ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 2 สถานที่ที่ไม่รู้จัก (Unknow Place)

ตอนที่ 1 จุดจบด้วยคําถามของอิสรภาพ (End with Question of Freedom)


จุดจบด้วยคำถามของอิสรภาพ?

( End with Question of Freedom?)

จุดจบและจุดเริ่มต้นของเรื่องราว

ความจริงที่ยากที่จะพูด

แต่มันมักจะเริ่มต้นได้แย่ในบางครั้ง…

เผด็จการ ทรราช? คำกล่าวพูดติดปากของชาวเสรีชนทั้งหลาย… ที่เคยอยู่หรือไม่เคยอยู่ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

แล้วประเทศที่เสรีคืออะไรกันแน่ ดินแดนที่ทุกคนมีอิสระทางความคิดเป็นของตน ผู้นำสามารถโดนไล่ออกได้เพียงเพราะคดโกงต่อประชาชน ผู้นำสามารถถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งได้เพียงเพราะไร้ความสามารถ

แล้วมันหายไปไหนกันแล้วล่ะ?

ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปสังคมของมนุษย์เราก็เช่นกัน การเปลี่ยนแปลงมันเหมือนกาลเวลา เข็มนาฬิกาที่เดินไม่หยุดนิ่ง วนไปมาไม่มีที่สิ้นสุด เช่นเดียวกับสิทธิ์ที่มากมายของคณะผู้ปกครองและตัวผู้ปกครองเอง หรือแม้แต่การโกงเสียงเลือกตั้ง ก็สามารถพบเห็นได้บ่อยขึ้นอย่างน่าใจหาย ไม่เพียงแค่เรื่องราวของเหล่ากลุ่มอำนาจมืด

แต่เหล่าเสรีชนใน ประเทศของผู้ปกครองเหล่านี้ พวกเขาทั้งหลายล้วนแล้วรับรู้ได้ถึงความผิดปกติของระบบการปกครอง สังคมที่พวกเขาอาศัยอยู่ มันค่อยๆเปลี่ยนไปไม่เร็วจนเกินไป

หลายรัฐชาติ หลายประเทศใช้คำว่า “ประชาธิปไตย” เป็นของสิ่งนำหน้า ตกแต่งประดับไว้ให้ผู้คนได้เห็น ในขณะที่เบื้องหลังกลับทำตัวเป็น “อัตตาธิปไตย” โดยมี “คณาธิปไตย” เป็นผู้ช่วย ทั้งๆ ที่ประชาธิปไตย หมายถึง อำนาจอธิปไตยของปวงประชาส่วนมาก ไม่ใช่ส่วนน้อยแต่อย่างใด?

แต่ไฉนบางคนถึงมีอำนาจมากกว่าส่วนรวมกัน?

บางประเทศบางชาติ เหล่าอดีตผู้ปกครองดินแดนดังเดิม อย่างกษัตริย์ ก็เริ่มกลับมาควบคุมอำนาจอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม มันก็ยังดีอยู่บ้าง ที่ในปัจจุบันไม่มีใครอยากจะเป็นแบบผู้นำจอมเผด็จการอย่างอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ หรือผู้ให้กำเนิดการคลั่งชาติอย่าง มุสโสลินี เหล่าผู้นำชื่อก้องโลกที่พยายามยกระดับความขัดแย้งระหว่างชาติและเชื้อชาติอย่างสุดโต่ง กลายมาเป็นโศกนาฏกรรมที่ยิ่งใหญ่ของโลกเรา

จะเผด็จการหรืออะไรก็แล้วแต่ที่พวกท่านจะคิด ตอนนี้ ณ ที่แห่งนี้ ประเทศในโลกที่ 3 ประเทศเล็กๆในดาวเคราะ์โลก พึ่งจะถูกรัฐประหารได้มาไม่นานนัก โดยการกล่าวว่ารัฐบาลกลางที่กระสับกระส่ายไม่สามารถแก้ไขปัญหาภายในได้อย่างมีประสิทธิภาพ คอร์รัปชัน และอื่นๆ นั่นจึงเป็นเหตุให้คณะผู้ก่อรัฐประหารได้อ้างสิทธิ แล้วทำการยึดอำนาจและถอดถอนรัฐบาล

