ตอนที่แล้วเคียวที่ 30 : ยมทูตตาสีฟ้า
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเคียวที่ 32 : ดวงวิญญาณที่สูญหาย

เคียวที่ 31 : ศัตรูปรากฏตัว


ผมกลับขึ้นมาบนโลกในสภาพที่ยังค้างคากับเรื่องต่าง ๆ

คนที่น่าสงสัยในใจผมมีแค่คนเดียวในตอนนี้คือ ...พี่เต้ ถ้าเป็นพี่เต้จริง ผมควรต้องทำยังไง ...โอ๊ยปวดหัว แต่จากที่ท่านพญายมราชบอก ยมทูตตาสีฟ้ากลายเป็นยมทูตมา 30 ปีแล้ว แล้วจะเป็นพี่เต้ไปได้ไง

นอนคิดจนเวลาผ่านไปถึงช่วงเช้า ผมก็หยิบมือถือตัวเองกดส่งข้อความไปหาฟอง ผมเชื่อว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างที่ผมพลาดไป มันต้องมีแน่ ๆ

ตื่นแล้วทักมาหาผมหน่อยนะ 8:30 Read

ตื่นแล้วจ้า มีอะไรเหรอ (สติกเกอร์คนยิ้ม) 8:45

คีย์ขอเบอร์พี่เต้หน่อยดิ 8:45 Read

08X-XXX-6969 ขอเบอร์พี่เต้มีเรื่องอะไรเหรอ อย่าบอกนะ ว่าจะไปท้าต่อยกัน 8:46

จริง ๆ พี่เต้ก็อยู่บ้านนะ แต่นอนอยู่ตอนนี้ 5555 8:47

ไม่มีอะไรมากหรอกฟอง พอดีอยากถามอะไรพี่เขานิดหน่อย

เดี๋ยวบ่าย ๆ คีย์ค่อยโทรหาเขาเองก็ได้ 8.47 Read

โอเค ๆ เมื่อคืนที่กลับมาก่อน วันเกิดแม่ฟองเอง แม่ทำบราวนี่ไว้เยอะมาก ๆ เลยอะ 8:47

เดี๋ยวจะเอาไปฝากตอนเย็น ๆ นะ กะว่าจะเข้าไปเคลียร์เรื่องงบที่ห้องชมรมด้วย 8:48

โอเคครับผม 8:49 Read

เก้าโมงเช้าก็แล้ว สิบโมงเช้าก็แล้ว จนเวลาล่วงเลยผ่านมาจนเกือบบ่ายสอง ผมก็ยังคงไม่ได้ฤกษ์โทรไปหาพี่เต้เลยสักที

“เป็นไรของมึงอ่ะ เดินวนไปวนมา หยิบมือถือขึ้นมาแล้ววางเป็นสิบรอบแล้วนะ” อิฐทักผม ตอนนี้ผมก็กำลังทำอย่างที่มันพูดจริง ๆ ใจหนึ่งก็อยากโทรไปคุยให้มันเคลียร์ ๆ ไป อีกใจก็ไม่กล้ายอมรับความจริง

“กูมีเรื่องต้องคิดว่ะ แล้วถ้ามันเป็นจริงอย่างที่กูคิด มันจะไม่โอเคมาก ๆ” ผมบอกอิฐไป

“เกิดเป็นมึงนี่มีแต่เรื่องเนอะ มีไรให้กูช่วยก็บอกละกัน กูจะลงไปซื้อของเซเว่น เอาไรปะ” อิฐถามอีกครั้ง

“เอาขนมอะไรหวาน ๆ มาให้กูกินที กูจะบ้าตาย”

ของหวานจะเยียวยาทุกสิ่งครับ

“เค ๆ”

หลังจากอิฐปิดประตูห้องไปสักพักผมก็ตัดสินใจว่ายังไงก็ต้องโทรไปคุยให้รู้เรื่องสักที เลยกลั้นใจต่อสายไป เสียงเพลงรอสายดังอยู่สักพัก ก่อนปลายสายจะพูดขึ้นมาอย่างงัวเงียราวกับคนเพิ่งตื่นนอน

“สวัสดีครับพี่เต้ ผมเองนะ ฮัลโหล พี่เต้” ผมพูดออกไปอยู่หลายครั้งเพราะได้ยินเสียงงึมงำอะไรบางอย่าง

“ผมเองไหนวะ คนจะหลับจะนอน ไว้โทรมาใหม่นะ”

เฮ้ย อย่าวางง่าย ๆ อย่างนี้นะ

“คีย์เองพี่ ขอคุยด้วยหน่อย แปบเดียว”

