะแสมากที่สุดคงเป็นภรรยาและลูกของผู้ตาย”
“เราตรวจดูที่ทะเบียนการทำงานในวันนั้นไม่ได้หรือ”
เหนือภพถามอย่างมีประสบการณ์ สถานที่ทำงานใหญ่ ๆ อย่างพวกร้านอาหารหรือสถานประกอบการที่ทำเกี่ยวกับการค้าขายมักจะมีบันทึกตารางการทำงานเวลา และหน้าที่ที่ต้องทำในแต่ละช่วงเวลาบันทึกอยู่ หากพวกเขาตามสืบจากเบาะแสนั้นก็น่าจะทำให้รู้อะไรมากขึ้น