นอกจากที่การรัฐประหารจะเกิดขึ้นบ่อยในประเทศเล็กๆที่ถูกปลูกฝังให้เชื่อมันในอำนาจที่สูงส่งกว่าตัวเองแล้ว  มันยังทำให้ประชาชนในเวลานั้นก็ถูกชักจูงได้ง่าย ง่ายเสียจนคนรุ่นหลังรู้สึกผิดหวัง… เพราะกลายเป็นว่าพวกเขาเหล่านั้นกลายเป็นกลุ่มผู้ช่วยเหล่าคณะเผด็จการขึ้นมามีอำนาจแทนรัฐบาลที่มาจากประชาชนแทนเสีย

ซึ่งเวลานี้.. ปีนี้จะมีการประชุมหลังการเลือกตั้งนายกใหม่ ช่างเป็นเรื่องที่น่าโมโหยิ่งนัก

ที่เสียงของประชาชนรุ่นใหม่กลับถูกผู้นำรัฐประหาร ลิดรอนด้วยการโกงคะแนนเสียงกันอย่างหน้าด้านๆ ผู้นำสูงสุด นายกทหาร ได้เป็นผู้ปกครองประเทศอีกรอบ ซึ่งเป็นก็เป็นรอบที่ 10 กว่าแล้ว เขาฉีกรัฐธรรมนูญที่สร้างมาเพื่อเสรีชน และ สร้างรัฐธรรมนูญสำหรับคณะปกครองขึ้นมาใหม่

ขณะที่ประชาชนหลายคนไม่ได้เลือก แต่หลายฝ่ายที่ต่อต้านก็ไม่เป็นผล เพราะกฎหมายใหม่ที่ผู้นำตั้งขึ้นมา ได้สร้างระบบโซ่ตรวนที่ข้อเท้าของเหล่าเสรีชนไปแล้ว

พ.ศ 2**4 ณ รัฐสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เวลา 11:30 น.

พวกคุณเคยคิดว่า การที่เสียงของคุณเป็นได้แค่เสียงของลมของผู้มีอำนาจสูงสุดที่ควรรับใช้พวกคุณ มันกลับเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไปซะงั้น?

มันเป็นเรื่องที่น่ารำคาญรำเคืองมากใช่หรือไม่? แน่นอนว่า พวกคุณก็คงคิดว่า …ใช่…

ประเทศนี้น่ะ มันเน่าเฟะไปถึงรากไม้ไปนานแล้ว นักการเมืองคอร์รัปชันเป็นเรื่องปกติ แต่มันก็ไม่ควรที่จะเกิดขึ้น ไม่สิไม่ควรจะมีการคอร์รัปชันด้วยซํ่า และมันก็ไม่ควรที่จะถูกใช้ในความสุขของบุคคลเพียงคนเดียว ในขณะที่ประเทศกำลังจะล่มสลาย

คนรวยชนคนตายแล้วรอด เศรษฐกิจตกตํ่าจนขึ้นไม่ได้ ผู้นำยึดอำนาจนานจนลงลืมไปแล้วว่าอำนาจที่แท้จริงนั้นเป็นของใคร

ประชาชนในประเทศแทบจะทำอะไรไม่ได้ มันเป็นอย่างนี้มา 100 กว่าปีแล้ว แม้ว่าจะดูกล่าวมาเกินจริง แต่ความรู้สึกนั้นใช่อย่างหาที่สุดไม่ได้

เพียงแต่พวกเขา เหล่าเสรีชนต้องการที่จะสู้กับอำนาจที่ไม่อาจจะสู้ได้ ต่อให้ประท้วงต่อว่าต่อขานอย่างเป็นระบบ ต่อให้คิดเห็นต่างกับค่านิยมของพวกเผด็จการ ก็เจอกับสิ่งที่เลวร้าย… เลวร้ายเสียจนไม่สามารถพูดออกมาได้

