ตอนที่แล้วตอนที่ 6 ชนพื้นเมืองอาริกาเซียสู่สงคราม! (Natives Aricassia to war!)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 8 ข้อมูลต้องมาก่อน (Information First) (1)

ตอนที่ 7 จินตนาการ (Imagination)


จินตนาการ

(Imagination)

ชายแดนตะวันออกเฉียงใต้ เมืองกิวเบก อาณานิคมทางใต้เขต 6

หิมะร่วงหล่นตกลงยังพื้นดินอย่างเชื่องช้า ไม่นานนักถนนดินสีนํ้าตาลก็กลายเป็นสีขาว ปกคลุมด้วยหิมะที่หนาแน่น เมืองขนาดเล็กไม่ใหญ่ ตั้งติดอยู่กับทะเลแม้ว่าทะเลนั้นจะเป็นนํ้าแข็งไปแล้ว อย่างไรก็ตามทะเลนํ้าแข็งนี้ก็ยังสามารถตกปลาล่าอาหารทำมาหากินได้อย่างปกติ เรือขนส่งจอดเทียบท่าติดข้างอยู่กลางทะเลนํ้าแข็ง เมืองกิวเบกมีการนําเข้าและส่งออกสินค้าแต่ช่วงนี้ไม่สามารถเคลื่อนตัวออกจากนํ้าแข็งจนกว่ามันจะละลาย

อาจจะบอกได้ว่าถ้าไม่ติดเรื่องอากาศที่หนาวเหน็บและความเย็นของนํ้าแข็ง เมืองแห่งนี้คงกลายเป็นเมืองท่าที่ใหญ่เกือบที่สุดของอาณานิคมไปแล้ว แต่ติดตรงเรื่องการขยายบ้านเรือน ปัญหาคนย้ายเข้ามาน้อย แถมบ่อยครั้งที่สภาวะอากาศของตอนใต้อาณานิคมนี้ที่ไม่เคยคงตัว อยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงของอาณานิคมอีกด้วย

วันนี้ควรจะเป็นวันที่ปกติที่ชาวบ้านชาวประมงหรือนักเดินเรือทั้งหลายจะออกมาทำกิจวัตรประจําวันหากินตามทั่วไป แต่กลับไม่มีวี่แววของชาวบ้าน มีเพียงเหล่าทหารเสื้อแดงเวนิสและทหารรับจ้างในชุดคลุมหนาวางกําลังเต็มทั่วเมืองกิวเบก บ่งบอกถึงเหตุร้ายบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ความจริงแล้วที่คนในเมืองค่อนข้างน้อยก็เพราะว่า พวกเขาเริ่มที่จะอพยพย้ายออกจากเมืองไปเหมือนหลายสัปดาห์ที่แล้ว เหตุเพราะมีข่าวลือที่ว่าชนพื้นเมืองลักลอบเข้ามาในเขตทางใต้บุกเผาหมู่บ้านในหลายๆพื้นที่ การเผาหมู่บ้านเริ่มจากตะวันตกเฉียงเหนือลงมาตกวันออกเฉียงใต้ตามชายแดน ในชาวใต้นั้นมีความกลัวและกังวลที่สุดในอาณานิคม ด้วยกองกำลังประจำการที่น้อยนิดเนื่องจากสภาพอากาศที่ยากต่อการเข้าถึง

การทำลายทรัพย์สินและชีวิตของชาวอาณานิคมทำให้เกิดการตอบโต้แบบจริงจังโดยผู้ว่าราชการอาณานิคม และนำโดยประเทศแม่เจ้าอาณานิคมอย่างสหจักรวรรดิลีโอเนีย ที่ส่งเงินทุนเล็กน้อยพร้อมกับครูฝึกระดับล่างมายังทวีปแห่งนี้ หากการปราบปรามชนพื้นเมืองเป็นผลสำเร็จ ไม่แน่อาณานิคมแห่งนี้ก็จะได้กลายเป็นเขตปกครองพิเศษที่มีอิสระขั้นสูงสุด สหจักรวรรดิที่ไม่สามารถส่งกําลังมาปราบปรามได้ในขณะนี้ เหตุผลเพราะสงคราม ลีโอเนีย-ทูเดียที่พึ่งเริ่มต้น จึงเหมือนเป็นการบอกเป็นในๆ ว่า [จัดการปัญหาด้วยตัวเองไปก่อนและเอาเงินไปใช้ซะ]

อย่างไรก็ตามกระแสลมบางครั้ง มันก็ไม่ได้มาดีเสมอไป…

……

.

.

.

.

.

.

ท่าเรือแบล็คโฟล์ค เมืองบอสตัน

เรือใบเล็กใหญ่ถอนสมอจอดเทียบที่เมืองท่า กระแสลมทะเลพัดผ่านสร้างเสียงไม้เรือกระทบกับท่าดังเป็นจังหวะ ชาวบ้านชาวเมืองบอสตันเริ่มตั้งร้านค้าตามส่วนที่ตนเองจับจองเอาไว้ เสียงตะโกนร้องเรียกลูกค้าจากเหล่าพ่อค้าแม่ค้าชาวอาณานิคม เป็นเหมือนดังกับการเริ่มต้นเช้าวันใหม่

แต่เหนือสิ่งอื่นใด วันนี้ชาวบ้านชาวเมืองของบอสตันที่ยิ่งใหญ่ กลับเต็มไปด้วยผู้ใหญ่และเด็กเล็ก ที่วิ่งไปวิ่งมาเหมือนกับว่ามีองค์ราชาที่ยิ่งใหญ่ได้เดินทางมายังเมืองเล็กๆของพวกเขา สายจับจ้องไปยังอีกฝั่งของท่าเรือ พวกเขายื่นมองไปยังท้องทะเลอย่างตื่นตาตื่นใจเต็มไปด้วยความวุ่นวาย แต่ก่อนจะเลวร้ายจนเกินกว่าการควบคุ้ม ก็มีทหารยามของเมืองบอสตันพร้อมอาวุธในมือเดินเข้ามาช่วยเคลียร์พื้นที่ให้ กันไม่ให้คนผลักกันจนตกนํ้าจนเป็นเรื่อง

เสียงตะโกนเรียกให้ชาวบ้านแหวกทาง ทำให้หลายคนต้องหันไปมองด้วยความไม่ชอบ แต่ก็ไม่สามารถที่จะว่าอะไรได้ หนึ่งในคนที่เดินอย่างสง่า แต่งกายดูดีมีฐานะ เขาเป็นผู้นําเขต

ผู้ว่าราชการอาณานิคมเขตที่ 6

เขาเดินผ่านผู้คนอย่างไม่แยแส ยื่นต้อนรับร้องเรียกจากมหาสมุทรอันวุ่นวาย ข้างหน้าของพวกเขานั้นคือเรือเหล็ก เรือเหล็กกล้าสีเงินที่มีควันสีดำโชยจากปล่องไฟ ไม่มีเสากระโดง ไม่มีใบเรือ แต่มันกับทำความเร็วมากกว่าเรือใบปกติหลายเท่าตัว ถ้ามองขนาดกับเรือที่เทียบท่าอยู่ก็บอกได้เลยว่า เจ้าเรือเหล็กนี้มันเหมือนกับเรือของปีศาจที่น่ากลัว

เสียงของเรือตอนเข้าเทียบท่าที่ดังเหมือนเสียงร้องของอสุรกายจากท้องทะเลทำให้ชาวเมืองรอบๆตื่นตกใจกันออกหน้า เรือเหล็กทอดสมอเรือ ทางลงเรือถูกปลดปล่อยลงเป็นทางเดินยาว ชาวเมืองบอสตันมองไปยังบนเรือรบที่เต็มไปด้วยเหล่าทหารมากมายเรียงแถวกันเป็นหน้ากระดานอย่างเป็นระเบียบ บนเรือนั้นมีชายที่ดูแล้วมียศสูงกว่าเหล่าทหารรอบข้างกําลังพูดคุยกันอยู่

อย่างไรก็ตาม ชาวเมืองก็ไม่มีทางได้ยินที่พวกเขาคุยกันอย่างแน่นอน ชายในชุดเครื่องแบบสีแดงเต็มยศเขาที่จ้องมองผู้คนในเมือง สายตาของเขาสาดส่องไปทั่ว แต่แล้วเขาก็พบเจอกับเด็กน้อยที่ดูอดอยากที่กําลังจ้องเรือของเขาอยู่

ชายหนุ่มในเครื่องแบบทหารเอ่ยกับคนสนิทโดยที่ไม่มอง

“ช่างน่าขํายิ่งนัก สหจักรวรรดิใหญ่ จักรวรรดิที่เคยปกป้องผู้คนจากข้าศึกที่คอยจะจับพวกเขาไปเป็นทาส กลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม ทำร้ายประชาชนของตัวเองและสร้างเส้นทางตลาดทาสไตรภาคี ยิ่งนานมากเท่าใดก็ยิ่งหยิ่งในอํานาจทางทะเลอันกว้างใหญ่ ในตอนนี้ก็ไล่ประกาศอ้างความชอบธรรมและขยายไปทั่วทั้งอองโทราล” เขาชะงัก “อาณาจักรบรรพบุรุษของข้ามิได้ผนวกกับลีโอเนียเพื่อที่จะทำร้ายประชาชนด้วยกันเองสักหน่อย!”

" ว่าแต่ว่า ท่านพันเอก ทำไมทางสภาสูงถึงให้แต่อาวุยุทโธปกรณ์เก่าๆมาใช้ปราบปรามพวกป่… ชนพื้นเมืองด้วยล่ะครับ? “ แต่ที่แปลกคือการพูดจาของทั้งสองช่างแตกต่างกันอย่างมาก มากซะจนคิดว่ามาจากคนละยุค

“พวกนั้นเป็นแค่ชนพื้นเมืองจะใช้ของใหม่ให้เปลื่องทำไม พวกเบื้องบนก็คงจะคิดแบบนั้นอยู่แน่ๆ แถมที่นี้คืออาณานิคม พวกเขาต้องล้าหลังเราเสมอเป็นคำสั่งจากกองทัพเรือ” ถึงจะพูดว่าล้าหลังก็เถอะ แต่พวกเขาก็คือประชาชนที่พวกเราควรจะปกป้องไม่ใช่หรอ? หรือเพราะเป็นว่าพวกเขาคือชนชั้นอาณานิคม แม้ว่าคิดอะไรไปมันก็ไม่ช่วยอะไรได้

“แล้วก็เตรียมเปลี่ยนคําพูดคำจาด้วย จำไว้อาณานิคมชนชั้นสูงเขาไม่ได้ใช้ภาษาสมัยใหม่แบบเรา เข้าใจนะ”

“ทราบ!”

เอาเถอะสู้ไปจนตัวตายก็ไม่สามารถรู้ความคิดพวกชนชั้นสูงพวกนั้นหรอก แม้จะคิดอย่างไรพันเอกคนนี้ก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างแรง

ทหารชาวลีโอทยอยลงจากเรือ ทางผู้นําเขตก็รีบสวมบทเป็นเหมือนสุนัขที่มาค่อยต้อนรับเจ้าของ โดยเปิดด้วยการพูดอย่างรวดเร็วพร้อมชวนเชิญให้ไปด้วยกันกับเจ้าตัว “โอ้ว! ช่างดีอะไรเช่นนี้! ในที่สุดพวกท่านก็มา อ้าา! เชิญๆ ท่านนายพล พวกเราเตรียมที่พักให้ท่านเรียบร้อยแล้วขอรับ เชิญ-”

“ขออภัยแต่ ข้ามิได้มียศนายพล เพราะมีปัญหาเรื่องขาดผู้บังคับบัญชาที่แนวหน้า ทางสภาจึงได้ส่งข้ามาแทน” ทางด้านเจ้าตัวก็สะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็พอเก็บอาการที่ตัวเองหน้าเสียเล็กน้อย

“!!?? อภัยๆ ขออภัยอย่างยิ่ง แล้วนามของท่านคือ?” นายทหารในเครื่องแบบหันมากล่าว

เซอร์ กาย ดิ ดับลินท์ พันเอกแห่งสหจักรวรรดิลีโอเนีย

ชื่อเซอร์นําหน้า บ่งบอกได้ว่าเป็นชั้นชนสูงในดินแดนสหจักรวรรดิ บรรดาศักดิ์ในลีโอเนียนั้นถือว่าสำคัญอย่างมาก เซอร์ใช้เรียกขุนนางระดับที่อยู่ในกองทัพ นั้นหมายความว่าชายผู้นี้มีโอกาสเป็นถึงเจ้าในดินแดนลีโอเนีย

หรือก็คือตระกูลที่ปกครองเมืองที่อยู่ภายในประเทศแม่ สหจักรวรรดินั้นปกครองโดยจักรพรรดิ รองลงมาคือเหล่าวุฒิสภาที่มาจากขุ่นนาง(lord)ที่ปกครองแต่เมืองในจักรวรรดิ และสุดท้ายคือเหล่าข้าราชการที่มาจากประชาชนในจักรวรรดิ  แน่นอนว่า

นามสกุลที่เอ่ยมานั้นถึงไม่รู้ว่าเป็นเมืองใหญ่หรือไม่ แต่ขอขึ้นว่าเป็นตระกูลที่ปกครองเมือง ก็เท่ากับว่ามีอํานาจทางการเมืองอยู่ส่วนหนึ่งอย่างแน่นอน

‘อย่างน้อยเจ้าเด็กคนนี้ก็ควรค่าแก่การผูกมิตรกระชับชิดด้วย’ ผู้นำเขตคิดได้ก็ยิ้มเจ้าเล่ห์เหมือนจิ้งจอกเฒ่า ถ้าให้พูดก็เหมือนสมัยก่อนที่เชื่อมความสัมพันธ์เพราะเรื่องผลประโยชน์ส่วนตนอะไรทำนองนั้น อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าผู้นำเขตจะรู้สึกคุ้นเคยกับพันเอกตรงหน้า แต่คิดเท่าไรเขาก็ไม่สามารถนึกได้ว่า เคยเจอกับชายคนนี้เมื่อใดกัน

“เรื่องที่พัก… เอาไว้วันหลัง ตอนนี้พาข้าไปค่ายทหารเสียก่อน พวกเราจะเริ่มประชุมแนวทางกำจัดภัยในอาณานิคมทันทีเมื่อไปถึง… หากเป็นไปได้ ก็ให้ส่งม้าเร็วไปแจ้งผู้ที่มียศสูงสุดในกองกำลังรักษาดินแดนมาประชุมที่ค่ายหลักภายในวันนี้…” พันเอกกายเดินสะบัดผ้าคลุม พร้อมเดินผ่านอย่างไม่ไยดีเหมือนผู้ว่าเขตเป็นแค่อากาศ แน่นอนว่าในใจคงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแต่ก็คงสีหน้าและหัวเราะแห้งๆ แก้ขัดได้อย่างเดียว เขาเรีบพูดกับคนคุ้มกันและเดินตามพันเอกทันที

เมื่อพันเอกและทหารคนสนิทเดินทางเหมือนกับรู้เส้นทางของเมืองท่าแห่งนี้เป็นอย่างดี ทั้งสองมองบ้านเมืองที่ไม่ค่อยจะดูดีนักหากเทียบกับดินแดนแม่ของตนเอง ถ้าเปรียบเทียบแล้วเมืองท่าแห่งนี้ก็คล้ายกับเขตสลัมเก่าๆเสียมากกว่า ทั้งสองเดินไปยังค่ายทหารเพื่อจัดการประชุมภายในวันนี้

“ไหนว่าจะเตรียมจัดประชุมกันไงครับ แค่นี้เหนื่อยแล้วเหรอ? คิ…”

“เฮ้อ…” เสียงถอนหายใจของพันเอกหนุ่มที่นั่งอยู่ในห้องพักของตน พร้อมทหารคนสนิทที่ น่าจะเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนกันเสียกว่าที่จะมาเรียกว่าทหารคนสนิท เพราะขนาดตัวเขาเองก็ดูจะไม่ค่อยเคร่งครัดอะไรมากเวลาอยู่พูดคุยด้วยกัน

“ให้ตายสิ นอกจากพวกทหารประจำการที่ไม่เอาไหนแล้ว ยังต้องมามองดูสภาพบ้านเมืองแล้ว ฉันก็แค่ไม่ชอบแค่นั้นเอง” ทั้งสองเปลี่ยนการใช้คําพูดให้ดูแปลกกว่าเดิม ก่อนจะพูดคุยเรื่องบ้านเมืองที่พวกเขาเจอระหว่างทาง

“แล้ว? หลังจากจบงานนี้ คุณจะกลับบ้านไหมกลับไปช่วยพวกเขาสู้และเตรียมการสำคัญ หรือจะอยู่และทำตามฝันที่ตัวเองเคยวาดไว้?” ทหารคนสนิทถามกับเพื่อนสหายของเขาที่มียศสูงกว่าอย่างไม่ถือตัว แลดูจะเลยเถิดเสียมากกว่า

“ไม่รู้สิ.. ไม่มีใครรู้หรอก.. ใครมันจะไปรู้อนาคตข้างหน้ากัน? แต่ถึงอย่างนั้นมันก็น่าตื่นเต้นไม่ใช่เหรอ… ช่างเรื่องพวกนี้เถอะ ขอพักสักหน่อยแล้วจะตามไป ฝากเรื่องเอกสารด้วยละกัน... วันนี้ฉันอยากจะไปเจอคุณหนูแล้ว” พันเอกกายกล่าวอย่างส่งๆ ผู้ถามเองก็คงจะไม่ถามมาก เขาจึงขอตัวออกไปเตรียมตัวข้างนอก ปล่อยให้เพื่อนของเขานั่งจมในห้วงความคิดอย่างโดดเดี่ยว เพราะมันอาจจะเป็นสิ่งเดียวที่เขาทำได้ ณตอนนี้….

……

.

.

.

.

.

.

ม้าเกวียนส่งเสียง พ่อค้าเดินทางผ่านกันระหว่างเส้นถนนหนทาง การเดินทางของลาสและเหล่าผู้ร่วมเดินทางก็ได้ได้ผ่านร่วงเลยมาเกือบเดือนกว่าๆ เป็นการเดินทางที่ยาวนานจนชายหนุ่มผู้มาจากยุคสมัยใหม่อยากจะกรีดร้องไห้

พวกเขาได้รับข่าวคราวจากชาวบ้านข้างทางและพ่อค้าเร่ที่เดินทางไปมาระหว่างเมืองต่อเมือง ไม่ว่าจะเรื่องสงคราม และเมืองกิวเบกที่กลายเป็นเถ้าธุลีจากการจู่โจมอย่างรุนแรงของชนพื้นเมือง แต่โชคยังดีที่ชาวบ้านได้อพยพไปก่อนหน้านี้แล้ว มีเพียงทหารที่ตายเพื่อปกป้องเมืองกิวเบกเท่านั้น หลายต่อหลายคนบอกว่า พวกเขาส่งข้อความขอความช่วยเหลือไปยังเมืองหลวงแล้ว แต่กลับไม่มีวี่แววของทัพหลักของอาณานิคมเลยแม้แต่น้อย

สุดท้ายก็ถูกปิดล้อมโดยชนพื้นเมือง ก่อนจะสู้รบกันชาวเมืองที่หลบหนีตายออกมาว่ากันว่าพวกเขาบอกว่า ชนพื้นเมืองทำศึกโดยการลักลอบเข้ามาในแนวป้องกันของอีกฝั่ง แม้พวกเขาตื่นตัวตลอดเวลาเพราะถูกปิดล้อมแต่ การที่สามารถลักลอบเข้ามาก่อความวุ่นวายได้ถือว่ายากมาก ซึ่งการกระทำของชนพื้นเมืองเหล่านี้สำเร็จจนสามารถบุกเข้าสังหารเหล่าทหารและชาวเมืองที่ยังติดอยู่ข้างในจนไม่มีใครรอด

อย่างไรก็ตามกองกำลังชนพื้นเมืองที่สามารถลักลอบลึกเข้าในอาณานิคมและทำลายเมืองได้ถือว่าเป็นอันตรายอย่างมาก

หลายกลุ่มที่เป็นชนพื้นเมืองแรกเริ่มหรือผู้อาศัยก่อนที่ชาวอัลชลาฟไวส์จะค้นพบอาริกาเซีย พวกเขาเหล่านั้นได้เข้าร่วมกับซู หรือชนเผ่าซูซึ่งเป็นชนเผ่านักรบที่อยู่ต่อต้านจากตอนเหนือ เพื่อที่จะสู้กับอณานิคมที่ 6 และชาวทะเล มีข่าวลือว่าจำนวนชนพื้นเมืองรวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าจะมากกว่าทหารที่ประจำการทั้งหมดในอาณานิคมเสียอีก

แม้ว่าหลายคนเริ่มจะกลัวว่าพวกชนเผ่าอาจจะพรากชีวิตและบ้านเมือง ก่อนจะถูกขับไล่ให้กลับไปอัลชลาฟไวส์หรือทวีปอื่นๆ ที่จากมา แต่กลุ่มที่มีความกลัวที่สุดและน่าเป็นห่วงคงเป็นพวกเหล่าเชื้อสายอาริกาเซีย หรือชาวอาณานิคมที่เป็นเกิดบนทวีปอาริกาเซียซะมากกว่า

ความตื่นกลัวเริ่มปกคลุมไปทั่วอาณานิคมเหมือนกับพายุที่โหมกระหนํ่าเรือใบที่ข้ามทะเลจนจมลงไปใต้มหาสมุทร

ในขณะที่คนอื่นกังวลแต่ชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังรถม้ากลับคิดต่าง ชายหนุ่มมองออกว่าอะไรจะเกิดขึ้นแม้โอกาสมันกลางๆ 50/50 หรืออาจจะไม่เกิดขึ้นก็เป็นได้ แต่เขารู้ว่าต่อให้ชนพื้นเมืองที่มีแค่ธนูและลูกดอกรวมตัวกันสู้กับทหารที่มีปืนก็มิอาจจะชนะได้ ยกเว้นเสียแต่จะเป็นเหมือนยุทธการที่ลิตเติลบิกฮอร์น หรือชัยชนะสุดท้ายของชนพื้นเมืองอเมริกาเหนือ

แต่ในเวลานี้ลาสไม่ค่อยจะสนใจอะไรนอกจากข่าวจากโลกภายนอก ข่าวจากโพ้นทะเล เป็นข่าวที่ใหญ่กว่าเรื่องที่อาริกาเซีย มันพอที่จะให้ลาสเริ่มคิดอะไรที่ไม่ควรคิดในชีวิตของเขา

สิ่งที่ลาสคิดคือเรื่อง สงครามครั้งใหญ่ของลีโอเนียและการพ่ายแพ้ครั้งแรกที่ยุทธการอิสตัน

แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าข้อมูลที่ได้มาเป็นเรื่องเท็จจริงหรือไม่ อย่างไรก็ตามเพราะข้อมูลที่ได้มานั้นน้อยนิด เป็นแค่การพูดปากต่อปากของพ่อค้าต่างแดนที่เดินทางเข้าในทวีป แต่หากเป็นจริงแแล้ว การที่คิดว่าตัวเองนั้นแข็งแกร่งจนสามารถสู้ได้ สุดท้ายอาจจะตายโดยสิ่งที่ไม่ขาดคิดก็เป็นได้

อย่าเถลิงในอํานาจของตนจนมิได้ดูบ้านเมือง

เพราะมันจะนำพาไปซึ่งความวิบัติของตนเอง

นั้นคือสิ่งที่ชายหนุ่มคิด ระหว่างคิดอะไรไปเลื่อยๆ จนเผลอหลุดเข้าไปอยู่ในห้วงนิทรา ดวงตาค่อยปิดลงพร้อมภาพที่มืดมิด เมื่อมีแต่เสียงลมหายใจของรางบาง ก็เสียงดังขึ้นอย่างเบาๆ

“ลาสหลับไปแล้วค่ะ…” ไวท์ที่นั่งมองลาสหลับจนสนิทก็ได้กล่าวกับลุงสมชายที่นั่งบังคับม้าอยู่

“จะกล่าวเรื่องอะไรเล่า? ถ้าพูดเรื่องก่อกบฏ ฉันขอผ่านล่ะนะ ฉันไม่ยอมเอานัทสึมิไปเสี่ยงเด็ดขาด!”

“ฉันรู้แจ็ค แต่การต่อต้านมันได้เริ่มไปนานแล้ว การที่เจ้าลาสมาอยู่ที่แห่งนี้ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เห็นว่า ไม่ใช่แค่ราชวงศ์หรือขุนนางที่จะสามารถปกครองได้อย่างผู้เดียว” ไวท์จ้องมองไปยังแจ็ค จิ้งจอกสาวรู้ว่า ชายผู้นี้ห่วงความปลอดภัยของผู้เป็นรักของตน เขาจึงรีบกล่าวปฏิเสธทุกอย่างที่อันตรายต่อนัทสึมิ

“อย่าพึ่งไปคิดเรื่องน่าปวดหัวเลย เพราะยังไงโลกแบบนั้นก็เป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้นล่ะ ยกเว้นเสียแต่ ความคิดและความรู้ในหัวของเจ้าลาสจะถูกเปิดเผยให้ทุกคนบนอองโทราลได้รับรู้ เมื่อนั้นอองโทราลก็คงได้เข้าสู่ความวุ่นวายไม่จบไม่สิ้นอย่างแน่นอน!”

“หรือ… เข้าสู่ยุคแห่งความเปลี่ยนแปลง” เสียงของไวท์นั้นเบาลงจนไม่มีใครได้ยิน


0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด