ตอนที่แล้วตอนที่ 11 วีรบุรุษ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 13 หนึ่งดาบสยบมังกร

ตอนที่ 12 ผลไม้รสเปรี้ยวอมหวาน เลือดบนริมฝีปาก


ตอนที่ 12 ผลไม้รสเปรี้ยวอมหวาน เลือดบนริมฝีปาก

ติงหนิงมองดวงตาที่เบิกโพลงยามสิ้นใจของซ่งเฉินซู ก่อนเอ่ยขึ้นเสียงเบา “มีหนี้ติดค้างย่อมต้องจ่าย เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา ไม่เห็นจำเป็นต้องขุ่นข้องหมองใจเลย”

ด้วยรู้ว่าเขามีเวลามากพอ เด็กหนุ่มจึงไม่รีบทิ้งเรือลำน้อยไปไหน เขาเริ่มค้นกระเป๋าเสื้อทุกแห่งบนชุดของซ่งเฉินซู

ในกระเป๋าลับที่อยู่ภายในแขนเสื้อ เขาพบของหลายอย่างด้วยกัน มีสมุดบันทึกที่เขียนด้วยลายมือ ถุงเงิน ขวดยา และผนึกเงินสองชิ้น

ติงหนิงเปิดสมุดออก เป็นบันทึกความเข้าใจของซ่งเฉินซูเกี่ยวกับเคล็ดวิชาตะวันสีเลือด และการคาดการณ์การฝึกฝนในขั้นต่อ ๆ ไป เขาอดส่ายหัวไม่ได้ จากนั้นเก็บสมุดบันทึกใส่แขนเสื้อตนเอง

ถุงเงินนั้นมีน้ำหนักเบามาก แต่เมื่อเปิดดู ติงหนิงพบเหรียญรูปมีดราชวงศ์ฉินที่ทำจากแร่ไมกาส่องประกายล้อแสงอยู่เป็นจำนวนมาก เหรียญชนิดนี้ทำมาจากเปลือกหอยไมกาที่อยู่ในทะเลลึก เป็นเหรียญตราที่ใช้กันแต่ในราชวงศ์ฉิน ชิ้นหนึ่งมีมูลค่าห้าร้อยตำลึงทอง

ติงหนิงไม่คิดอะไรอีก เก็บถุงเงินเข้าแขนเสื้อตน

วินาทีที่เขาเปิดขวดยาเนื้อหยาบสีทองแดงออก เขาก็ตกใจ

ที่ก้นขวด เป็นเม็ดยาสีขาวเหมือนกระดูกเม็ดหนึ่ง รูปร่างดูราวกับตาปลา

“คิดจะใช้ยานี่ตอนฝ่าด่านงั้นหรือ? ไม่คิดเลยว่าท่านเตรียมยารวมปราณเอาไว้แบบนี้ ขอขอบคุณท่านสำหรับปราณแท้และยารวมปราณ” ติงหนิงพูดขึ้น มองซ่งเฉินซูด้วยความจริงใจ เขายืนคิดอยู่ชั่วครู่ หลังจากไตร่ตรองว่าเขาไม่จำเป็นต้องใช้ตราของหอสมุดสองชิ้นนี้แล้ว เขาจึงใช้นิ้วสองนิ้วเป็นดั่งดาบ เจาะเข้าไปที่พื้นเรือ

ท้องเรือทะลุเป็นรู น้ำโคลนสีดำหลั่งไหลเข้าท่วมลำเรือในทันที

ติงหนิงออกมาจากห้องกลางเรือ เขาดีดตัวขึ้น ก่อนจะกระโดดลงมายืนบนตอไม้ที่จมลงไปกว่าครึ่ง

นี่คือเส้นทางที่เขาเลือกหลังจากสังเกตการณ์มาเป็นเวลาหลายปี ในตอนนี้ยังไม่มีใครรับรู้ แศพของผู้ฝึกตนราชวงศ์ฉินคนหนึ่งได้จมลงไปใต้น้ำพร้อมกับเรือลำน้อยเรียบร้อยแล้ว

หลังจากเดินผ่านตอไม้นับไม่ถ้วน รอบข้างก็เริ่มมีเสียงคนดังขึ้นมา

ติงหนิงเดินเข้าตรอกครึ้มแสง ทำเหมือนกับตอนที่เขาเดินเตร่ไปทั่วในยามปกติ ทว่าจู่ ๆ ลมหายใจเขากลับถี่ขึ้นเล็กน้อย ระหว่างริมฝีปากที่เม้มแน่นมีสีแดงเล็ดรอดออกมา ติงหนิงสีหน้าสงบนิ่งมาก ลิ้มรสเลือดกลิ่นฉุนที่อยู่ในปากตน เขาหยิบเหรียญทองแดงออกมา เดินไปยังร้านหาบเร่ที่อยู่ตรงหน้าเพื่อซื้อถังหูลู่

เขาก้มหัวลงเล็กน้อย ค่อย ๆ เคี้ยวผลไม้รสชาติเปรี้ยวอมหวาน เศษน้ำตาลสีแดงผสมกับเลือดที่อยู่ตรงริมฝีปาก ตอนนี้ไม่มีใครมองออกแล้ว

เมื่อนึกถึงซ่งเฉินซูที่จมลงไปพร้อมกับเรือ และขวดยาผิวหยาบที่อยู่ในแขนเสื้อเขาแล้ว เขาก็รู้สึกว่าความพยายามที่ผ่านมาหลายปีไม่สูญเปล่า ครั้งนี้เขาได้รับสิ่งตอบแทนเกินคาด แค่คิดก็เบิกบานใจแล้ว หากแต่เมื่อนึกถึงเรื่องอื่นมากเข้า เรื่องคนที่ต้องตายอย่างน่าอนาถกว่าซ่งเฉินซู เขาพลันรู้สึกแสบจมูก ในใจนึกอยากกลับไปที่ร้านของหญิงชรา ไปกินขนมเจียนปิ่งอุ่น ๆ ที่นางทำให้ แต่เขารู้ว่าเขายังมีเรื่องให้ต้องทำอีกมาก

เรือลำน้อยในเงามืดจมลงสู่ใต้น้ำ ไม่เหลือสิ่งใดไว้ มีเพียงฟองอากาศที่ลอยขึ้นมา และโคลนที่ถูกตีขึ้นมาบนผิวน้ำเท่านั้น

ถังไม้ถังหนึ่งลอยผ่านกลุ่มฟองอากาศไป

ชายอายุราวสี่สิบ ผมยาวถึงไหล่ นั่งอยู่ในถังไม้ เขาแต่งตัวเหมือนคนตกปลา เมื่อเห็นกลุ่มฟองอากาศที่ดูแปลกตา สีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นเยียบเย็น เขามองไปรอบ ๆ หลังจากมองดูจนมั่นใจแล้วว่าไม่มีใคร เขาจึงใช้มือเป็นพาย พาถังไม้ลอยไปยังเสาไม้เก่า ๆ จากนั้นดึงเสาไม้ออกมาจากแม่น้ำโดยง่าย

เสาไม้เสานี้มีน้ำหนักมาก ถึงส่วนเสาจะยังอยู่ในน้ำ ทว่าถังไม้ไม่อาจรับน้ำหนักไว้ได้ จมลงไปเกือบเท่าผิวน้ำ

ทว่าเขาไม่สนใจแม้แต่นิด เขาดึงเสาไม้ ลากมาตรงจุดที่เกิดฟองประหลาด จากนั้นใช้เสาไม้กระทุ้งลงไปตรงจุดนั้นอย่างแรง

เมื่อได้ยินเสียงผิดหูดังมาจากใต้น้ำ เขาจึงมั่นใจว่าพบปัญหาเข้าให้แล้ว เขาปล่อยเสาไม้ลอยไป ครู่ต่อมา ถังไม้ก็ดีดตัวออกไปด้วยความรวดเร็ว ปรากฏคลื่นน้ำน่าประหลาดใจบนคุ้งน้ำอันมืดมิด

หลังจากกินถังหูลู่จนหมด ติงหนิงก็กลืนเลือดคำสุดท้ายลงคอไป

เขามุ่งหน้าเดินต่อ ไม่วนลงตรงไหน หากผู้ใดมีแผนที่ของตลาดปลาโดยสมบูรณ์ คนผู้นั้นย่อมรู้ว่าหลังจากเดินตรงผ่านเขตนั้นไป สิบห้านาทีต่อมาก็จะเดินวนมายังที่เดิม

เป็นท่าเรือไม้ท่าหนึ่ง

เสียง ‘กึง’ ดังขึ้นเบา ๆ

เสียงถังไม้ลอยมาชนเข้ากับเสาไม้ผุพังของท่าเรือเล็ก

ติงหนิงที่อยู่บนถนนได้ยินเสียงนี้เข้า เขาเร่งฝีเท้า เดินผ่านร้านขายของท่ามกลางเสียงโหวกเหวกหลายร้าน ก่อนจะพบเข้ากับชายผู้หนึ่งที่ผมปล่อยลง กำลังเดินออกมาจากท่าเรือลับ

เขาสะกดรอยตามชายผมยาวไป นี่เป็นแผนยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

ทุกคนต่างรู้ดีว่าอาณาจักรใต้ดินแห่งนี้จำต้องมีผู้คุมอำนาจ ทว่ามีเพียงไม่กี่คนที่รู้ตัวตนผู้คุมอาณาจักร หรือรู้ว่ามีใครคอยให้การสนับสนุนคนผู้นั้นอยู่

ซ่งเฉินซูมาที่นี่เดือนละครั้ง เขาอาจซ่อนตัวจากหูตาของคนนอกได้ ทว่าคนที่นี่ย่อมรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา

ผู้เป็นเจ้าหน้าที่ในราชวงศ์ และยังเป็นผู้ฝึกตน ถูกลอบสังหารที่นี่ นับได้ว่าเป็นแรงสั่นสะเทือนที่หนักทีเดียว ผู้ที่พบว่าซ่งเฉินซูไม่ได้มารับถุงน้ำดีเต่าไฟตามเวลาจะรู้ตัวทันทีว่ามีเรื่องเกิดขึ้นกับเขา เขาย่อมรู้ดีว่าเหตุการณ์นี้ต้องดึงคนมากหน้าหลายตามาทำการสืบสวนสอบสวน ซึ่งนั่นย่อมก่อให้เกิดเภทภัยขึ้นแน่

ฉะนั้นเขาจึงเร่งฝีเท้าอย่างที่สุด เพื่อรีบไปบอกเรื่องราวดังกล่าวกับผู้ปกครองตลาดแห่งนี้

...

ชายผมยาวแต่งตัวเหมือนคนตกปลาอยู่ในอารมณ์ไม่สู้ดีเท่าไหร่ เขารีบเดินก้มหน้า ไม่รู้ตัวสักนิดว่ากำลังมีคนสะกดรอยตามอยู่จากที่ไกล ดูแล้วติงหนิงคงจะมีพรสวรรค์ในด้านการสะกดรอย เงาร่างของเขาจะไม่ปรากฏตรงมุมที่อาจทำให้ชายผมยาวผู้นั้นรู้ตัวได้

ชายผมยาวรีบเดินเข้าไปยังโรงรับจำนำ

ติงหนิงไม่ได้เข้าไปใกล้โรงรับจำนำแห่งนั้น

ในช่วงเวลาหลายปี เขารู้จักทุกซอกทุกมุมของตลาดปลาดี เว้นเสียแต่ทางลับบางเส้นที่อยู่ในอาคารเท่านั้น

เขารู้ว่าโรงรับจำนำแห่งนี้ ด้านหลังมีลานหลายลาน มีทางเข้าถึงสามประตู เขาจึงเดินขึ้นที่สูงไปยังสถานที่ที่สามารถเห็นประตูทางเข้าทั้งสองได้

ทันใดนั้นเอง คิ้วติงหนิงก็ขมวดเป็นปมอย่างไม่รู้ตัว

เงาร่างของคนสามคนปรากฏขึ้นที่หางตาของติงหนิง

เส้นทางที่สามร่างมุ่งหน้าไปนั้น เปรอะดินโคลนมากเป็นพิเศษ เขาได้ยินกระทั่งเสียงน้ำยามรองเท้าเหยียบลงบนดินโคลน

เส้นทางที่เต็มไปด้วยดินโคลนเส้นนั้นเป็นทางเข้าทางหนึ่งของโรงรับจำนำ

รอบข้างติงหนิงไม่ค่อยมีคนมากนัก ดังนั้นเขาจึงหันไปกวาดสายตามองอย่างสบาย ๆ ทว่าเหลือบมองเพียงครั้งเดียว นัยน์ตาของเขาก็หรี่ลงโดยไม่รู้ตัว

มีชายแก่หลังค่อมคนหนึ่ง ถือไม้เท้าไผ่ดำ ชายหนุ่มรูปร่างเตี้ยมากทว่ารูปงามคนหนึ่ง และชายหนุ่มคิ้วหนาอีกหนึ่งคนที่แต่งตัวราวกับคนจากต่างถิ่น

ชายชราหลังโค้งเดินนำอยู่ด้านหน้า ในมือถือไม้เท้าไผ่ดำ เมื่อถึงทางแยกเขาก็เดินจากไป

ส่วนชายหนุ่มรูปงามกับชายหนุ่มคิ้วหนายังคงเดินตรงไป พวกเขาเดินผ่านทางเดินที่อยู่เบื้องล่างติงหนิง เงาร่างของพวกเขาวาบผ่านรอยแตกบนหลังคา

ติงหนิงไม่ได้มองไปยังชายชราหรือชายหนุ่มสองคนนั้น เขาสูดหายใจเข้าลึก ที่มุมปากปรากฏรอยยิ้มขื่นขึ้น

ชายชราผู้ที่ดูไม่อาจยืดหลังให้ตรงได้คนนั้น อาจตายเมื่อไรก็เป็นได้ ส่วนชายหนุ่มสองคนนั้นกลับไม่มีกลิ่นอายของผู้ฝึกตนแม้แต่น้อย

กระทั่งผู้ฝึกตนที่อยู่ด่านห้า แม้เดินกระทบไหล่กันอาจยังไม่สามารถสัมผัสได้ว่าพวกเขาทั้งสามเป็นผู้ฝึกตน ทว่าติงหนิงมั่นใจว่าคนเหล่านี้ต้องเป็นผู้ฝึกตนที่มีวิทยายุทธอันแข็งแกร่งอย่างแน่นอน

เขาจำชายชราหลังค่อมถือไม้เท้าไผ่ดำได้ ส่วนชายหนุ่มสองคนนั้นเขาไม่เคยเห็นมาก่อน จึงไม่อาจมั่นใจได้ว่าพวกเขามาจากสำนักใด ทว่าเขาสามารถสัมผัสถึงความเคารพนับถือที่ชายชรามีให้กับคนทั้งสองได้

ชายหลังค่อมผู้นั้นจะแสดงความเคารพนับถือของตนต่อผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งกว่าเท่านั้น

คนหนุ่มสองคนนี้ มีความสามารถมากจนน่าหวาดกลัว พวกเขาสามารถควบคุมปราณในร่างได้ถึงขั้นที่ผู้ฝึกตนคนอื่นไม่อาจจับสัมผัสได้ว่าพวกเขาเป็นผู้ฝึกตน

ในตอนนั้นเอง ติงหนิงร่างแข็งค้างไปเล็กน้อย เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายป่าเถื่อนดุร้ายอีกสายหนึ่ง เมื่อตามมันไป เขาก็พบเข้ากับร่มผ้าใบสีเหลืองที่ชายร่างสูงกำลังกางออกจนสุด เขากางมันออกกว้างเสียจนราวกับว่าไม่อยากให้หยาดฝนสักหยดถูกเนื้อตัวยังไงยังงั้น

ร่มบังหน้าของเขาไว้ ติงหนิงเห็นเพียงข้อนิ้วมือที่ทั้งหนาและแข็งแกร่งของชายผู้นั้น

เป็นผู้ฝึกตนไม่ผิดแน่

ติงหนิงมีความรอบรู้กว่าผู้ฝึกตนส่วนมาก เพียงสัมผัสกลิ่นอายดุร้ายป่าเถื่อนนั่น เขาก็สามารถระบุสำนักและประวัติของคนผู้นั้นได้โดยง่าย

ดูจากเส้นทางที่คนผู้นี้กำลังมุ่งหน้าไปแล้ว ติงหนิงรู้ในทันทีว่าวันนี้จะมีศพผู้ฝึกตนอีกคนปรากฏขึ้นในป่านอกเมืองฉางหลิงเป็นแน่