“มีไรวะคีย์ โทรมาอะไรแต่เช้า” ปลายสายพูดกลับมา เช้าบ้านแด๊ดดี๊พี่เหรอครับ นี่มันบ่ายสองแล้ว

“เมื่อคืนก่อน พี่ไปทำอะไรแถวหลังอาคารเรียน ห้องน้ำมันไม่ได้อยู่แถวนั้นเลยนะครับ”

ถามไปก็ลุ้นไป มันจะไม่เครียดขนาดนี้ ถ้าพี่เต้ไม่ได้เป็นพี่ชายของฟองและผมไม่ได้เห็นพี่เต้แค่คนเดียวที่หลังอาคารเรียนหลังนั้น

“โอ๊ย ! ไอ้คีย์ นี่มึงกะโทรมากวนตีนกูใช่ปะเนี่ย” พี่เต้พูด สรรพนามที่แทนตัวเองว่าพี่เริ่มเปลี่ยนไปหลังจากเราเริ่มสนิทกันมากขึ้นที่ค่ายอาสา

“ผมซีเรียสพี่ พี่ไปทำไมแถวนั้น” ผมถามไปอีกครั้ง ตอบดี ๆ นะพี่ ตอบอย่าให้ผมระแวงสังสัยพี่นะ

“เซ้าซี้ว่ะมึง ก็พอกูไปห้องน้ำเสร็จใช่ปะ กูก็จะกลับไปเต็นท์ แต่พอดีเจอไอ้เชน มันบอกเห็นมึงไปทำลับ ๆ ล่อ ๆ แถวหลังอาคารเรียน กูก็เลยตามไปดู นึกว่านัดน้องกูเอาไว้”

พี่เชนงั้นเหรอ ...

โอ๊ย ! ว่าแต่ตรรกะไอ้พี่เต้ ทำไมมันหวงน้องเข้าไส้ขนาดนี้วะ

“โอ๊ยพี่ ! เลอะเทอะใหญ่แล้ว แล้วตอนพี่เจอพี่เชน พี่เชนเขาเดินมาจากทางไหน” ผมถามไป โล่งใจไปอีกหนึ่งเปราะเพราะไม่ได้เป็นคนใกล้ตัว

“เอ้าไอ้นี่ ! เป็นไรมากปะเนี่ย จะอยากรู้ไปไมเยอะแยะวะ ก็มันบอกว่ามันเห็นมึงแถวหลังอาคารเรียน มันก็คงเดินมาจากทางนั้นแหละมั้ง” ปลายสายพูดมาส่ง ๆ

“โอเคพี่ งั้นแค่นี้นะ”

“เออ ไม่ต้องโทรมาอีกนะ คนจะนอน”

อิฐเปิดประตูห้องเข้ามาหลังจากที่ผมวางสายลงไปไม่นาน ตอนนี้โล่งแล้ว อย่างน้อยก็ไม่ใช่พี่ของฟอง แต่จะให้สรุปว่าเป็นพี่เชนก็ยังคงไม่ชัวร์ แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ ต้องติดต่อพวกท่านพญายมราชไว้ก่อน

“อะไอ้คีย์ ขนมที่มึงฝากซื้อ” อิฐพูด โยนช๊อกโกแลตให้ผมข้ามหัวชาบูที่ยังนอนตายอยู่แม้เวลาในตอนนี้มันบ่ายสองกว่าแล้ว

“เออขอบใจ”

“อีกเรื่อง เมื่อกี้กูเจอพี่เชนที่เซเว่น เขามีอะไรไม่รู้จะคุยกับมึง เย็น ๆ ไปหาเขาที่ห้องชมรมด้วย” อิฐพูด

“มึงว่าไงนะ !” ผมตะโกนออกมาลั่นห้อง ตอนนี้อะไรมันก็เป็นไปได้ไปหมด แล้วเย็นนี้ฟองจะเข้าไปที่ชมรมด้วย ถ้าพี่เชนคือยมทูตตาสีฟ้าจริง ๆ ผมก็ควรให้คนที่ผมรักอยู่ห่างจากเขาให้มากที่สุด

“จะแหกปากทำไมครับเพื่อน ตะโกนเข้ามาได้” อิฐพูดพร้อมเดินหนีผมไปนั่งที่เตียงมัน

“เช้า ... เช้าแล้วเหรอพวกมึง” เสียงพึมพำงัวเงียดังมาจากชาบูแต่ผมไม่ได้สนใจ ผมรีบหยิบมือถือขึ้นมาอีกครั้งเพื่อต่อสายไปหาฟอง

“ฮัลโหล ! ฟอง ฟอง! เย็นนี้ไม่ต้องไปที่ห้องชมรมนะ แวะมาหาผมก่อน” ผมรีบกรอกเสียงไปทันทีที่รู้ว่าปลายสายได้รับโทรศัพท์ผมแล้ว

“เฮ้อ ดูเหมือนจะรู้ตัวสักทีสินะ” เสียงทุ้มดังออกมาจากมือถือคือสิ่งที่ผมได้ยิน

มันคือเสียงของพี่เชน ผมอึ้งไปสักพักก่อนรีบพูดต่อ

“พี่เชน ! โทรศัพท์ฟองมาอยู่กับพี่ได้ยังไง”

“ฟองเพิ่งมาถึงเมื่อกี้เองเนี่ย ออกไปห้องน้ำมั้ง เห็นมือถือดังเลยรับให้” ปลายสายพูดมาด้วยน้ำเสียงไม่ทุกข์ร้อนอะไร

“พี่คิดจะทำอะไร” ผมถามออกไปด้วยเสียงเครียด

“เปล่า ก็แค่มีเรื่องอยากคุยด้วยน่ะ ...ยมทูตรุ่นน้อง” พี่เชนพูดกลับมา คงไม่ต้องมีคำพูดหรือคำอธิบายอะไรยืนยันแล้วล่ะ พี่เชนนี่แหละ ... ยมทูตตาสีฟ้า

“ผมกำลังออกไป แค่นี้นะครับ” ผมพูด รีบกดวางสายหยิบกุญแจรถแล้ววิ่งออกจากห้องไปไม่สนใจเสียงเรียกของอิฐ ที่ถามมาว่ากำลังจะรีบไปไหน

ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปในห้องชมรม ผมก็เห็นฟองกำลังนั่งพิมพ์อะไรบางอย่างในแล็บท็อปตัวเองข้าง ๆ กับพี่เชน ผมเลยรีบวิ่งเข้าไปหา

“ฟอง ! ฟองเป็นอะไรหรือเปล่า” ผมถามก่อนรีบดึงตัวฟองขึ้นมาให้ออกห่างจากพี่เชน

“หืม เป็นอะไร ฟองจะเป็นไรล่ะ ว่าแต่คีย์เถอะ ทำไมหน้าซีดอย่างงั้น” ฟองถามผมกลับ ผมเหลือบตามองไปที่พี่เชนที่ยังคงนั่งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่ที่เดิม

“ปะ...เปล่า ไม่มีอะไร ไหนบอกจะมาเย็น ๆ ไง” ผมถามไป

“พอดีเชนให้มาช่วยพิมพ์เอกสารรายงานสรุปที่เราไปค่ายกันมาน่ะ” ฟองตอบ

“อื้ม” ผมพยักหน้ารับ

“ฟอง พอดีมีเอกสารต้องให้อาจารย์ที่ปรึกษาชมรมช่วยเซนต์อะ ฟองเอาไปให้อาจารย์เซนต์หน่อยได้ไหม เหมือนแกจะไปต่างประเทศอาทิตย์หน้า ไม่สะดวกเข้ามาในมหาวิทยาลัยอีกแล้ว เพิ่งโทรมาบอกเมื่อกี้เอง ไปที่ห้อง EN405 อะ” พี่เชนปริ้นกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากเครื่องปริ้นข้าง ๆ ก่อนยื่นให้ฟอง

“โอเค ๆ ได้ ๆ” ฟองหันไปคุยกับพี่เชนแล้วเดินออกจากห้องชมรมไป

“พี่มีอะไรก็ว่ามา” ผมนั่งลงตรงเก้าอี้ที่ฟองเคยนั่งแล้วถามเขาไป

“ดูรัก ดูเป็นห่วงฟองมากเนอะ” น้ำเสียงที่ใช้ยังคงเดิม แต่ท่าทีที่มีเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนตั้งแต่ที่ฟองเดินออกจากห้อง พี่เชนที่ดูเป็นคนอบอุ่น เป็นรุ่นพี่ที่เคารพของคนทั้งชมรมกลับดูราวกับตัวร้ายในละคร

“อย่ามาอ้อมค้อม พูดมาตรง ๆ พี่ต้องการอะไร”

“ชีวิตมนุษย์มันสั้นคีย์ แต่ชีวิตยมทูตอย่างเรา ๆ มันยาวนานเกือบ 300 ปีเลยนะ นายทนเห็นคนที่ตัวเองรักครอบครัวนาย ตายไปต่อหน้าต่อตาได้เหรอ”

ประโยคแบบนี้มาอีกแล้ว ทำไมมันดูฟังแล้วคุ้นอย่างประหลาด

“ผมแยกแยะได้ มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ” ผมตอบกลับไป

“เหมือนที่แพทพูดไม่มีผิด โน้มน้าวใจนายให้มาเป็นพวก มันยากจริง ๆ”

อะไรนะ ... แพท ? เรื่องบ้าอะไรกันอีกเนี่ย ผมอึ้งจนแทบจะพูดอะไรไม่ออกแต่ก็ต้องถามออกไป

“หมายความว่าไง พี่รู้จักกับแพท ?”

“ฮ่าฮ่า ฉันตามดูนายมานานแล้วคีย์ เพราะต้องหายมทูตเพิ่ม แพทเป็นคนของฉันเอง จำวันที่นายต่อสู้กับวิญญาณที่สี่แยกได้ไหม ที่อยู่ดี ๆ เคียวนายก็ร้อนจนต้องปล่อยเคียวน่ะ นั่นฝีมือฉันล่ะ ก็แค่อยากจะดู ว่านายจะไปต่อได้แค่ไหนกัน แต่แพทก็มาพอดี ดูเหมือนว่ายังมีเยื่อใยให้นายอยู่”

“พี่นี่แม่งผมไม่รู้จะพูดยังไงเลย ไม่ว่าพี่จะทำอะไร พี่ไม่มีวันฝืนธรรมชาติได้หรอก ต่อให้กินดวงวิญญาณไปอีกร้อยหรือพันดวง สักวันพี่ก็ต้องหมดอายุขัย”

“เฮ้อ... ก็เพราะมีคนแบบนายนี่แหละ โลกมันถึงได้น่าเบื่อ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ตลกดีเนอะ ไม่อยากกำหนดชีวิตตัวเอง ไม่เคยอยากฝืนธรรมชาติบ้างเลยเหรอ โดยเฉพาะในเมื่อเรามีโอกาส” พี่เชนพูดพร้อมแสยะยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ดูแล้วโคตรน่าขยะแขยง

“ด้วยการแย่งชิงโอกาสของดวงวิญญาณดวงอื่น เพื่อต่ออายุและพลังตัวเองน่ะเหรอ ?”

“ใช่ ในเมื่อนายบอกเอง ว่ามันเป็นเรื่องของธรรมชาติ ฉะนั้นปลาใหญ่ก็ต้องกินปลาเล็กสิ” พูดจบก็หัวเราะออกมา

“พี่มันเกินเยียวยาจริง ๆ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า รู้อะไรไหม 30 ปีที่ผ่านมา ฉันได้แต่หลบซ่อนตัว เปลี่ยนอาชีพ หาแนวร่วมคนอื่นที่มีความคิดเดียวกัน เพิ่งจะได้กลับมาเป็นนักศึกษาเมื่อปีก่อน แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องซ่อนอีกแล้ว เพราะแค่วิญญาณอีกหนึ่งดวง ฉันก็จะมีพลังเท่าไอ้เปี๊ยกนั่นแล้ว” พี่เชนพูด นี่เขาพูดเรื่องบ้าอะไรขึ้นมาอีก ถึงขนาดจะมีพลังเท่าพญายมราชเลยเหรอ

“ตลกดีนะ นายไม่เคยสงสัยเลยเหรอว่าทำไมตาไอ้เปี๊ยกนั่นมันถึงเป็นสีแดง”

“พี่ต้องการจะสื่ออะไรกันแน่” ผมถามกลับไป

“ตัวมันเอง ก็กลืนกินวิญญาณเพื่อให้ได้มาถึงพลังเหมือนกันนั่นแหละ”

ว่าไงนะ ...

“มาเป็นพวกเดียวกันคีย์ แล้วฉันจะทำให้นายและคนที่นายรักอยู่กับนายตลอดไป ฉันจะเปลี่ยนแปลงกฎทุกอย่างในนรก และเป็นพญายมราชคนใหม่”

ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไร วงเวทย์แสงสีแดงก็ปรากฏขึ้นบนพื้นข้าง ๆ ตัวผม ก่อนจะปรากฏร่างของท่านพญายมราช พี่สิงห์และพี่ศรี

“ใช่ ! แต่ฉันไม่เคยกลืนกินดวงวิญญาณบริสุทธิ์เหมือนกับนาย เพราะงั้นสีตาฉันเลยไม่เหมือนกับนายไง ชรินทร์ เลิกหลอกคนอื่นได้แล้ว” เสียงดังกังวานดูมีอำนาจ ดังขึ้นมาจากปากของท่านพญายมราช

“แหม่ มากันพร้อมหน้าเลยนะครับ เสียดายจังผมยังดีลกับคีย์ไม่เสร็จเลย” พี่เชนพูดขึ้นมาแบบยิ้ม ๆ ดูท่าทางไม่ได้เกรงกลัวอะไร ราวกับรู้อยู่แล้วว่าทั้งสามคนจะมาปรากฏตัวที่นี่ ใช่แล้ว ผมใช้จิตสื่อสารกับพี่สิงห์ในนรกหลังจากที่ฟองออกจากห้องไป

“สิงหราช ศรีสอางค์จัดการ”

ทันทีที่พญายมราชพูดจบเคียวของพี่สิงห์และพี่ศรีก็ปรากฏขึ้นข้างกาย ก่อนทั้งคู่จะพุ่งตรงไปยังพี่เชนที่ยืนอยู่ห่างไม่กี่เมตร ร่างตรงนั้นไม่มีวี่แววว่าจะถอยแม้แต่น้อยกลับยังคงยืนอยู่ตรงที่เดิม

“พี่สิงห์กับพี่ศรีคงยังไม่รู้สินะครับ ว่าผมมีพลังมากกว่าพวกพี่สองคนไปแล้ว ผมไม่ใช่ยมทูตคนเดิม” เสียงเยียบเย็นถูกเอ่ยขึ้นมา นัยน์ตาสีดำเปลี่ยนเป็นสีฟ้าเข้มเป็นประกาย ผมเห็นออร่าสีดำมืดแผ่ขยายบริเวณไปทั่วห้อง มันทำให้ทั้งห้องเต็มไปด้วยความกดดัน และความหวาดกลัว อากาศเยียบเย็นขึ้นมาราวกับอยู่ขั้วโลก

ตู้ม !

เกิดเสียงดังสนั่นหวันไหวหลังจากที่พี่สิงห์และพี่ศรีพุ่งเข้าไปหาพี่เชน ก่อนตามมาด้วยไอหมอกสีดำที่กระจายไปทั่ว พร้อมกับพื้นกระเบื้องห้องที่แตกร้าวเป็นทางยาว สภาพห้องเละเทะ กระจกหน้าต่างแตกละเอียด ฝ้าเพดานล่วงลงมาพังพินาศ

พี่สิงห์และพี่ศรีกระเด็นออกมา อยู่ห่างจากผมไม่มากนัก ทั้งสองดูท่าจะเจ็บหนัก กระอักเลือดออกมาเยอะมาก ด้านหน้าของผมมีท่านพญายมราชยืนบังอยู่ ผมกำลังอยู่ในสิ่งที่คล้ายกับบาเรียสีแดงโปร่งแสงซึ่งดูเหมือนว่าท่านพญายมราชจะเป็นคนสร้างเอาไว้ทันก่อนเกิดการระเบิด

“พอเถอะครับถ้าไม่อยากให้มีใครต้องตาย และให้พวกมนุษย์แห่กันมาดู ว่ามันเกิดอะไรขึ้น” พี่เชนพูดขึ้นมายิ้ม ๆ เจ้าตัวแทบจะไม่ได้ขยับที่ไปไหนด้วยซ้ำในการต่อสู้

คนพูดขยับตัวเดิมมาใกล้ ๆ บาเรียที่ผมกับท่านพญายมราชยืนอยู่

ใบหน้าฉีกยิ้มกว้าง ดวงตาสีฟ้าเหมือนปีศาจจ้องมาที่ผมราวกับเจอของเล่นสนุก

“... ว่าแต่ ... ทำไมฟองหายไปนานจังนะคีย์ ติ๊กต๊อก ติ๊กต๊อก”

“พี่ทำอะไรฟอง !” ผมร้องตะโกนออกมา พร้อมพุ่งตัวทำท่าจะออกจากบาเรียของท่านพญายมราชแต่ถูกแรงที่มองไม่เห็นดึงไว้ให้เดินออกไปไหนไม่ได้

“ต้องไปถามแพทล่ะมั้งเรื่องนี้ ไปก่อนนะครับ พี่สิงห์ พี่ศรี ท่านว่าที่อดีตพญายมราช”

พูดจบก็เกิดวงแหวนสีดำขึ้นมาใต้เท้า ก่อนร่างนั้นจะค่อย ๆ กลืนกินหายไปกับควันสีดำ เหลือทิ้งไว้แต่เพียงคำพูดอันเยียบเย็นสุดขั้วหัวใจ

“แล้วเราจะได้รู้กัน ว่านายเลือกอยู่ผิดข้าง ... คีย์”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด