ตอนที่แล้วตอนที่ 6 : ข้าจะตะปบเจ้า
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 8 : เล่ห์เหลี่ยมของการเอาตัวรอด

ตอนที่ 7 : ดูดซับแก่นแท้ชีวิตของเขา


ในที่สุดแล้วโจวชางก็ไต่ขึ้นไปบนเส้นทางที่เลวร้ายและน่าเกรงขาม เขามาถึงยอดเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของอารามสุริยุจันทราคราส พระอาทิตย์ตกดินส่องแสงสีส้มและเป็นลางร้ายเหนือขอบฟ้า ม่านหมอกหนาทึบปกคลุมภูเขาสีเงินที่ค่อยๆมือมิด เสียงหมาป่าหอนจะได้ยินในระยะไกล

แม้ว่าเขาจะเป็นนักล่าปีศาจ ได้รับการฝึกฝนในการต่อสู้กับสัตว์ประหลาดมากมาย ที่ใช้ชีวิตดุร้ายในป่าและทั้งหมดมันเป็นความท้าท้าย แม้แต่เขา บรรยากาศนี้นั้นช่างไม่น่าประทับใจ

เขาไปถึงเชิงบันไดแล้วลงจากหลังม้า เก็บซ่อนของมีค่าและสมบัติอื่นๆ และเหลี่ยงร่างปวกเปียกของปีศาจสุนัขจิ้งจอกขึ้นบนไหล่ของเขา

ข้างหน้าเขามีบันไดยาวทำด้วยหิน นำไปสู่ยอดเขาปลายทางของเขา เดินช้าๆตามขั้นบันไดยิ่งปีนยิ่งสูงขึ้นไปเรื่อยๆ อากาศเริ่มบางขึ้นและเย็นลง เขาเริ่มสาปแช่งน้ำหนักที่หน่วงขึ้นของของรางวัลของเขาและสมบัติที่จะได้ รู้สึกถึงการปวดเมื่อยในกล้ามเนื้อ ในที่สุดเขาก็มาถึงจุดสูงสุด หายใจหอบและลากเท้าเข้าไป

ประตูทางเข้าอารามได้รับการครอบจากซุ้มประตูเคลือบเงาที่ตกแต่งประดับด้วยรูปสิงโตผู้พิทักษ์คู่หนึ่ง

ขณะที่โจวชางผ่านเข้าไปและเริ่มเข้าใกล้ประตูด้านหน้าของอาคาร อีกาโฉบลงมาพร้อมกับเสียงกรีดร้องดังๆ โฉบผ่านหน้าเขาไป ก่อนที่เบี่ยงทิศทางพุ่งเข้าหาเขาเกือบทำให้เขาล้มลง

เขาสบถภายใต้ลมหายใจที่กักกลั้นไว้ด้วยความตกใจ และดูมันบินหายไปเป็นครู่ ก่อนที่จะรีบเคาะประตูไม้หนักๆ

เด็กเล็กที่ไม่มีผมอยู่บนหัว (เรียกง่ายๆว่าเณรน้อย) สวมเสื้อคลุมสีสดใสแบบดั้งเดิมเปิดประตูและส่งสัญญาณให้โจวชางเข้ามาข้างใน อารามเงียบสงบและยังคึกคักไปด้วยนักบวช มันมีโครงสร้างตามประเพณีดั้งเดิมมากและเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของไม้จันทร์ ในพื้นที่หนึ่งมีเด็กเล็กอ่านพระคัมภีร์และอีกกลุ่มหนึ่งเป็นกลุ่มนักบวชหนุ่มที่สวดมนอย่างพร้อมเพรียง

ที่มุมขวาสุดโจวชางเห็นกรงวางเรียงยาวสุดลูกหูลูกตาในรูปทรงและขนาดที่หลากหลายแตกต่างกันไป ผู้ถูกจับกุมบางคนมีขนาดเล็กในขณะที่คนอื่นมีขนาดใหญ่เท่ากับตัวเขาเอง ในกรงมีสิ่งมีชีวิตตั้งแต่เทพยาดาจากป่านิมฟ์ และองค์ประกอบของวิญญาณขนาดเล็ก สิ่งมีชีวิตที่ถูกปีศาจสิงร่าง อาทิ แมว กระต่าย และพังพอนปีศาจ ส่วนใหญ่เป็นสัตว์ที่อ่อนแอหรือเคลื่อนไหวช้าๆ จับได้ง่าย พวกเขาสมบูรณ์แบบที่จะใช้สำหรับวัตถุประสงค์ในการทดลองเช่นเดียวกับการเชื่อมต่อพันธะที่คุ้นเคย

หน้ากรงกรงหนึ่งโจวชางเห็นพระหนุ่มถือม้วนหนังสือที่เขาเขียนบันทึกไว้

โจวชางรีบข้ามห้องโถงไปคุยกับพระองค์นั้นหวังว่าจะเสร็จสิ้นการติดต่อซื้อขายกันและจะได้กลับออกไปโดยเร็วที่สุด

โชคดีสำหรับเขาที่การตกลงซื้อขายนี้เสร็จอย่างรวดเร็วและได้ผลลัพธ์ที่ดี เขาเล่าถึงของสะสมของเขาต่อนักบวชหนุ่ม ปีศาจจิ้งจอกหิมะ อาจเป็นลูกจิ้งจอกที่ยังอ่อนหัดมันจึงตายเร็ว แม้ว่าจะเป็นการยากที่จะบอกอายุของมันเนื่องจากปีศาจหดได้ขยายได้เมื่อสูญเสียพลัง

เจ้าอาวาส ผู้รับผิดชอบการจ่ายค่าธรรมเนียมสัตว์ร้ายนั้น ถูกเรียกให้อนุมัติการซื้อขายที่เขานำมา โดยส่งถุงหนักๆที่เต็มไปด้วยเหรียญแก่โจวชาง จากนั้นเขาก็รีบออกจากวัดไป

เมื่อโจวชางออกมาจากศาสนสถานแห่งนั้นไปแล้ว ร่างสุนัขจิ้งจอกที่ปวกเปียกของไป๋ชิงเย่ว ถูกโยนลงไว้ในกรงไม้ขนาดเล็กอย่างไม่มีพิธีรีตองใด หลังจากนั้นครึ่งวันเขาก็สามารถฟื้นกำลังกลับคืนมาได้บางส่วน แต่เขาตั้งใจจะเล่นบทว่าตายไปแล้วนี้เรื่อยๆ ให้ผู้คุมตายใจจนกว่าเขาสามารถทำตามแผนหนีจากที่นี่ได้

โดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด เขาเหนื่อยเกินไปที่จะถ่างตาตื่นตัวอยู่ตลอด  เขาต้องการการพักผ่อนอย่างมาก เพื่อให้ได้พลังชีวิตคืนกลับมาโดยเร็วที่สุด สุนัขจิ้งจอกตัวเล็กที่เลือดอาบกระพริบตาหลายครั้ง จากนั้นค่อยๆหลับตาลง

เมื่อผ่านมาได้สองสามชั่วโมงหูของไป๋ชิงเย่วยกขึ้น เขาไม่สามารถระงับการเคลื่อนไหวโดยไม่สมัครใจนี้ได้ เนื่องจากเสียงของมนุษย์ที่ดังอยู่รอบตัวเขามีมากเกินไป เขาเปิดตาขึ้นเล็กน้อยและมองไปรอบๆ เหล่ตาสู้แสงจ้านั้น แน่นอนเขาไม่สามารถแสร้งทำเป็นตายได้อีกต่อไป

ลูกสุนัขจิ้งจอกสีขาวที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยพระมากกว่าหนึ่งโหล ทุกคนต่างจ้องมองมาที่เขาอย่างสงสัย

“นี่เป็นปีศาจจิ้งจอกจริงหรือ?”

“อาตมารู้สึกถึงพลังน้อยมาก แต่ไม่มีต้นกำเนิดของพลังปีศาจ”

“ที่จริงแล้วจิ้งจอกน้อยดูน่ารัก บางทีพวกเราอาจจะรักษาเขาและทำให้เขาคุ้นเคยอยู่รับใช้เรา...?”

ความดันโลหิตของไป๋ชิงเย่วเพิ่มสูงขึ้น การได้ยินคำกล่าวเช่นนั้นทำให้หลอดเลือดดำที่หน้าผากของเขาเกือบปูดขึ้นมา อุ้งเท้านุ่มๆของเขาขดตัวเข้าด้านในคล้ายกำหมัดเล็กๆ

พยาธิน้อยที่น่ารำคาญเหล่านี้ ยังกล้าที่จะคิดเก็บเขาไว้เป็นคนรับใช้ของพวกเขาได้อย่างไร!

ทันใดนั้นห้องก็เงียบลงเหมือนมีคนที่น่าเคารพนับถือ นักบวชเดินตัวสั่นๆด้วยวัยชรา เข้ามากลางวงนักบวชหนุ่มเหล่านั้น

มันคือหัวหน้าเจ้าอาวาสที่พวกเขาให้ความเคารพและมีสิทธิ อำนาจทั่วทั้งวัด รวมถึงสาวกอีกสองร้อยกว่าคน นักบวชที่รวมตัวกันก็หยุดกราบทันทีเมื่อเห็นอาจารย์ของพวกเขา

ด้วยประสบการณ์หลายปีของนักบวชชรา แน่นอนมีโอกาสไม่มากที่นักบวชอาวุโสจะเคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่มีคำตอบว่าสุนัขตัวนี้เป็นใคร ข้อสรุปเดียวที่เขาสามารถทำได้ ณ จุดนี้คือประการแรกสุนัขจิ้งจอกตัวนี้ยังไม่ตายอย่างที่นักล่าปีศาจกล่าวไว้ และประการที่สองไม่ได้มาจากอาณาจักรนี้แน่นอน

“สุนัขจิ้งจอกตัวนี้ยังมีชีวิตอยู่ เขาเพียงแค่อ่อนแอ อย่างไรก็ตาม อาจารย์ไม่แน่ใจเกี่ยวกับต้นกำเนิดหรือความตั้งใจของเขาที่จะเข้ามาในโลกของเรา อาจารย์เชื่อว่าเขาไม่ได้มาจากดินแดนของเรา แต่มาจากระนาบที่แตกต่างกัน” เจ้าอาวาสผู้เป็นหัวหน้าสูงสุดประกาศเมื่อเขาได้ข้อสรุปของเขา

แน่นอนรัศมีของจิ้งจอกตัวนี้เจิดจ้าเกินไป เปล่งประกายด้วยรัศมีแห่งพระเจ้า ตอนนี้เขาพูดถึงมันแล้วนักบวชคนอื่นๆ ก็เริ่มรู้สึกเช่นเดียวกัน และพวกเขาจ้องมองสัตว์ร้ายตัวเล็กๆที่ดูน่าเกรงขามนั้น เหมือนไม่มีใครเคยพบสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรอื่นที่เป็นเช่นนี้มาก่อน

เจ้าอาวาสรู้สึกว่า เมื่อเวลาผ่านไปสุนัขจิ้งจอกตัวน้อยนี้จะค่อยๆแข็งแกร่งขึ้นและเป็นอันตรายมากขึ้น ความเข้าใจของเขาที่มีต่อสิ่งมีชีวิตที่ถูกใส่เดือยเยี่ยงทาส  เขารู้ว่าเขาต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็วเพื่อความปลอดภัยของอารามแห่งนี้ เขาพูดกับพระทั้งหลายที่พึมพำพูดคุยกันอยู่อีกครั้งและพระเหล่านั้นก็เงียบฟัง

“อาจารย์รู้สึกว่าตอนนี้มันอาจจะดูอ่อนแอ แต่มันก็มีพลังมากขึ้นในช่วงต่อมา รัศมีทางวิญญาณของมันแสดงให้เห็นถึงพลังที่เราจะต้องคำนึงถึง มันจะเป็นอันตรายที่จะให้มันมีชีวิตอยู่ ดังนั้นเราจึงควรแน่ใจว่าได้ฆ่ามันไปเสีย และหลังจากนั้นเราอาจจะดูดซับแก่นแท้ของชีวิตของมันเพื่อยกระดับการฝึกฝนของศิษย์ให้มีความสามารถมากที่สุดของเรา

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด