ตอนที่แล้วตอนที่ 5 มาถึงพร้อมกับปัญหา (Arrival with problems)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 7 จินตนาการ (Imagination)

ตอนที่ 6 ชนพื้นเมืองอาริกาเซียสู่สงคราม! (Natives Aricassia to war!)


ชนพื้นเมืองอาริกาเซียสู่สงคราม!

(Natives Aricassia to war!)

ชายหนุ่มยกยิ้มด้วยความบริสุทธิ์ใจ แม้ว่าภายในใจนั้นจะปนเศร้าหมองก็ตาม ใบหน้าของเด็กหนุ่มชนพื้นเมืองตรงหน้าเหมือนกับภาพขาวดำของชนพื้นเมืองไม่ว่าจะเป็นอเมริกาเหนือหรือใต้ในโลกเก่าของดักลาส หน้าตาเด็กช่วงวัยรุ่น อายุประมาณ สิบห้า สิบหก เส้นผมสีออกสีน้ำตาลอ่อน ครึ่งมนุษย์ครึ่งสัตว์เหมือนกับจิ้งจอกสาว ไวท์

ทั้งที่ในตอนแรกเด็กคนนี้ยังทำหน้าตาดูน่าสงสารหดหู่ยิ่งนัก พึ่งผ่านเหตุการณ์ที่เลวร้ายไปได้ไม่นาน เด็กคนนี้ก็ยังคงสามารถรักษาใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มได้… ต้องอดทนได้ขนาดไหนกันนะ

เด็กหนุ่มที่ต่อสู้กับความเครียดและกล้าที่จะเผชิญหน้ากับมัน ช่างเหมือนกับน้องชายของเขาอย่างมาก ลาสกล่าวในใจอย่างตกใจ เพียงแค่อารมณ์ชั่ววูบของชายหน้าหวาน ก็ได้เผลอยืนมือไปลูบหัวและหูสุนัขของเด็กน้อยชนพื้นเมืองผู้นี้อย่างนุ่มนวล จนแม้แต่เจ้าตัวเด็กหนุ่มเองก็ยังแสดงอาการตกใจและเขินอาย

“อ๊ะ… ขอโทษนะ” ลาสกล่าวหลังพึงสังเกตว่าตนเองได้เผลอเอามือไปลูบหัวหมาน้อยตรงหน้า ผละออกอย่างรวดเร็วพร้อมกล่าวขอโทษที่ตัวเองไปล่วงเกิน เขาไม่รู้ว่าการจับหัวนั้นจะทำให้เด็กหนุ่มตรงหน้าโกรธหรือไม่

“ มะ...ไม่เป็นไรครับ”  ชายหนุ่มตอบกลับด้วยสีหน้าเขินอายแต่ลาสหาได้รู้ไม่ เสียงของเด็กหนุ่มนั้นเบาจนแทบไม่ได้ยิน

ระหว่างที่ทั้งสองคุยเกี่ยวกับเรื่องชุมชนกันอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง เด็กหนุ่มพื้นเมืองนั้นคิดว่าลาสนั้นเป็นพี่สาวที่แสนดี แต่ก็ถูกแก้ต่างอย่างรวดเร็ว ก็เพราะว่าตัวเขาเป็นผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิงเสียหน่อย!

ลุงสมชายกับชาวบ้านอีกสองสามคนได้เดินมาพบทั้งสองที่กำลังพูดคุยสนทนาอย่างสนุกปาก ก็ได้เรียกตัวทั้งสองเข้าไปคุยด้วย พวกเขาพากันไปกระโจมหลังใหญ่ที่สุดในชุมชนชนพื้นเมืองยูทาก้า ตัวกระโจมยังคงสภาพดีไร้ซึ่งร่องรอยจากถูกเผาไหม้ ไม่เหมือนกระโจมข้างเคียงที่ถูกเปลวไฟเผาผลาญจนมิเหลือเค้าโครงเดิมแม้แต่นิด อย่างไรก็ตามมันเป็นกระโจมของหัวหน้าเผ่า กระโจมที่ถูกตกแต่งด้วยขนนกสีนํ้าแดง