มันถูกแน่หรือ? ที่อำนาจที่เป็นของเสรีชน กลับเป็นได้เพียงแค่ลมปาก…

ฝ่ายที่ยังรักษาคําว่าอำนาจอธิปไตยของปวงชน กับ ฝ่ายที่ยึดอำนาจโดยทหารนั้นกำลังโต้เถียงกันอยู่ภายในห้องประชุมของสภาแห่งชาติกันอย่างดุเดือด แต่มันก็ดูไร้สาระสำหรับผู้สูงส่ง ผู้ซึ่งชมผ่านจอทีวีในพื้นที่อันไม่สามารถแตะต้องไม่ได้

“ขอโทษนะครับท่านนายกที่เคารพ แต่นโยบายใหม่ของท่านมันจะขัดต่อความเป็นอยู่ของประชาชน.. การเปลี่ยนระบบการศึกษาให้เข้ากับความดีความชอบที่บังคับโดยกลุ่มคนเพียงกลุ่มเดียว คือสิ่งที่ขัดต่อหลักต่อว่าต่อขาน!” เสียงหวาน(?)ของผู้ชายคนหนึ่งกล่าวพูดกับนายกโดยตรง ชายวัยกลางคนที่อยู่ในชุดสูทสีดำ โดยมีตราสัญลักษณ์ของพรรคการเมืองที่เขาประจำอยู่

“การศึกษาคือการส่งเสริมความรู้ที่มีมาให้แก่เด็กรุ่นใหม่ พวกเขาคือเส้นทางอนาคตของมนุษย์ การที่เปลี่ยนการศึกษาให้เชื่อฟังผู้มีอำนาจมากกว่าตัวเอง เป็นเรื่องที่เราไม่สามารถยอมรับได้!” นักการเมืองฝ่ายค้านยังคงอภิปราย

“แล้วไง?... คิดว่า จะมีอำนาจมากพอจะมาหยุดฉันหรือ อย่าพูดให้ขำไปมากกว่านี้เลย ไอ้หนุ่มพวกแกก็แค่นักการเมืองที่โกงกินประเทศของประชาชนก็เท่านั้น! ทหารอย่างพวกเราเลยต้องมาเช็ดกระดานชนวนให้สะอาด ล้างรัฐประเทศที่สกปรกให้สะอาด” ผู้นำสูงสุด นายกของประเทศลุกขึ้นยืน ก่อนจะชี้หน้าและพูดจาเสียงดังไร้ความสุภาพหยาบคาย จนทำให้ฝ่ายค้านเงียบกันหมด

ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่รู้ความหมาย มันหมายถึงว่าพวกเขาก็เป็นแค่ของตกแต่งของประเทศก็เท่านั้น แต่อย่างน้อยเหล่าฝ่ายค้านก็อยากจะต่อสู้บนวิธีของสภาต่อไปอยู่ดี

“แต่ว่า! การที่ท่านไม่สนใจปวงประชาราช ท่านก็ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นผู้นำ ท่านมันก็แค่หัวขโมย ผู้ขายชาติกับคนต่างชาติ!  ท่านขายดินแดนของพวกเราให้กับต่างชาติ ท่านส่งคำพูดยินดีกับรัฐบาลเผด็จการที่ทำการฆ่าล้างมนุษย์ด้วยกันเอง!”

“โอเดอร์! โอเดอร์! ถอนคำพูดกับท่านนายกเดียวนี้!” ประธานสภาในที่ประชุม ผู้เป็นคนที่ถูกแต่งตั้งโดยนายกพูดขึ้นสร้างเสียงความขัดแย้งข้างในสภากันมากขึ้นไปอีก

สิ้นสุดเสียงของคณะผู้ค้าน ก็เริ่มการโต้เถียงกันอีกรอบระหว่างพรรคผู้ฝักฝ่ายกับผู้นำสูงสุด และกลุ่มนักการเมืองที่ไม่ถูกกับกลุ่มคณะทหารผู้ปกครอง เหล่าวุฒิสภาต่างพูดตอบโต้วาจาใส่กันจนเหมือนว่าสภานี้ใกล้มาถึงจุดจบแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าฝ่ายค้านจะเป็นอย่างไรกันต่อไป..

พวกเขาตอบโต้กันล่วงเลยผ่านพ้นไปมากกว่า 9 ชั่วโมง จนสิ้นสุดวาระการประชุมของรัฐสภาของวันนี้ ก่อนที่จะรอการประชุมของวันถัดไปที่ใกล้จะมาถึงในไม่ช้า

แต่ว่า… วันนี้ก็อาจจะเป็นวันสุดท้ายของสภาแห่งชาติก็เป็นไปได้…

……

.

.

.

.

.

.

เสียงฝนตกยามเย็น เมืองใหญ่ถูกปกคลุมด้วยหมอกจากความชื้น นํ้าฝนที่เทลงมาจากฟากฟ้า ผู้คนต่างพากันกางร่มเดินไปเดินมา แต่ก็มีบางคนที่หลงลืมพกล่มกันฝนมาเช่นกัน

“บ้าจริง! สมกับเป็นฝน ชอบจังเลยนะ ไอ้ตกตอนเวลาจะกลับเนี่ย!” ชายวัยกลางคน ผมยาวสีดำในชุดสูทพูดบ่นออกมาขณะที่ตัวเขาวิ่งอยู่บนถนนคนเดิน หาที่หลบฝนแถวนั้นด้วยความเร่งรีบ

เขาวิ่งเข้าไปหลบที่หน้าร้านค้าเก่า ดูเหมือนว่าร้านแห่งนี้จะถูกปิดมานานหลายปีแล้ว น่าจะเป็นเพราะพิษเศรษฐกิจ

ชายในชุดสูทหยิบมือถือส่วนตัวขึ้นมา ก่อนที่จะกดหมายเลขเรียกเพื่อนของเขาให้มารับ เขายังคงมีงานต้องทำอีกมาก นอกจากที่รถของเขาจะเสียที่ทำงานแล้ว ตัวเขาที่คิดว่าฝนจะไม่ตก ก็เดินหวังจะไปร้านหนังสือที่โด่งดัง แต่ดันถูกฟ้าไม่เป็นใจเทนํ้าลงมาใส่

มือที่กำลังจะโทรเรียกให้รถของเพื่อนมารับ จู่ๆก็ได้มีกลุ่มชายฉกรรจ์จำนวนมากที่มาจากไหนไม่รู้ พวกเขาพากันเข้ายืนล้อมรอบร่างของนักการเมือง

ไม่ทันจะได้ตั้งตัวก็ถูกหมัดต่อยเข้าไปที่ท้องอย่างรุนแนง ถ้าแค่คนเดียวเขาก็คงไม่ร้องเจ็บออกมา แต่ว่ามือที่ชกนั้นมีกว่าสอง

อั๊ก!! เดี๋ยวก่อน!” ก่อนที่เขาจะได้ตะโกนก็ถูกมือปิดที่ปากไม่ให้เขาพูด

การต่อยที่ไม่หยุดนิ่ง ตามมาด้วยการลูกเตะจากชายอีกสองคน รองเท้าหนักเตะไปที่ร่างกายของเขา ที่ท้องไปจนถึงที่ขาและบนใบหน้า เลือดที่ออกไปทั่วพื้นถูกลบให้หายโดยนํ้าฝนที่ไหลหลั่งลงมาไม่หยุด

“ฮ่าๆ คิดว่าท่านผู้นำจะปล่อยให้คนที่โกงชาติงี่เง่าอย่างแกได้มีชีวิตอยู่หรือไงวะ!” เขาชะงัก “ยิงแม่งทิ้งเลย เพื่อน”

มือจับหัวของนักการเมืองขึ้นมาก่อนจะพูดกับเพื่อนของเขา ดูแล้วชายคนนี้น่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่ม สายตาของนักการเมืองหนุ่มมองกลุ่มคนที่ทำร้ายร่างกายของเขาอย่างโกรธแค้นและเจ็บปวด เขาทำอะไรไม่ได้เลย…

“อยู่แล้ว พวกมันจ่ายให้ตั้งเยอะแถมไม่โดนคดีอีก งานง่ายๆแบบนี้ไม่ทำไม่ได้แล้ว” ปืนพกถูกนำมาจ่อที่หัวของเขา ปืนพกรูปแบบที่ไม่สามารถหาได้ง่ายๆจากประชาชนทั่วไป ปืนของทหารยศสูงเท่านั้นที่หาได้

… มีคนเคยบอกว่า เวลาที่คนใกล้ตายแล้วจะสามารถมองเห็นภาพอดีตได้ชัดเจนยิ่งกว่าภาพที่ไหน …

‘ ฉันว่าฉันเห็นมันจริงๆแล้วล่ะ ’ ภาพที่รวดเร็วถูกส่งมาพร้อมกับความมืดและไร้ซึ่งเสียงใดๆ นอกจากเสียงในหัวและภาพของคนสำคัญที่กล่าวกับตัวเขาในตอนที่เขายังเป็นเด็กใหม่ในฐานะนักการเมือง

นายเปลี่ยนมันไม่ได้หรอก เมื่อกฎหมายเปลี่ยนแปลงไปตามความเหมาะสมของปัจเจก

แต่ว่านะ…

ถ้าเป็นไปได้เราก็อยากจะเห็นดินแดนในอุดมคติของนาย!

……

.

.

.

.

.

.

อีกฟากฝั่งหนึ่ง ดินแดนสุดไกลแสนไกล ไกลกว่าที่จะมือจะสามารถเอื้อมถึง

เมืองท่าขนาดใหญ่ บ้านเรือนสไตล์ยุโรป ในเวลานี้เต็มไปด้วยเสียงของผู้คนที่เศร้าหมอง แม้แต่บนใบหน้าก็ตาม ตรงใจกลางของเมืองคือทหารในเครื่องแบบสีแดงเวนิสยืนปกป้องคุ้มครองผู้เก็บภาษี ราวกับว่ามันเป็นวันธรรมดาของพวกเขา หลังเก็บภาษีเสร็จก็จะนำทรัพยากรของเมือง ทั้งสินแร่หายาก หนังสัตว์หรือผลิตภัณฑ์โดยมือกลับขึ้นไปบนเรือไม้ขนาดใหญ่

“เหตุใดกันที่ค่าน้ำชาจึงต้องเก็บภาษีอีกด้วย?! นี่มันหลายแพนนีจนข้าคิดว่าเหมือนถูกปล้นกลางวันแสกๆ” เสียงผู้ชายคนหนึ่งพูดเสียงดัง ก่อนที่จะมีชายวันกลางคนเดินเข้ามากล่าวพูดคุยด้วยอีกคน

“เห็นเขาว่า ต้องใช้ค่าสิ้นสงครามจำนวนมาก เลยเพิ่มภาษีอีก 3 เท่า เฮ้อ..” เขาชะงักถอนหายใจชั่วครู่ “เอาเถอะ.. ยังไงพวกเราก็รู้ตัวกันอยู่แล้ว ว่าชาวอาณานิคมเช่นเราจะต้องทำอะไรบ้าง ให้ตายสิข้าอยากจะเกิดบนทวีปแม่เสียจริง!”

การสนทนาเป็นไปอย่างหอมปากหอมคอ ชาวเมืองพูดคุยกันโดยไม่ได้สนใจกลุ่มคนที่ใส่ผ้าคลุมปกปิดร่างกายที่ยืนฟังพวกเขาอยู่ ไม่ช้าเหล่าบุคคลปริศนาก็รีบเดินเปลี่ยนทิศเข้าไปในซอกซอยและหายไป

เสียงร้องเท้ากระทบพื้นไม้ในคฤหาสน์หลังใหญ่เสมือนคนเร่งรีบ เสียงนั้นได้ยินไปทั่วคฤหาสน์ ก่อนจะหยุดลงที่หน้าประตูไม้บานใหญ่ มือเล็กๆของหญิงสาวใช้เคาะประตูไม้เป็นจังหวะ

“เข้ามาได้…” นํ้าเสียงของชายวัยกลางคนหลังประตูถูกเปล่งออกมา เป็นนํ้าเสียงที่เคร่งครัด

ประตูเปิดออก พร้อมกับร่างของหญิงสาวงาม หากแต่ไม่ทันจะได้กล่าวพูดอะไรกับหญิงผู้เข้ามาใหม่ เธอก็รีบชิงเปิดพูดก่อน

“ท่านพ่อ! ท่านจะปล่อยเรื่องไว้ง่ายๆ เหมือนคนไม่รับผิดชอบหน้าที่อย่างงั้นหรือ!?” นํ้าเสียงของหญิงสาวไม่สบอารมณ์อย่างมาก

“เจ้าจะไปห่วงพวกชั้นตํ่านั้นทำไมกันเหล่า? กิริยาท่าทางเจ้า ไม่สมกับเป็นกุลสตรีที่ดี มันเริ่มแย่ลงทุกทีถ้าหากว่าเจ้าไม่เลิก-” ผู้เป็นบิดากำลังจะกล่าวว่าลูกสาวของตนเองที่มีท่าทางไม่สมกับที่ฝึกมาตั้งแต่เล็ก ก็ถูกขัดด้วยความรวดเร็ว

“พวกเขาก็เป็นคนเช่นกัน!? ท่านไม่เคยมองเห็นค่าชีวิตจริงๆ เหมือนกับท่านแม่… ท่านเพียงแค่สนใจในเรื่องของอำนาจก็เท่านั้น!” มันเป็นเรื่องปกติที่ชนชั้นสูงที่จะสามารถกดขี่และมองข้ารับใช้ของตนเสมือนของไร้ค่า ที่สามารถใช้แล้วเปลี่ยนทิ้งได้อย่างสุรุ่ยสุร่าย

โดยเฉพาะเพราะชาวอาณานิคมที่กฎหมายของดินแดนแม่มองว่าเป็นเพียงแค่ประชาชนชั้นสอง ตํ่าเสียยิ่งกว่าทาสติดที่ดิน หรือทาสรับใช้ทั่วไปสำหรับดินแดนแม่

!! “หุบปากของเจ้าเสีย! แล้วไสหัวออกไปจากห้อง” คนเป็นพ่อกล่าวอย่างมีโทสะ “เดี๋ยวนี้ !” มือของเขาชี้ไปทางประตูเพื่อไล่ลูกสาวของตนให้ออกไป

หญิงสาวกำหมัดแน่นก่อนจะตัวเธอจะถอนสายบัวแล้วเดินออกไปปล่อยให้ผู้เป็นพ่อนั่งระบายอารมณ์และทำงานต่อไป หาได้สนใจผู้ให้กำเนิดไม่

“เหลือแค่ไปอยู่กับท่านลุงสินะ… ข้าพยายามจะทำอะไรกันแน่ ในเมื่อข้าเป็นได้แค่บุตรีคนที่ไม่มีอำนาจอะไร แล้วหนทางเช่นใดที่ชาวเราจะสามารถหาทำได้กันแน่?” หญิงสาวพึมพํากับตัวเองก่อนจะเดินออกจากคฤหาสน์ไป

เธอขึ้นรถม้าและกล่าวบอกกับสารถีเพื่อออกเดินทางไปที่ไหนสักแห่งบนอาณานิคมแห่งนี้ หญิงสาวนั่งพิงหน้าต่างรถก่อนจะเริ่มกล่าวออกมาด้วยความหวังอันน้อยนิดของเธอ

“ได้โปรดพระผู้เป็นเจ้าช่วยให้คําตอบแกลูกด้วย ข้าจะต้องทำเช่นใดกันแน่? ตัวข้าจะต้องนำผู้คนไปทางใดกันแน่? ได้โปรด… ข้าอยากจะรู้คำตอบนั้นเหลือเกิน…”


( ทำการแก้ไข 28/8/22)

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด