ตอนที่ 102 ฝึกสืบสวน
“เราดูแล้ว พวกเขาตายหมด”
“ห่ะ ถูกฆ่าปิดปากอีกแล้วหรอ”
เหนือภพตกใจเมื่อได้ยินสิ่งที่บุษย์น้ำเพชรบอกกล่าว นี่มันคดีบ้าบออะไร เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะสืบต่อไปอย่างไรดี เขาไม่เคยทำหน้าที่คล้ายมือปราบแบบนี้ ตอนนี้เขาจึงได้แค่อาศัยเรียนรู้จากบุษย์น้ำเพชร ทำให้ได้รู้ว่าฮันเตอร์เฝ้ายามที่ทำหน้าที่ในวันนั้นไม่ได้ถูกฆ่าตายโดยหัวขโมย แต่ถูกฆ่าโดยฮันเตอร์ผู้ดูแลที่โกรธจนพลั้งมือฆ่าพวกเขาตายต่างหาก
ทว่าเรื่องนี้กลับไม่เป็นที่โจษจันมากนัก เพราะทางผู้จัดงานวางกำลังฮันเตอร์เฝ้ายามไว้เพียงสามคน กับหัวหน้าผู้ดูแลพวกเขาอีกหนึ่งคนเท่านั้น หากมีฮันเตอร์เฝ้ายามอารักขาสินค้าชิ้นใดชิ้นหนึ่งมากเกินไป ก็จะทำให้เป็นที่สงสัยได้ว่าสินค้าชิ้นนั้นพิเศษ ทำให้เป็นที่จับตามองจากมิจฉาชีพ ทางสมาคมจึงเน้นที่การร่ายอาคมลงไว้ที่กล่องแทน ดังนั้นการที่ฮันเตอร์เฝ้ายามธรรมดา ๆ เพียงสามคนหายสาบสูญไปจึงไม่ใช่เรื่องที่ใครอยากจะใส่ใจ
“พลั้งมือเนี่ยนะ ไอ้บ้านั่นแหละน่าสงสัยที่สุด คนคุ้มกันทั้งหมดถูกฆ่าตาย นี่มันเรื่องบ้าบออะไรเนี่ย”
เหนือภพที่ไม่ค่อยจะได้ฝึกใช้สมองถึงกับมึนเล็กน้อย จากนั้นบุษย์น้ำเพชรก็ให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วยน้ำเสียงสุขุม
“แต่พอถามไปถามมาฮันเตอร์ผู้ดูแลที่โกรธพลั้งมือฆ่าลูกน้องตัวเองตาย ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะเขาเป็นคนโมโหร้ายแบบนี้มายี่สิบกว่าปีแล้ว จึงไม่น่าสงสัยอะไร”
เหนือภพคิดหัวแทบจะแตก จนสุดท้ายก็ได้แต่ปล่อยวางความคิด เขาปล่อยให้เป็นหน้าที่ของบุษย์น้ำเพชร การที่เธอมาที่นี่คงต้องมีเบาะแสอะไรบางอย่าง แต่น่าเสียดายที่พวกเขารออยู่นานสองนานก็ไม่ได้รับเบาะแสอะไรเพิ่มเติม นอกจากได้รับข่าวร้ายมาแทน แม่และลูกของผู้ตายจากไปแล้ว หลังจากที่พวกเขาทราบว่าสามีเสียชีวิตก็พากันออกจากหมู่บ้านลมหวนไป
“พวกนางสองแม่ลูก พาศพกลับบ้านเกิดไปแล้ว”
ชายหนุ่มในชุดคนงานโพกผ้าก้มหน้าขณะตอบอย่างรู้ฐานะ มือทั้งสองข้างกุมกันไว้ด้านหน้าอย่างสุภาพ
“ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
บุษย์น้ำเพชรถามเพื่อนบ้านของผู้ตายซ้ำอีกครั้งอย่างใจเย็น ไม่มีใครคาดเดาอารมณ์ความคิดของเธอได้
“ข้าไม่แน่ใจหรอก ข้าเห็นนางเตรียมตัวตั้งแต่เมื่อคืน ตื่นเช้ามาก็ไม่เห็นแล้ว นางน่าจะไปช่วงเช้ามืดขอรับ”
“ยังไปได้ไม่ไกลสินะ ขอบใจ”
บุษย์น้ำเพชรพูดจบก็รีบหันหลังกลับทันที แต่เหนือภพยังไม่ได้ขยับไปไหน เขายังคงมองชายคนนั้นนิ่งอยู่ พวกเขาทั้งสองคนจึงยืนประจันหน้ากันแบบนั้นไม่มีใครขยับไปไหน
“เจ้าไปเถอะน้องชายข้าไม่เป็นไร ประตูคนงานก็แบบนี้แหละ ไขยาก เพราะแบบนี้พวกเราถึงไม่ค่อยอยากล็อกนักถ้าไม่จำเป็น”
คำพูดของชายคนงานทำให้เหนือภพเห็นภาพของคนงานระดับล่างทั่วไปที่ประสบปัญหาแบบเดียวกัน มาตรฐานที่พักของคนงานระดับล่างก็เป็นแบบนี้ สามารถพบเห็นได้จนเป็นปกติ
“ให้ข้าพังเลยไหม”
เหนือภพเสนอตัวช่วยอย่างมีน้ำใจ เมื่อดูจากสภาพกุญแจที่สนิมเขรอะแบบนั้น มันคงเกินเยียวยาที่จะซ่อมเสียแล้ว
“โอ้ อย่าเลยน้องชาย หากเจ้าพังมันขึ้นมา หัวหน้าได้ปรับเงินข้าแน่ เจ้าไปเถอะ ข้าจะแก้ไขเฉพาะหน้าไปก่อน”
“งั้นก็ตามที่พี่ชายว่า ข้าไปก่อนนะ”
จากนั้นเหนือภพก็เดินตามองค์หญิงกลับไป
“ท่านทำอะไรอยู่ ชักช้า ปล่อยให้เราต้องรอ”
บุษย์น้ำเพชรมีท่าทีไม่พอใจ เธอจ้างเหนือภพมาคุ้มกันตัวเองและให้คอยช่วยเหลือทุกเวลาที่เธอต้องการ แต่เขากลับให้ความสนใจกับคนอื่น เหนือภพได้แต่ยิ้มน้อย ๆ เมื่อรู้ความผิดของตนเอง ก่อนจะแก้ตัวเล็กน้อยว่า
“ก็พี่คนงานคนนั้นน่ะพยายามจะไขกุญแจอยู่ได้ ทั้งที่สนิมขึ้นจนแน่นแล้ว ให้ข้าทุบให้ก็ไม่ยอม”
“ท่านว่ายังไงนะ แม่กุญแจขึ้นสนิมเยอะแค่ไหน”
“เยอะมากอยู่ แต่ก็คงไม่แปลกหรอกที่ตรงนั้นชื้นจะตาย”
“เราโดนหลอกแล้ว”
บุษย์น้ำเพชรพูดจบก็หันหลังวิ่งกลับทันที เธอถึงขนาดใช้อาคมย่นระยะทาง ก่อนจะมาถึงที่ห้องคนงานหมายเลข 98
บุษย์น้ำเพชรและเหนือภพหันมองไปยังห้องคนงานหมายเลข 99 ที่พวกเขาเจอคนงานคนนั้นกำลังจะเข้าบ้านของตน เหนือภพลองจับแม่กุญแจมาดู ก่อนจะรู้ว่าตัวเองเสียรู้ซะแล้ว เพราะเมื่อลองจับเขย่าดูก็เห็นได้ชัดว่าแม่กุญแจนี้ปิดตายมาได้วันสองวันแล้ว
เมื่อดูจากสนิมที่ขึ้นภายในรูเสียบกุญแจโลหะที่ไม่ผ่านการไขเสียบกุญแจมานาน เหนือภพก้มลงมองก็พบลูกกุญแจที่ชายคนงานคนนั้นใช้ต่อหน้าเขา แต่มันเป็นกุญแจที่ไม่เข้ากับรูเสียบกุญแจเลย ชายคนนั้นน่าจะใช้เพื่ออำพรางตาเท่านั้น
“เอ๊ะ !”
เหนือภพสังเกตเห็นประตูห้อง 98 เปิดแง้มอยู่เล็กน้อย ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ประตูห้องนี้ยังปิดสนิทอยู่ บุษย์น้ำเพชรรีบเข้าไปในห้อง 98 ก่อนจะพบสองแม่ลูกนอนเป็นศพแยกห่างจากกัน
ร่างของผู้เป็นแม่คือหญิงสาววัยยี่สิบกว่าปี เธอนอนเปลือยกายอยู่ตรงกลางห้อง สาเหตุการตายเห็นได้ชัดว่าถูกรัดคอ ส่วนลูกชายวัยสี่ขวบของเธอถูกกดน้ำจนขาดอากาศหายใจ สภาพศพของทั้งสองดูแข็งทื่อ แต่ยังไม่ขึ้นอืด คาดว่าน่าจะเพิ่งตายมาไม่กี่ชั่วโมงนี้ หากนับดูแล้วคงเป็นช่วงเช้าตรู่
บุษย์น้ำเพชรตรวจดูสถานที่เกิดเหตุอย่างละเอียด พบว่ามีการต่อสู้ขัดขืนบ้าง คนร้ายน่าจะลงมือเร็วมาก แสดงถึงฝีมือผู้ลงมือว่าไม่ใช่อันธพาลธรรมดา และสภาพห้องก็มีลักษณะถูกรื้อค้น ข้าวของกระจัดกระจายจนแทบไม่เหลือชิ้นดี ซึ่งไม่น่าจะเกิดจากคนคนเดียว
“เหนือภพ ท่านจำหน้าผู้ชายคนนั้นได้ไหม”
องค์หญิงบุษย์น้ำเพชรถามด้วยความไม่แน่ใจ เพราะเธอไม่ได้เข้าใกล้ชายหนุ่มผู้นั้น เธอรู้เพียงแค่ว่าชายผู้นั้นโพกศีรษะด้วยผ้าลายตารางขณะก้มหน้าคุยกับเธอ ทำให้เธอเห็นหน้าเขาไม่ชัดเจนนัก
เหนือภพแหงนหน้ามองเพดานผุพังขณะพยายามนึกย้อนความทรงจำ ปกติเขาไม่ใช่คนที่ชอบสนใจอยากรู้เรื่องคนอื่นเท่าไหร่ เขาจึงมีความใส่ใจกับผู้คนรอบข้างค่อนข้างน้อย ยกเว้นแค่แม่ น้องสาว กลิ่นจันทน์ และผู้หญิงชุดแดงคนนั้น
พอเขารู้ตัวว่ากำลังส่งใจไปคิดถึงพราวจันทร์อีกแล้ว เขาก็สะบัดศีรษะสองทีแล้วหันกลับมาพูดคุยกับบุษย์น้ำเพชร
“ได้ แต่ก็ไม่ชัดเจนมาก”
จากนั้นเหนือภพได้บอกรูปพรรณสัณฐานของชายคนนั้นกับองค์หญิง เพื่อให้เธอสั่งวาดภาพเสมือนจริงทันทีหลังจากกลับถึงเรือนรับรอง ส่วนสถานที่เกิดเหตุจะถูกยกให้เป็นหน้าที่ของมือปราบช่วยสืบหาเบาะแสต่อไป แน่นอนว่าเมื่อมือปราบลงมือเองและภาพเสมือนจริงที่องค์หญิงมอบให้ ภายในเวลาไม่นานพวกเขาก็ได้รับคำตอบ
“ห่ะ ไอ้บ้านั่นก็แค่ปล้นกับทำเรื่องอย่างว่า แค่นั้นรึ”
เหนือภพได้ฟังรายละเอียดพร้อมกับองค์หญิง หลังจากขุนเจษผู้ได้รับหน้าที่สืบคดีนี้ได้แจกแจงรายละเอียดของรูปคดีให้ฟังอย่างไม่จำยอมนัก การที่เขาที่ต้องมาบอกเรื่องของคดีให้กับผู้ไม่เกี่ยวข้องเป็นเรื่องที่เขาไม่เห็นด้วยอย่างมาก แต่เขาไม่อาจต่อต้านอำนาจของราชวงศ์ และยิ่งเป็นคำสั่งขององค์หญิงบุษย์น้ำเพชรที่มีทั้งอำนาจและฐานะในพระราชวัง เขาก็ยิ่งไม่อาจปฏิเสธได้เลย
“ท่านแน่ใจแค่ไหนว่าชายคนนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดีดาบหาย”
“อันที่จริงยังไม่มีใครมาแจ้งความว่าดาบหายเลยนะขอรับ”
“ถึงสมาคมพ่อค้าไม่แจ้งความ แต่เราทุกคนก็รู้ดี”
ขุนเจษเงียบไป ตอนนี้เขารับผิดชอบคดีฆ่าคนตายที่อาจจะโยงไปถึงดาบที่หายไป แต่เขาก็ไม่สามารถพูดตรง ๆ ได้ เพราะในการกฎหมายนั้นยังไม่ถือว่าดาบเล่มนั้นหายไป
“ท่านสืบสวนมาถี่ถ้วนแล้วหรือ”
บุษย์น้ำเพชรหรี่ตาเล็กน้อย ขณะเอ่ยอย่างเยือกเย็น ส่วนขุนเจษขมวดคิ้วทันที เขาเกลียดพวกราชวงศ์ก็เพราะแบบนี้ พวกราชวงศ์ชอบดูถูกความสามารถของผู้อื่น และไม่เชื่อใจว่าผู้อื่นจะกระทำถูกต้อง
“ข้ากล้าเอาหัวเป็นประกันว่าสิ่งที่ข้าสืบมาเป็นความจริง คนร้ายไม่ได้ก่อคดีปล้นฆ่า และข่มขืนครั้งแรก แต่เขาทำมาแล้วหลายครั้ง อีกทั้งเขายังใช้วิธีคล้าย ๆ กันคือการตีเนียนเป็นเพื่อนบ้าน ใช้เวลาคลุกคลีกับเหยื่อนานพอสมควร และเมื่อสบโอกาสลงมือเขาก็จะฆ่าเหยื่อด้วยการรัดคอทุกครั้ง”
บุษย์น้ำเพชรเห็นท่าทีไม่พอใจของขุนเจษ เธอลอบหายใจลึก ๆ ก่อนจะพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเชิงให้กำลังใจ
“ท่านทำได้ดีมากขุนเจษ ราชวงศ์อมตะของเราต้องการคนแบบท่าน”
“เป็นหน้าที่ของข้าขอรับ”
ขุนเจษย่อกายเล็กน้อยขณะรับรางวัลมาจากองค์หญิง เธอมอบดาบชั้นดีให้ขุนเจษ มันเป็นดาบปลอกสีแดงที่แกะสลักอย่างสวยงาม พร้อมกับพู่เล็ก ๆ สีแดงประกายทองที่มีใช้เฉพาะในหน่วยองครักษ์ของราชวงศ์อมตะเท่านั้น แม้ว่าดาบนี้จะไม่ใช่ดาบที่ดีเลิศในกลุ่มผู้มีฝีมืออันดับต้น ๆ ของแผ่นดิน แต่มันก็เป็นสิ่งที่ช่วยย้ำเตือนขุนเจษได้ว่า ทางราชวงศ์มองเห็นคุณความดีของเขาอยู่เสมอ
ขุนเจษอยู่คุยเกี่ยวกับคดีอีกเล็กน้อย จากนั้นเขาก็รีบขอตัวจากไปทันที เขาไม่ต้องการความสนิมชิดเชื้อจากราชวงศ์คนไหน หากไม่ใช่เรื่องงานเขาก็ไม่ต้องการเสียเวลาคุย
มือเรียวงามทั้งสองข้างของบุษย์น้ำเพชรจับประสานกันอยู่ข้างหลัง เธอมองขุนเจษจากไปด้วยสีหน้าครุ่นคิด เธอไม่คิดแบบที่เขาคิดนั้น พวกมือปราบมักสืบจากหลักฐานที่จับต้องได้และตามไปถึงคนร้าย มันดูเป็นวิธีการที่น่าเชื่อถือ แต่ในความเป็นจริงนั้นใคร ๆ ก็สร้างหลักฐานเท็จได้ไม่ยาก
และก็มีเรื่องหนึ่งที่เธอไม่เข้าใจคือ นอกจากคนร้ายจะฆ่าและข่มขืนแม่สำเร็จตั้งแต่เช้าตรู่ ทำไมเขาถึงไม่หนีไปตั้งแต่แรก ทำไมเขาต้องย้อนกลับมาในช่วงสายจนกระทั่งเจอกับเธอและเหนือภพ นี่เป็นความเสี่ยงที่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มันเป็นคำถามที่ยังติดอยู่ในใจของบุษย์น้ำเพชร หรือเขาจะย้อนกลับมาขโมยของ ก็ไม่น่าใช่ แต่ดูคล้ายกับว่าเขากำลังหาอะไรมากกว่า ไม่แน่ว่าชายที่เธอพบอาจจะเป็นคนร้ายคนละกลุ่มด้วยซ้ำ เขาต้องการหาอะไรกัน
“เหนือภพ”
“มีอะไรให้ข้ารับใช้เจ้านาย”
เหนือภพขยิบตาให้อย่างยียวน แม้เธอจะเป็นนายจ้างของเขา แต่เขาก็ยังเป็นตัวของตัวเอง
“ช่วยเราที เราอยากรู้ว่าคนร้ายที่ถูกจับใช่คนคนเดียวกับที่เจ้าพบหรือเปล่า ข้าอยากให้เจ้าทำเรื่องนี้เงียบ ๆ อย่าให้ใครรู้ใครเห็น แม้แต่คนในเรือนรับรองของเรา”
เหนือภพพยักหน้าก่อนจะออกไปตามคำสั่ง เขาใช้อาคมย่นระยะทางและด้วยความสามารถทางร่างกายที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้เขาใช้เวลาเพียงหนึ่งวินาทีในการเคลื่อนที่สิบเมตร เหนือภพกระโดดดึ๋งดึ๋งไปตามหลังคา ลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยโดยไม่มีใครสังเกตเห็น ใช้เวลาเพียงไม่กี่อึดใจเขาก็มาถึงเป้าหมายในเวลาโพล้เพล้ใกล้ค่ำ
ที่นี่คือที่ทำการมือปราบ เป็นสถานที่ที่ถูกคุ้มกันแน่นหนาโดยมือปราบอาคม ตัวเรือนที่ทำการมือปราบเป็นอาคารหินเสริมเหล็กสามชั้น ดูมั่นคงและแข็งแกร่ง มีชั้นที่ซ่อนอยู่ลึกลงไปเป็นคุกใต้ดิน ถัดขั้นมาเป็นชั้นร้องทุกข์และพิจารณาคดีความ ชั้นที่สองเป็นที่พักของเหล่ามือปราบ และชั้นที่สามเป็นที่พักของมือปราบที่มียศขุน และห้องเก็บอาวุธ
เหนือภพเฝ้ารอเพื่อสังเกตการเปลี่ยนผลัดเวรของมือปราบอาคม พวกเขาจะเปลี่ยนกะกันทุกหนึ่งชั่วโมง เมื่อจับจุดได้เหนือภพก็ใช้ทั้งความเร็วและอาคมย่นระยะทางบุกเข้าไปยังคุกใต้ดิน โดยอาศัยชุดมือปราบที่เขาขโมยมา ขณะนั้นเป็นเวลาที่ยามอาคมจะเปิดประตูลงไปเปลี่ยนเวรกับคนข้างล่าง เหนือภพรีบใช้โอกาสนี้ก็พุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว
แม้เขาจะมีชุดมือปราบ แต่ใบหน้าของเขานั้นยามเฝ้าประตูย่อมต้องจดจำได้แน่ ดังนั้นชุดมือปราบนี้จึงหลอกได้แค่นักโทษเท่านั้น
“เกิดอะไรขึ้น”
ยามอาคมที่กำลังเปิดประตูเข้าไปหันทองรอบด้านอย่างสงสัย เขาหันมามองบานประตูไม้ซีกของคุกใต้ดินที่เปิดกว้างออก ราวกับสายลมหอบพัดเข้ามา เพื่อนยามอาคมที่สัปหงกอยู่ก็สะดุ้งตื่น ก่อนจะเดินไปที่ประตูเพื่อปิดมัน
“จะมีอะไรล่ะ ก็แค่ลม เจ้าอย่าคิดมากไปหน่อยเลย ใครกล้าจะบุกเข้ามาที่นี่ ไปเถอะศักดารอเปลี่ยนเวรกับเจ้าอยู่ เห็นว่าเจ้านั่นจะรีบออกไปรับสาวน่ะ”
ยามอาคมกะล่าสุดได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้า แต่เขาก็ยังรู้สึกแปลกใจ ต่อให้ที่นี่มีลมพัดผ่านมาบ้าง ก็อาจทำให้ประตูเปิดได้ แต่คงไม่ใช่ประตูไม้ซีกที่มีช่องว่างให้ลมผ่าน มันไม่มีทางที่จะถูกลมพัดจนเปิดแน่ เพื่อให้แน่ใจเขาจึงเดินกลับไปทำการคล้องโซ่ปิดล็อกด้วยกุญแจอีกชั้นเพื่อความปลอดภัย