ขบวนรถม้าของลุงสมชายเดินทางมาด้วยนั้นก็ค่อยๆ ทยอยขับเคลื่อนเข้ามาในหมู่บ้าน แม้ว่ากระโจมในชุมชนจะดูมีสภาพย่ำแย่แต่ทุกคนที่เดินทางมาด้วยนั้นก็ได้ร่วมแรงร่วมใจช่วยกันบูรณะสถานกันอย่างขยันขันแข็ง ช่วยกันเก็บสิ่งของที่กระจัดกระจายให้เข้าที่เข้าทาง เหล่าชนพื้นเมืองขอบกลุ่มผู้ที่เข้ามาช่วยด้วยรอยยิ้มแม้ว่าพึ่งผ่านเหตุร้ายๆ มา ชนพื้นเมืองเหล่านี้เป็นผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งจริงๆ!!

ดักลาสเดินเข้าไปนั่งเคียงข้างลุงสมชายส่วนสามคนชนพื้นเมืองนั่งอยู่ตรงข้ามพวกเขา มีชนพื้นเมืองที่เป็นหญิงชราคอยนำน้ำเครื่องดื่มมารับแขก ลุงสมชายส่ายหน้า ไม่รับนํ้าดื่มจากชนพื้มเมือง ผิดกับลาสที่ต้องรับเพราะเขาต้องทำตามมารยาทที่เป็นการให้เกียรติเจ้าบ้าน เมื่อหญิงชราจากไปชายตรงกลางก็ได้เปิดบทสนทนาเป็นคนแรก เขาเป็นผู้นำของชุมชนแห่งนี้ ชายวัยชราอายุราวๆ ห้าสิบหกสิบ แต่งหน้าด้วยสีแดง และสวมเครื่องปกปิดไม่กี่ชิ้น เขามีหูและหางเหมือนกับชนพื้นเมืองในชุมชน ครึ่งมนุษย์สัตว์ หรือ อมนุษย์

“ข้าผู้เฒ่าแห่งชุมชนยูทาก้าขอขอบคุณ ท่านที่ช่วยเหลือพวกเรา… นี่ก็คงเป็นครั้งที่สามที่พวกเราได้รับการช่วยเหลือจากท่าน” ผู้นำเฒ่ากล่าว ก่อนที่จะชนพื้นเมืองทั้งหมดจะก้มหัวขอบคุณให้กับลุงสมชายและดักลาว

เม็ดเหงื่อไหลออกเหมือนน้ำป่า ดักลาสพยายามที่จะสงบสติอารมณ์เอาไว้ ใครมันจะไปคิดว่าไอ้คนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย จะได้รับคําขอบคุณจากใจ แถมยังถูกก้มหัวให้เหมือนกับเป็นผู้มีพระคุณเช่นนี้ ก็คงต้องมีอาการตกใจอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามระหว่างที่จะยกมือขึ้นมาห้ามปรามชนพื้นเมืองเหล่านี้

ลุงสมชายก็พูดขึ้นแทน “มิจําเป็นหรอก” เขาชะงัก “พวกเจ้าควรจะเปลี่ยนแปลง และเลิกวิธีแห่งสันติเสียเถิด เจ้าก็รู้ว่าพวกพ่อค้าต่างทวีปมักจะแอบทำผิดกฎเสมอ มันไม่เคยปล่อยให้พวกเจ้าได้อยู่ดีๆหรอกนะ”

ความจริงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เมื่อมีการอพยพหรือค้นพบดินแดนใหม่ ผู้ที่อยู่อาศัยก่อนกับผู้ที่เข้ามาอาศัยใหม่ จะเกิดปัญหาหลังจากที่พวกเขาอาศัยรวมกัน การแลกเปลี่ยน ทำความรู้จัก ทำความเข้าใจ ความรัก ก่อนจะตามมาด้วย ความขัดแย้ง การปล้นสะดม สงคราม จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ไม่ว่าจะเรื่องเล็กน้อย จนไปถึงเรื่องใหญ่โต มันก็จะมาพร้อมกับการสูญเสียทุกครั้ง และตอนนี้ลาสเองก็เจอกับตาเป็นที่เรียบร้อย

เหล่านักเดินทางเรียกผู้อยู่อาศัยก่อนเหล่านี้ว่า ชนพื้นเมืองอาริกาเซีย ผู้ที่อยู่มาก่อนที่เหล่านักเดินเรือทั้งหลายจะค้นพบดินแดนอันห่างไกลแห่งนี้ พวกเขาเชื่อมสัมพันธไมตรี และก่อตั้งอาณานิคมขึ้นบนทวีปแห่งนี้ แต่เมื่อผ่านไปนานเท่าไร ความขัดแย้งก็เริ่มเผยให้เห็น หลายต่อหลายคนของชนพื้นเมืองถูกล่าไปเป็นทาส แม้ว่าการล่าทาสจะผิดกฎหมายแต่จะทำอย่างไรได้ ก็กฎหมายทั่วไปและกฎหมายพลเมืองไม่ได้ครอบคุ้มกลุ่มคนบ้างกลุ่มเสียหน่อย และยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เมื่อกลุ่มชนพื้นเข้าปล้นเผาชุมชนชาวอาณานิคม สร้างบาดแผลความขัดแตกแยกมากขึ้นไปอีก

“พวกท่านเองก็รู้ตัวมิใช่หรือ!? การเบียดเบียนพื้นที่ของพวกท่าน มันได้เริ่มบานปลายไปนานแล้ว นักรบจากป่าสีขาวจากตะวันออกก็เข้าช่วยเหลือต่อสู้กับปีศาจสีแดง เผ่าเองซูตอนเหนือเองก็เริ่มเคลื่อนไวแล้วอย่างจริงจังแล้ว พวกเราช้าไม่ได้อีกแล้ว หากสงครามใกล้ยูทาก้าชุมชนของเราก็ไม่อาจจะหนีจากเปลวไฟของพวกท่านได้อีกแล้ว” ผู้เฒ่าของชุมชนกล่าวเสียงดัง

“เช่นนั้นพวกเจ้าจะเดินทางขึ้นเหนือ ก็ขอให้ช่วยรับพวกนอกทวีปกลุ่มนี้ไปด้วย ถือเป็นค่าตอบแทนน้ำใจที่ข้าช่วยไกล่เกลี่ยให้พวกเจ้า” ลุงสมชายตอบด้วยเสียงที่จริงจัง

“…ทราบแล้ว ข้าให้คำสัญญา พวกข้าจะช่วยชาวทะเลเหล่านี้ แต่ตัวข้ามิสามารถรับรองได้ว่าการเดินทางที่ยาวนี้จะสิ้นสุดที่ใด หากพวกเขาไม่พร้อมก็คงถูกจิตวิญญาณแห่งพื้นดินส่งกลับไปอยู่กับพระแม่สายนํ้า” ผู้เฒ่าชะงัก “เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนและขอบคุณท่านอย่างจริงใจ ช่วยรับเด็กน้อยคนนี้เดินทางไปด้วย”

หัวหน้าชนพื้นเมืองเผยมือไปทางเด็กน้อยที่ลาสได้เจอในตอนแรก ซึ่งเจ้าตัวเองก็ตกใจอย่างมากจนถึงขั้นที่เจ้าตัวโว้ยวายขัดคานคำสั่งของผู้เฒ่าทันที

“ทะ ทำไมต้องเป็นผมด้วย! ผมเองก็เติบโตและพร้อมจะสู้เพื่อดวงจิตแห่งลานาเจือเหมือนกันนะครับ!”

“เจ้ายังไม่พร้อม!!” ชายวัยกลางคนข้างๆผู้เฒ่ากล่าว “แม้ว่าเจ้าจะเติบโตเช่นเดียวกับพวกเรา แต่สายเลือดของเจ้าเป็นของพวกเหนือ มิใจยูทาก้า”

“ท่านย่าได้ทำนายให้เจ้าแล้ว มิมีข้อโต้เตียงใดๆ  เจ้าต้องไปกับชาวทะเล” เหล่าผู้อาวุโสและผู้ใหญ่บ้านพยักหน้าพร้อมกัน “เจ้าควรจะได้เห็นโลกภายนอกที่แท้จริง คำทำนายแห่งจิตวิญญาณผู้สูงส่งบอกให้เจ้าเป็นผู้กล้า และผู้อยู่รอด  ผู้ซึ่งมีสายเลือดจากสองดินแดน เจ้าต้องเชื่อมั่นเสมอว่า… อูต้านกี้ อาดัสเดววี ( อูต้านคุ้มครอง ) เจ้าเสมอ” เมื่อกล่าวเสร็จพวกลาสและหนุ่มชาวพื้นเมืองก็ได้ลุกออกจากกระโจม

ลุงสมชายและผู้เฒ่าพูดคุยกันเล็กน้อยก่อนจะเตรียมเดินทางไปยังเมืองต่อไป ระหว่างเดินไปหาไวท์และแจ็คที่เกวียนของกลุ่มตัวเอง ลาสที่รู้สึกไม่ค่อยดีเมื่อเห็นใบหน้าที่เศร้าของเด็กหนุ่มชนพื้นเมืองข้างตัวเขา ถ้ายังอยู่แบบเงียบๆแบบนี้ต่อไปมีหวังได้กระอักความผิดที่พามาด้วยแน่ๆ ชายหนุ่มอาจจะไม่ได้อยากไปกับพวกเขา แถมยังถูกบังคับโดยคนในเผ่าตัวเอง มีใครจะไม่ชิงชังบ้าง?

สุดท้ายลาสก็เลยเอ่ยถามทำลายความเงียบเป็นคนแรก

“ว่าแต่… ฉันยังไม่ถามชื่อของนายเลย ระหว่างเดินทางถ้าเกิดยังไม่รู้ชื่อเวลาเรียกมันจะลําบากเอา เพราะงั้น” ลาสชะงัก “ฉัน ดักลาส แมรี่แลนด์ เฮ้! ได้ยินไหมเนี่ย?”

แม้ชายหนุ่มพื้นเมืองคนนี้จะทำสีหน้าเศร้าหมอง และไม่กล้าที่จะสนทนาตอบโต้ด้วย แต่ลาสที่เริ่มขขึ้นเสียง จนสุดท้ายเจ้าตัวก็ต้องตอบกลับไปด้วยความตกใจ

 บะ..บูลล์ จากเผ่ายูทาก้า ยินดีที่ได้รู้จักครับ! 

เสียงหลุดขำของลาสค่อยๆดังขึ้นแม้ว่าเจ้าตัวที่พูดเมื่อกี้จะมีสีหน้าที่ไม่รู้เรื่องว่าทำไมจะต้องหัวเราะต่อชื่อของเด็กหนุ่มด้วย จนบูลล์ต้องถามว่าลาสหัวเราะอะไรของเขา ลาสไม่ตอบกลับแต่ลูบหัวเด็กหนุ่มด้วยความเอ็นดูในใจของลาสนั้นไม่ยอมพูดออกมา

‘ ช่างเหมือนจริง เหมือนจริงๆนั่นแหละ อ่า..ไม่ได้เจอไอน้องชาตัวแสบมากี่ปีแล้วนะ.. คิดถึงจริงๆ ‘

ดักลาสที่เดินกลับมาถึงก็รู้สึกแปลกใจ สายตาจับจ้องไปยังชายและหญิงที่กำลังคุยกันอยู่ใกล้เกวียน เป็นแจ็คที่กําลังคุยกับผู้หญิงคนหนึ่ง แถมยังคุยกันสนุกปากอีกด้วย มันช่างเหมือนกับว่าชายหนุ่มและหญิงสาวกําลังจีบกัน เห็นแล้วมันขัดใจยิ่งนัก! ลาสรีบก้าวเท้าเดินนําไปหาแจ็คคนแรกและกล่าว

“ เฮ้อ… มาจีบอะไรกันตรงนี้งั้นเหรอครับ?”

ทั้งสองที่กําลังคุยกันอยู่ก็มีลาสพุ่งเข้าแทรกระหว่างสองคนด้วยสีหน้าหยอกล้อนิดหน่อย แน่นอนว่าฝ่ายชายตกใจเล็กน้อย แต่ก็ดีดหน้าผากลาสด้วยหมั่นไปทีหนึ่ง ‘ เฮ้! ฉันอายุ 30 กว่าแล้วนะ ’ เสียงในใจของลาสดังก้อง

“อะหร่ะหร่ะ น้องของคุณเหรอคะ? ช่างน่ารักเสียจริง ใช่แล้วพี่เป็นคนรักแจ็คเอง” พี่สาวตรงหน้าเข้าไปกอดแขนแจ็คจนเจ้าตัวหน้าแดงก่อนจะโวยวายเล็กน้อยด้วยความเขิลออกหน้า

“เอ๋!? คุณแจ็ค มีแฟนกับเขาเป็นด้วย!” ตามมาด้วยเสียงโดนแทงภายในจิตใจของแจ็คผู้น่าสงสาร

แต่ไม่ทันจะได้เถียงกับลาส เจ้าตัวดันถามหาไวท์เสียก่อนไม่ให้โอกาสชายตรงหน้าได้ตอบโต้

ไวท์กําลังรักษาคนเจ็บอยู่ เจ้าตัวเป็นถึงผู้ใช้เวทรักษาที่โด่งดัง เป็นผู้ใช้เวทรักษาที่หาได้ยากบนทวีปแห่งนี้ แต่พูดยังไม่ทันขาดคําเจ้าตัวจิ้งจอกสาวก็ได้เดินมาพอดิบพอดี

“พี่นัทสึมิ!” ไวท์ทักทายหญิงผู้เป็นคนรักของแจ็คซึ่งชื่อว่านัทสึมิ ทั้งสองดูรู้จักกันมานาน ส่วนเจ้าตัวที่ถูกเรียกรีบวิ่งเข้ามากอดจิ้งจอกสาวจนใบหน้าของไวท์จมไปกับภูเขาทั้งสอง เจ้าตัวคงอึดอัดไม่ใช่น้อย ลาสหันหน้าหนี…

“ไวท์จัง! ไม่ได้เจอกันนานจริงๆ โตขึ้นเยอะเลยนะเรา” เธอกล่าว

“ปล่อยก่อนค่ะ- หายใจไม่ออก...จะตายแล้วค่ะ !!” กว่าจะปล่อยก็ทำเอาไวส์เกือบหายใจไม่ออกตาย โดยมีสายตาจากแจ็คเป็นห่วงเล็กน้อย แต่เพราะลาสกําลังพูดแทงใจอยู่ก็เลยไม่ได้สนใจอะไรมาก

ลาสที่หยอกล้อกับแจ็คเสร็จสรรพ ก็ได้หันหัวไปถามนัทสึมิ

ด้วยความสนใจที่หญิงสาวใหญ่ตรงหน้าดูเหมือนคนญี่ปุ่นอย่างมาก ไม่ว่าจะการแต่งตัวหรือชื่อ ซึ่งก็ได้คำตอบว่า ยัทสึมิเป็นชาวเกาะจาก อาชิช่ะ อยู่ทางตะวันออกของยูต้า อาฟโรร่า แต่อยู่ห่างไกลจากทวีปอาริกาเซียอย่างมาก ซึ่งเหมือนกับทวีปอื่นๆ จากที่พี่สาวผู้นี้เป็นคนเล่า เกาะที่เธอจากมาหรือเกาะอาชิช่ะ มีวัฒนธรรมแบบแยกที่คล้ายกับทวีปยูต้า อาฟโรร่าฝั่งตะวันออก พอยิ่งฟังเท่าไรก็ยิ่งเหมือนกับเอเชียตะวันออกอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม อาชิช่ะเป็นอาณาจักรคู่ หรือก็คือมีสองอาณาจักรที่แตกต่างและแยกจากกันแต่มีบัลลังก์เดียวที่ปกครองควบคู่ทั้งสองอาณาจักร ราชาธิปไตยแบบควบคู่ หรือ ระบอบกษัตริย์คู่ ตอนเหนือคล้ายเป็นญี่ปุ่นซึ่งเป็นบ้านเกิดของนัทสึมิ เธอกล่าว ตอนใต้ที่เป็นเกาะเหมือนกัน เธอเรียกมันว่า สยาทวีป เป็นเกาะร้อนที่เต็มแตกต่างจากเกาะเหนือ หรืออาชิช่ะโดยสิ้นเชิง แม้จะเล็กเก่าอาชิช่ะแต่ก็มีบทบาทอย่างมากบนอองโทราน

เธอยังบอกอีกว่า ลุงสมชายก็มาจาก เกาะอาชิช่ะ หรือสยาทวีปอีกด้วย ‘ แค่ชื่อมันก็ไทยโคตรแล้ว! ’ ลาสคิดในใจ ในขณะที่ลุงสมชายทำงานที่เดินทางระหว่างทวีปได้ ตัวเธอไม่ได้ทำงานเช่นนั้น นัทสึมิเป็นผู้ย้ายถิ่น ผู้อพยพที่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมายังทวีปแห่งนี้พร้อมครอบครัวตั้งแต่ยังเด็กยังเล็ก เธอเติบโตและรู้จักกับแจ็คตอนที่เข้ามาอยู่ในอาณานิคมแห่งนี้ ก่อนที่จะพัฒนาจากเพื่อนไปเป็นความรัก ทั้งสองเองก็ดูจะมีใจให้กันอย่างมาก

แน่นอนว่าแจ็คเดินทางมารับพี่สาวซึ่งแอบซ่อนตัวอยู่ในชุมชนแห่งนี้มาก่อนที่ลาสจะมาถึง

เพื่อไปเมืองหลวงของอาณานิคมพร้อมกับคณะเดินทางของลุงสมชาย ทั้งสามที่ได้เพิ่มนัทสึมิไปด้วย ก็ได้เตรียมข้าวของออกเดินทางกันต่อ ชาวบ้านทั้งหลายที่เดินทางมาด้วยก็อำลาพวกของดักลาส ขอบคุณคณะเดินทางของลุมสมชายที่เดินทางมาส่งที่ชายแดนอันห่างไกลนี้

เดินกลับไปยังเกวียนของตนเอง ก่อนจะได้ออกเดินทางไปยังเมืองหลวง ลุงสมชายก็หันมาหาดักลาสและขอคุยเป็นการส่วนตัวด้วยใบหน้าที่จริงจัง เขากล่าว

“ข้าอยากรู้เสียจริง เจ้าคิดเห็นเช่นใดกับชนพื้นเมืองและสถานการณ์ในตอนนี้”

“ผมเองก็คงพูดอะไรไม่ได้มากหรอกนะครับ อย่างแรกเลยผมไม่ได้ความรู้กับเหตุการณ์ใดๆในตอนนี้ แต่สิ่งที่ผมสามารถบอกได้อย่างเต็มปากคงเป็น ต่อให้พวกเขา(ชนพื้นเมือง)จะรวมใจเป็นหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถขับไล่ผู้อยู่อาศัยใหม่กลับทะเลได้อย่างแน่นอน หากมีชัยแต่ก็หนเดียว สุดท้ายแล้วก็คงพ่ายแพ้อย่างหมดรูปแน่นอนครับ”

“เอาความมั่นใจนั้นมาจากไหนกัน...”

ชายชราไม่เถียงอะไรดักลาส ตัวเขาเองก็รู้ดี ไม่ใช่การต่อสู้เพื่อทวงดินแดน มันคือการฆ่าล้าง แต่ไม่ใช่ฝั่งชาวอาณานิคมที่จะถูกฆ่าล้าง แต่เป็นชนพื้นเมืองที่ยังไม่พัฒนา

สหจักรวรรดิมีแสนยานุภาพที่น่ากลัว ต่อให้ทั้งอาณานิคมจะตั้งตัวเป็นศัตรูก็มิสามารถเอาชนะได้แน่นอน นั้นคือสิ่งที่ชายชราผู้มากไปด้วยประสบการณ์รับรู้

“เอาเถอะ ถ้าผมคิดว่าพวกนั้นมันจะเลยเถิดเกิน ผมคงต้องช่วยล่ะนะ…” ลาสพูดออกมาอย่างเบาๆ ขนาดที่ว่าชายชราเองก็ไม่ได้ยิน พวกเขาเคลื่อนตัวเดินทางไปอีกเส้นทางกลับไปยังเป้าหมายหลัก มุ่งสู่เมืองหลวงของอาณานิคม

……

.

.

.

.

.

.

ศักราชอองโทรานที่ 3924

มหานครหลวงแห่งสหจักรวรรดิลีโอเนีย ลอนดาเนีย

หนังสือพิมพ์ถูกซื้อโดยชาวเมือง พาดหัวข่าวสีแดงเด่นชัด ป่าวประกาศกระจายเต็มถนนคนเดิน ข่าวคราวว่าด้วยเรื่องสำคัญต่อทุกคนที่อาศัยอยู่ในดินแดนลีโอแห่งนี้

สหจักรวรรดิแห่งลีโอเนียประกาศสงคราม!

อาณาจักรทูเดียสนับสนุนการลักลอบบนอาณานิคมใต้!

พ่อค้าอาวุธถูกจับโดยราชนาวีลีโอ!

การอ้างเหตุผลเรื่องที่อาณาจักรทูเดียสนับสนุนการลักลอบสิ่งค้าจากอาณานิคมโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ได้ผ่านมติของสภาสูงของสหจักรวรรดิแห่งลีโอเนีย และการเข้าไปก้าวก่ายการปกครองของอาณานิคมเขต 4 บนทวีปโดส สเลเลน การกระทำดังที่กว่ามา ทางสภาสูงเห็นพ้องต้องกันว่าทูเดียได้ทำลายกฎสากลแห่งอองโทราน ด้วยการพยายามยุยงปลุกปั่นให้เกิดความไม่สงบในเขตปกครองของมหาอำนาจ

และเพื่อต้องการโต้ตอบอย่างมิชอบธรรมของอาณาจักรทูเดีย จึงได้มีพระบรมราชโองการของ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิเฮนรี่ที่หนึ่ง เปิดฉากสงครามเต็มรูปแบบกับอาณาจักรทูเดียผ่านมติของสภาสูงแห่งลีโอเนีย การประกาศสงครามกับอาณาจักรทูเดีย ทำให้เหล่าอาณาจักรมหาอํานาจที่เฝ้ารอมานานเข้ารวมสู่สงครามอีกด้วย อาณาจักรทูเดียได้พันธมิตรผู้สนับสนุนรวมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่คืออาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ฟฟาลังซ์ ที่ต้านอำนาจของสหจักรวรรดิอยู่ในตอนนี้

เป็นที่รู้กันว่าประวัติดินแดนของสหจักรวรรดิแห่งลีโอเนีย มีแต่การศึกสงครามแม้ว่าจะผ่านมาหลายพันปีแล้วก็ตาม จนกระทั่งเมื่อหลายร้อยปีก่อนการโผล่ของแนวคิดและอุดมการณ์การณ์รวมชาติ เริ่มที่จะมีอำนาจในหมู่นานา อารยะในทวีปอัสชลาสไวส์ สงครามการรวมชาติได้เกิดขึ้นทั่วทวีป แน่นอนว่าหลายอาณาจักรได้กลายเป็นจักรวรรดิบ้างก็ถูกกลืน แต่เมื่อจักรวรรดิเริ่มใหญ่ขึ้น พวกอาณาจักรน้อยๆ ทั้งหลายเริ่มหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ แต่มันไม่ใช่กับจักรวรรดิน้อยๆ ที่มีเชื่อสายวงตระกูบมากมาย พวกเขาผนวกจักรวรรดิน้อยใหญ่เข้าด้วยกันแต่ก็ยังมีราชาและจักรพรรดิปกครอง แต่อำนาจสูงสุดจะรวมอยู่ที่สมเด็จพระจักรพรรดินีคาตาลินาที่หนึ่ง ผู้เป็นจักรพรรดินีคนแรกที่สามารถผนวกลีโอเนียให้กลายเป็นหนึ่งเดียวได้ ความแข็งแกร่งที่หลายอาณาจักรน้อยใหญ่ต่างพากันยอมรับก็คือกองเรือราชนาวีที่ยิ่งใหญ่ของสหจักรวรรดิ

อองโทราลนั้นมิเคยมียุคแห่งความสงบสุข ทั่วทั้งสามทวีปเต็มไปด้วยเปลวไฟแห่งสงคราม ความยากไร้และอดยาก นั้นคืออองโทราล นั้นคือ…

โลกที่เต็มไปด้วยไฟสงคราม สงครามที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง


(แก้ไข 5/1/23)

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด