ตอนที่แล้วตอนที่ 31 ฟินิกซ์ตัวน้อย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 33 ความจริงกับครึ่งปิศาจ

ตอนที่ 32 ลิซ่า


เมื่อครั้งที่ข้าออกมาจากที่พำนักเจ้านคร เวลาก็ล่วงเลยไปถึงยามพลบค่ำแล้ว แต่ตัวข้าก็ยังไม่มีความรู้สึกที่อยากจะกลับเข้าไปอยู่ในห้องกักกันเลยสักนิด

หัองกักกัน? ใช่แล้ว ณ ตอนนี้ลิชโรแลนด์กำลังอยู่ระหว่างถูกคุมขังในห้องกักกัน เนื่องในสาเหตุที่เป็นตัวต้นคิดเหตุความวุ่นวายครั้งที่พึ่งจะผ่านไป ซึ่ง ณ ขณะนี้ลิชโรแลนด์ก็แค่แอบย่องเบาหนีออกมาเท่านั้นเอง

การวิ่งเปลื้องผ้าหมู่นั้นไม่ถือว่าเป็นความผิดตามกฎหมายสถานใด ฉะนั้นเรื่องในครั้งนี้จึงไม่สามารถถือเป็นความผิดได้ แต่การเอาผู้ที่ก่อเรื่องมาขังไว้สัก 3 ถึง 5 วันเพื่อให้สำนึกผิดเสียบ้างก็ถือเป็นสิ่งที่จำเป็นเช่นกัน

ตัวข้าที่ได้อัญเชิญโครงกระดูกออกมาโครงนึง ก็ทำการตกแต่งโครงกระดูกโครงนี้ด้วยเครื่องประดับและเสื้อผ้าของข้า ผสมโรงด้วยเวทมนต์อีกนิดหน่อยเพื่อหลอกคนอื่นว่าลิชตนนี้กำลังหลับอยู่ ก่อนที่ตัวข้าจะแอบแว๊บออกมา ถ้าเป็นในวันอื่นล่ะก็ ข้าคงต้องรีบกลับไปเข้าห้องกักกันเพื่อกันไม่ให้โดนจับได้ว่าแอบหนีออกมา

เพราะจะอย่างไรซะ เหล่าดาร์ดเอลฟ์ก็มีสัมผัสเกี่ยวกับเวทมนต์ที่ละเอียดอ่อน เช่นนี้ย่อมไม่ยากเลยที่พวกนางจะจับพิรุธตัวปลอมของข้าได้ในระหว่างที่เดินตรวจตรา แต่ ณ ตอนนี้ พวกนางไม่มีเวลาว่างพอมาหาเรื่องลิชแสนดีที่ทำตัวสงบเสงี่ยมอยู่ที่มุมห้องหรอก

ส่วนสาเหตุน่ะเหรอ? ก็เพราะว่าตอนนี้พวกนางกำลังยุ่งอยู่ไงล่ะ ยุ่งแบบสุดตัวเลยล่ะ... ถ้าจะให้เล่าล่ะก็ ก็คงต้องเริ่มจากส่วนที่ข้าเป็นคนผิด ที่สั่งห้ามทำกิจกรรมทางวิศวกรรมเป็นเวลาหนึ่งเดือน

ถ้ามองจากมุมมองชำระล้างวัฒนธรรมในนครภูผาหลิวฮวงให้ใสสะอาดล่ะก็ ผลที่ได้จากคำสั่งห้ามในครั้งนี้ถือว่าประสบผลสำเร็จอย่างยอดเยี่ยม หลังจากที่เหล่าคนแคระและก็อบลิน เจ้าพวกระเบิดเวลาเคลื่อนที่ได้เหล่านี้ โดยจับส่งตรงไปเข้าห้องกักกัน อัตราการเกิดอาชญากรรมและจำนวนคดีความที่ถูกร้องเรียนเข้ามาในนครภูผาหลิวฮวงก็ลดลงไป 3 % ในทันที แถมยังไม่มีเหตุการณ์ระเบิดเกิดขึ้นสักครั้งเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา

แต่ เมื่อครั้งที่เหล่าหน่วยรักษาความสงบกำลังหลงดีใจว่า ในที่สุดพวกตนก็จะได้นอนหลับอย่างเป็นสุขในยามค่ำคืนเสียที พวกนางก็ต้องพบกับความจริงอันแสนโหดร้ายว่า นี่น่ะเป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้ายต่างหาก

สิ่งที่เลวร้ายกว่าปัญหาที่แก้ไม่ตกก็คือ การที่ปัญหาที่แก้ไม่ตกหลายๆปัญหามารวมกันเป็นหนึ่งเดียว เมื่อถึงยามที่เหล่าวิศวกรในห้องกักกันต่างรวมกันเป็นน้ำหนึ่งเดียวกัน เมื่อถึงคราธงชัยแห่งการชุมนุมวิศวกรประจำนครภูผาหลิวฮวงครั้งที่หนึ่งถูกโบกสะบัดขึ้น แม้แต่ตัวข้าผู้เจนโลกกับเหล่าสหายยังต้องตกตะลึง

เหล่าวิศวกรก็อบลินต่างพูดคุยถึงประสบการณ์การทำระเบิดรวมถึงประสบการณ์ที่โดนระเบิดอัดใส่ ซึ่งในขณะเดียวกันเหล่าวิศวกรคนแคระก็ต่างพูดคุยถึงความคิดอันสร้างสรรค์และกรรมวิธีการผลิตเครื่องจักรสุดบรรเจิดของพวกตน เอาเถอะ ถึงเรื่องที่เจ้าพวกนี้คุยกันส่วนใหญ่จะเป็นวิธีฆ่าตัวตายแบบต่างๆก็เถอะ แต่แล้วด้วยความเบื่อหน่ายที่ต้องนั่งๆนอนๆในห้องขัง สิ่งที่เลวร้ายเสียยิ่งกว่าการไม่ค้นตัวเจ้าพวกระเบิดเวลาเคลื่อนที่ได้เหล่านี้ให้ละเอียดถี่ถ้วนก็เกิดขึ้น เหล่าคนแคระและก็อบลินที่อยู่ว่างไม่มีอะไรทำก็เริ่มพูดคุยถึงสิ่งประดิษฐ์ที่จะเกิดขึ้นถ้าได้ลองผสมผสานศาสตร์วิศวกรรมทั้งสองแขนงเข้าด้วยกัน...

ที่จริงในตอนแรกๆ ข้าที่อยู่ห้องขังข้างเคียงก็เป็นคนคอยยุยงใส่ไฟ... “เรามาลองสร้างหุ่นยนต์ก็อบลินยักษ์ที่ตัวใหญ่เท่าภูเขา ที่ติดใบเลื่อยที่สามารถตัดได้แม้กระทั่งต้นไม้ศึกโบราณของเหล่าไฮเอลฟ์กัน อะไรนะเป็นไปไม่ได้งั้นเหรอ? ตัวเครื่องจะหนักเกินไป? นี่หนูๆ ทำไมพวกเจ้าช่างไร้จินตนาการเยี่ยงนี้เล่า? นี่เจ้าลืมไปแล้วหรือไงว่าที่แห่งนี้น่ะไม่ได้มีวิศวกรชั้นครูเพียงแค่แขนงเดียวสักหน่อย ถ้าพวกเราเปลี่ยนไปใช้วงจรไฟฟ้าและตัวขับแรงดันของเหล่าคนแคระล่ะก็ ไม่เพียงแต่ตัวเครื่องจะไม่หนักเกินไป ตัวเครื่องยังจะไม่ระเบิดเร็วเกินไปอีกต่างหาก”

“ถ้าพวกเราจะสร้างมังกรจักรกลพ่นไฟขึ้นล่ะก็ พวกเราจะต้องย้อมส่วนหัวให้เป็นสีแดง เท่านี้ ตัวเครื่องก็จะแรงขึ้น 3 เท่าแล้ว”

“ถ้าพวกเราติดตั้งส่วนหัวด้วยสว่านที่หมุนได้อย่างต่อเนื่องล่ะก็ พวกเราก็จะสามารถใช้สว่านนี้ขุดขึ้นไปบนพื้นทวีปได้ เท่านี้ พวกเราก็ไม่ต้องจ่ายค่าผ่านทางตามเมืองหน้าด่านที่คอยคุมทางขึ้นไปบนพื้นทวีปอีก”

แต่เพียงไม่นาน ตัวข้าก็ตระหนักว่าเรื่องในครั้งนี้นั้นเลยเถิดเกินกว่าที่จะควบคุมได้อีกแล้ว แรงบันดาลใจที่ปะทุขึ้นในตัวเหล่าวิศวกรนั้นร้อนแรงเกินไป ข้าเพียงแค่ลองเอ่ยถึงไอเดียการผสมผสานศาสตร์วิศวกรรมทั้งสองรวมถึงแง่มุมใหม่ๆที่สามารถศึกษาค้นคว้าได้เท่านั้นเอง แต่เจ้าพวกนี้กลับเอาเรื่องนี้ไปเสวนาหารือกันอย่างเริงร่า ก่อนที่จะเริ่มลงมือทำกันจริงๆ

“ไม่มีเชื้อไฟ? รองเท้าของข้าเป็นหินเหล็กไฟ เพียงแค่กระทบกันหน่อยเดียวก็เกิดประกายไฟขึ้นแล้ว”

“ไม่มีอะไหล่สำรอง? เหเห น้องชายของข้าหยินโกวนั้นมีอาชีพเสริมเป็นจอมเวทย์อัคคี ฉะนั้น เรื่องหลอมลูกกรงมาทำเป็นอะไหล่น่ะฝากหมอนั้นได้เลย”

“ไม่มีดินปืน? เหเห ตัวข้านั้นเป็นปรมาจารย์ศาสตร์สองแขนง ทั้งศาสตร์เล่นแร่แปรธาตุก็อบลินและศาสตร์วิศวกรรมก็อบลิน มาสิ มาช่วยเก็บสบู่ให้ข้าหน่อย... อย่าเข้าใจผิดล่ะ ข้าไม่ใช่เกย์หรอกนะ ข้าเพียงแต่ต้องการจะใช้สบู่และไขมันสัตว์ในอาหารกลางวันของพวกเจ้ามาเป็นวัตถุดิบเท่านั้นเอง จงดูวิธีทำกลีเซอรีทไตรไนเตรทด้วยมือของข้าซะ!! นี่แหละ สุดยอดทักษะลับที่ข้าได้ร่ำเรียนมาจากมนุษย์แมวน้ำที่เซาธ์รอซ หลังจากที่ได้สูตรลับนี่มาอยู่ในมือ แม่ข้าก็ไม่ต้องกังวลว่าเครื่องจักรของข้าจะขาดเชื้อเพลิงอีกต่อไป”

“ไม่มีฟิวส์ ตัวเร่งปฏิกิริยา แล้วก็เฟืองหมุนงั้นเหรอ? งั้นรอสักปะเดี่ยว ให้ข้าได้แก้ผ้าก่อน... อย่ามองอย่างงั้นสิ ข้าไม่ใช่พวกชอบไม้ป่าเดียวกันสักหน่อย ดูสิ จงดูที่เสื้อผ้าของข้าซะสิ เห็นไหมว่านี่น่ะชุ่มไปด้วยเฮโซเจนเหลว เพียงแค่ข้าฉีกเบาๆก็เกิดระเบิดขึ้นแล้ว (ก็อบลินที่อยู่ข้างๆ ก็อบลินที่พูดอยู่ตอนนี้ ได้มองก็อบลินที่พูดอยู่ด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเคารพนับถือ ในความหมายที่ว่า ‘เจ้านี่ช่างเป็นแบบอย่างของก็อบลินผู้มีจิตวิญญาณของวิศวกรจริงๆ ขนาดกล้าสวมของแบบนี้อยู่กับตัว’) แล้วถ้าเอากระดุมนี้กับนี่มาประกบกันล่ะก็ เจ้าก็จะได้ชุดเครื่องมือช่างพื้นฐานออกมาแล้ว นี่ไงมีแม้แต่ประแจ สิ่ว แล้วก็ปากกา เจ้าอยากได้งั้นเหรอ? แต่ข้าไม่ขายหรอกนะ นี่น่ะเป็นของขวัญวันเกิดที่ลิชผู้ปราดเปรื่องตนนึงได้มอบไว้ให้กับข้า สิ่งนี้น่ะเป็นเครื่องหมายแทนถึงมิตรภาพระหว่างเราสอง!! ...อะไรนะ เจ้าอยากได้จริงๆงั้นเหรอ ก็ไม่ใช่ว่าข้าจะทำใจแยกจากของชิ้นนี้ไม่ได้ก็เถอะ แต่อย่างน้อย ราคาต้อง 30000 เหรียญทองเป็นอย่างต่ำเท่านั้น!”

จินยะ เบยารต์ผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานก็ลูบคางที่ไร้หนวดเคราของตนอย่างภาคภูมิ พร้อมกับส่งยิ้มและนิ้วโป้งมาทางข้า

ดูท่าคู่พี่น้องเบยารต์จะใช้ความสามารถอันมากล้นและหลากหลายของพวกตน ขึ้นเป็นหัวหน้าของเหล่าวิศวกรแบบกลายๆสินะ ตัวข้าที่เฝ้ามองเจ้าพวกบ้านี่ช่วยกันถอนลูกกรงออกมาหลอมเป็นอะไหล่กันอย่างเริงร่า แถมยังร่วมแรงร่วมใจกันใช้สบู่และไขมันสัตว์มาทำเป็นระเบิดกันอย่างสนุกสนาน ก็รู้สึกเสียใจระดับที่ลำไส้ของข้าเปลี่ยนเป็นสีฟ้าเลยล่ะ อืม ถ้าข้ายังมีลำไส้อยู่ล่ะก็นะ

“...ข้าขอสาบานเลยว่า ถ้าข้าออกไปจากที่นี่ได้ ข้าจะต้องหาเรื่องโยนพวกเจ้าทุกตัวกลับเข้ามาอยู่ในนี้ให้ได้ ในข้อหาอะไรงั้นเหรอ? ถ้าข้าคิดไม่ผิดล่ะก็ ถ้าเจ้าพวกบ้านี่ยังคงจะถลำลึกเข้าไปในเส้นทางนี้ต่อไปล่ะก็ ในไม่ช้านี่แหละ ได้เกิดเรื่องขึ้นแน่”

เมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วก็ย่อมได้ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเห็นห้องกักกันที่สร้างขึ้นจากภาษีของประชาชนโดนระเบิดเป่าขึ้นฟ้าไป และที่สำคัญกว่านั้น เพื่อที่ข้าจะได้ไม่ต้องโดนระเบิดเป่าขึ้นฟ้าไปพร้อมกับห้องกักกัน ข้าก็ตัดสินใจร้องขอความช่วยเหลืออย่างปัจจุบันทันด่วน

“อิลิซ่า เจ้าจงรีบไปแจ้งกับหน่วยรักษาความสงบเดี่ยวนี้เลยว่า เจ้าพวกก็อบลินในห้องกักกันกำลังร่วมแรงร่วมใจกันสร้างระเบิดที่สามารถเป่าทั้งนครให้เละเป็นจุลได้!”

เอาล่ะ เรื่องต่อจากนี้ก็แสนจะง่ายดาย เมื่อครั้งที่หน่วยรักษาความสงบมาถึง พวกนางก็จัดการปราบปรามเจ้าพวกวิศวกรเถื่อนเหล่านี้ พร้อมกับจัดเวรยามให้เหล่าเจ้าหน้าที่ในหน่วยมาคอยอยู่คุมที่ห้องกักกัน...

แต่นี่น่ะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น... ยามใดที่ไฟแห่งการแสวงหาความรู้ได้ถูกจุดติดขึ้นแล้ว ไฟนี่ก็ไม่มีวันที่จะมอดดับลงได้ – ปรมาจารย์วิศวกรก็อบลิน จินยะ เบยารต์

เมื่อครั้งที่หน่วยรักษาความสงบเข้ามาคุมเข้ม สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปก็มีเพียง การร่วมมือกันอย่างเปิดเผยที่แปรเปลี่ยนเป็นการร่วมมือกันอย่างลับๆแทน แบบแปลนวิศวกรรมนานับประการได้ปลิวว่อนไปทั่วดุจข้อมูลใต้ดิน เพียงแค่มองตากันหนเดียวเจ้าวิศวกรพวกนี้ก็สามารถถ่ายโอนข้อมูลกันได้แล้ว...

ที่แย่กว่านั้น ไม่รู้ไม่ทำอีท่าไหนข่าวเรื่องโครงการความร่วมมือระหว่างปรมาจารย์วิศวกรแห่งนครภูผาหลิวฮวงถึงได้รั่วไหลออกไปสู่โลกภายนอกได้ เพียงไม่นานหลังจากที่ข่าวนี้รั่วออกไป เหล่าวิศวกรชั้นครูที่อยู่ด้านนอกเองก็เริ่มที่จะก่อเรื่องเพื่อหาโอกาสเข้าร่วม ‘การชุมนุมอันยิ่งใหญ่’ ครั้งนี้ ขนาดที่มีวิศวกรชั้นครูบางคนยินยอมจะใช้ชิ้นส่วนอะไหล่แสนสำคัญของตนมาเป็นค่าผ่านทางให้ตนได้เข้าร่วมกับเรื่องในครั้งนี้ด้วย

ซึ่งผลลัพธ์สุดท้ายที่ออกมาก็คือ เมื่อคราใดที่เหล่าเจ้าหน้าที่หันหัวไปทางอื่น ติ้ง ติ้ง ตัง ตัง เหล่าวิศวกรสองเผ่าพันธุ์ก็จะเริ่มทำงานกันในบัดดล แต่เมื่อครั้งใดที่เหล่าเจ้าหน้าที่หันหัวกลับมา เหล่าวิศวกรทั้งหลายก็จะเริ่มผิวปากทำตัวไม่รู้ไม่ชี้กันอย่างพร้อมเพรียง

หน่วยรักษาความสงบที่จนใจไม่รู้จะทำอย่างไรดี ก็ได้แต่เกณฑ์พลทั้งหน่วยมาช่วยกันจับตาดูเจ้าพวกวิศวกรบ้านี่ไม่ให้ทำอะไรแผลงๆ และในเมื่อหน่วยรักษาความสงบกำลังยุ่งอยู่เช่นนี้ เหล่าอาชญากรที่เหลือต่างก็รื่นเริงดุจคำสุภาษิตที่ว่า แมวไม่อยู่หนูร่าเริง ซึ่งตัวข้าเองก็อาศัยจังหวะนี้แอบแว๊บไปหาแอนนี่เช่นกัน

แค่ก เอาล่ะข้าขอจบการย้อนความแต่เพียงเท่านี้ ณ ตอนนี้นั้น ห้องกักกันก็มิได้ต่างอะไรไปกับปากปล่องภูเขาไฟ ที่พร้อมจะปะทุได้ทุกเมื่อ อืม แทนที่จะใช้คำว่าปะทุ ข้าว่าเรามาเปลี่ยนเป็นคำว่าระเบิดจะเหมาะสมกว่า

ผู้เป็นสุภาพบุรุษจะไม่เอาตัวเองไปอยู่ใต้กำแพงที่ไม่มั่นคง ทั้งนี้ตัวข้าก็ไม่เคยคิดสักครั้งว่าตัวเองเป็นสุภาพบุรุษผู้มีจริยธรรมอันดีงาม และนอกจากนี้ ตัวข้าก็ไม่ใช่พวกที่มีรสนิยมพิสดารที่มีความสุขเวลาได้เห็นระเบิดด้วย

“ฉะนั้นแล้ว ก่อนที่อะไรๆจะเลยเถิดจนเริ่มเกิดการระเบิดขึ้น ข้าก็ควรลี้ภัยไปฆ่าเวลาอยู่ที่อื่นสักพัก อืม งั้นไปเยี่ยมเสี่ยวหงส์สักหน่อยละกัน”

แต่ไม่เป็นดั่งคาด จากการที่ข้าได้ติดต่อเข้าไป ทำให้ข้าได้รับข่าวจากลูกน้องของเสี่ยวหงส์ว่า ตอนนี้นางนั้นไม่ได้อยู่ที่บ้าน

“เหเห นางที่พึ่งจะประสบกับความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตมา คงต้องอารมณ์เสียแบบสุดๆแน่ ถ้าตอนนี้ นางไม่ไปหาเรื่องท้าตีท้าต่อยกับใคร นางก็ต้องอยู่ที่นั้นแน่!”

แล้วก็เป็นดั่งคาด เมื่อครั้งที่ข้ามาถึงร้านเหล้าที่ใหญ่ที่สุดในเขตกลางเมือง กุหลาบสีเพลิง ข้าก็ทำการเดินไปทางห้องหับที่พวกเราชอบมาดื่มกันเป็นประจำ ซึ่งในขณะที่ข้าจะก้าวเท้าเข้าไปในห้อง ข้าก็ได้ยินน้ำเสียงที่แสนคุ้นชินดังขึ้นจากด้านใน

“โรแลนด์ มาดื่มเป็นเพื่อนข้าหน่อยสิ!”

“ทำไมเจ้าถึงแปลงร่างเป็นมนุษย์ แล้วมานั่งเหงาดื่มเหล้าคนเดียวเช่นนี้ล่ะ? เจ้าก็รู้นิว่าเหล้า มันไม่ดีต่อบาดแผลน่ะ”

ใช่แล้ว เสี่ยวหงส์ที่กำลังอยู่ในวัยต่อต้าน ก็มิได้แตกต่างไปจากเด็กสาววัยแรกรุ่นเสเพลคนอื่นเลย ที่มีงานอดิเรกเป็นการหาเรื่องท้าตีท้าต่อยกับดื่มเหล้า ซึ่งในตอนนี้ ไม่มีคู่ต่อสู้คนใดที่เหมาะจะให้นางไปท้าตีท้าต่อยด้วย ฉะนั้น นางจึงเหลือทางเลือกเพียงหนึ่งเดียวนั้นคือการมานั่งดื่มเหล้าเช่นนี้

“หึ เจ้าเก็บคำเตือนนี้ไปใช้กับพวกมนุษย์แสนเปราะบางเช่นพวกเจ้าเถอะ สำหรับข้าแล้ว เหล้าแค่นี้น่ะช่วยให้ข้าหายปวด แล้วก็หลับสบายขึ้นเท่านั้นแหละ”

ข้าที่แหวกม่านเดินเข้าไปก็พบกับ สาวงามผมดำคนนึงกำลังโอบกอดถังเหล้าไม้ พร้อมดื่มเหล้าจากตัวถังตรงๆโดยปราศจากถ้วยแก้วใดๆ แถมเหล้าที่นางดื่มนั้นยังเป็นเหล้าดีกรีสูงแบบสุดๆที่หมักบ่มไว้ให้เหล่าคนแคระดื่มอีกต่างหาก

เรือนผมดำยาวของนางนั้นเงางามดุจผ้าไหม คิ้วที่โก่งงอดุจจันทร์เสี้ยวของนางนั้นยิ่งเสริมสร้างความเป็นกุลสตรีให้กับนางยิ่งขึ้นไป นางนั้นมีรูปร่างที่สูงโปร่ง แล้วด้วยเสื้อหนังรัดรูปของนางยิ่งช่วยขับเน้นทรวดทรงอันสมบูรณ์บนเรือนร่างนาง เรือนแขนอันเรียวงามของนางนั้นขาวดุจหิมะ รูปโฉมของนางนั้นดูแล้วชวนให้รู้สึกสดชื่นยิ่งนัก เล็บมือสีเขียวทั้งสิบของนางนั้นมีสีเลือดแซมอยู่นิดๆ ถ้ามองเพียงแต่รูปร่างภายนอกล่ะก็ เสี่ยวหงส์นั้นให้ความรู้สึกราวกับท่านหญิงจากตระกูลนักปราชญ์

ที่ตาซ้ายของนางนั้นได้มีผ้าปิดตาผูกเอาไว้ และรอบตัวนางเองก็มีผ้าพันแผลพันอยู่พอล้อมรอบ ทั่วทั้งร่างกายนางตอนนี้นั้นอบอวลไปด้วยกลิ่นยาสมุนไพร ซึ่งนี่ยิ่งทำให้ตัวนางแลดูอ่อนช้อยยิ่งขึ้นไปอีก

แต่ในยามใด ที่นางลืมตาขึ้น ก็ไม่มีผู้ใดที่จะหาญหกล้ามองนางเป็นเพียงอิสตรีผู้อ่อนแออีก ความดิบเถื่อนดุจสัตว์ป่าที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของนางนั้น ไม่สิ ควรจะบอกว่านี่น่ะเป็นสายตาของนักล่าผู้อยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารที่คอยประเมินค่าเหยื่อที่อยู่ตรงหน้า สายตาที่ทำให้ผู้พบเห็นต้องสั่นกลัวไปกับความหวาดหวั่นที่ชีวิตของตนต้องถูกแขวนอยู่บนเส้นด้าย

อะไรกัน นี่เจ้าผิดหวังงั้นเหรอ? นี่เจ้าคิดว่าผู้หญิงเผ่ามังกรแดงทุกตนจะต้องมีร่างมนุษย์เป็นเด็กสาวโลลิในชุดสีแดงรึไง? จะอ่อนหัดเกินไปแล้ว นี่เจ้าคิดว่ามังกรตัวมหึมาเยี่ยงนี้จะแปลงร่างออกมาเป็นเด็กสาวตัวเล็กๆอย่างงั้นเหรอ? คนที่จะคิดอะไรเช่นนี้น่ะก็มีแต่พวกที่อ่านนิยายเจ้าหญิงมากเกินไปเท่านั้นแหละ

เพราะอะไรน่ะเหรอ? นี่เจ้าคิดว่าในกลางป่ากลางเขาเช่นนี้ จู่ๆจะมีเด็กสาวตัวเล็กๆ ปรากฏตัวออกมาได้งั้นเหรอ แล้วทั้งที่พื้นดินเบื้องล่างมีแต่ฝุ่นดิน แต่เสื้อผ้าของเด็กสาวกลับไร้ซึ่งริ้วรอยใดๆเลยแม้แต่นิดเดียว? แม้แต่คนบ้ายังบอกได้เลยว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่แน่

แค่ก ที่จริงเมื่อสมัยนั้น มังกรสาวตนนี้ก็อ่านนิยายเจ้าหญิงมากเกินไปจริงๆนั้นแหละ ตัวนางจึงคิดที่จะปกปิดตัวตนที่แท้จริงแล้วมาเข้าร่วมกับปาร์ตี้นักผจญภัยของพวกเรา เพื่อเริ่มต้นเรื่องราวการผจญภัยอันยิ่งใหญ่ของตัวนาง แต่ช่างน่าเศร้า ที่พวกเรานั้นมองการปลอมตัวของนางออกตั้งแต่เริ่มเลย

เมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ พวกเราที่ยินดีที่จะได้ยอดฝีมือผู้แข็งแกร่งอีกทั้งยังเป็นเครื่องรางนำโชคในตัวมาเข้าร่วมปาร์ตี้เพิ่มอีกคน ก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่พวกเราจะต้องเปิดเผยตัวตนจริงๆ ของเสี่ยวหงส์ใช่ไหมล่ะ? ด้วยประการฉะนี้ พวกเราทุกคนจึงพยายามอยากสุดสามารถในการแกล้งโง่ทำเป็นไม่รู้เรื่องตัวตนที่แท้จริงของเสี่ยวหงส์ พร้อมกับอ้าแขนต้อนรับ ‘นักรบคลั่งระดับชั้นตำนานผู้สามารถใช้เวทสายอัคคีได้นิดหน่อย’ ผู้นี้เข้าสู่ปาร์ตี้อย่างอบอุ่น

ซึ่งในท้ายที่สุด เสี่ยวหงส์ก็พลาดเผลอแสดงร่างที่แท้จริงออกมา แต่เมื่อนางได้เห็นถึงใบหน้าที่ไม่ตื่นตกใจเลยสักนิดของพวกเรา ราวกับว่าพวกเรานั้นรู้ความจริงอยู่ก่อนแล้ว นางก็บังคับขู่เข็ญให้พวกเราบอกมาว่าที่นางปลอมตัวนั้นมันมีจุดบกพร่องตรงไหน นางถึงโดนจับได้เช่นนี้ แต่แล้ว คำตอบที่นางได้รับกลับไปก็กลายเป็นเรื่องน่าอับอายที่สุดในชีวิตนาง รวมถึงเป็นอดีตอันดำมืดที่สุดด้วย

“พลังนั้นต้องอาศัยเวลาในการสั่งสมขึ้นมา การที่จะมียอดฝีมือระดับชั้นตำนานที่ภายนอกดูเป็นเด็กสาวอายุเพียงแค่ 10 ขวบปีเท่านั้น มันก็มีเพียงไม่กี่วิธีหรอก และหลังจากที่ตัดความเป็นไปได้หลายๆอย่างไป คำตอบที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุดก็คือ เด็กคนนี้ต้องเป็นเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งสักเผ่าพันธุ์แปลงกายมา ซึ่งเผ่าพันธุ์ที่น่าจะเข้าเค้าที่สุดก็คือ เผ่ามังกร” นี่คือคำอธิบายที่มากาเร็ตผู้มีสีหน้าเย็นชาใช้เมื่อตอนนั้น เมื่อสมัยนั้นนางยังเป็นเพียงจอมเวทย์เผ่ามนุษย์ธรรมดาๆคนนึง ผู้ซึ่งปากร้ายแต่ใจดี นางนั้นเป็นห่วงศักดิ์ศรีของเสี่ยวหงส์ นางจึงเลือกใช้คำอธิบายเช่นนี้ไป

“ส่วนข้าเดาจากเสื้อผ้าแล้วก็อาวุธของเจ้าน่ะ ลองดูที่กระโปรงไหมราชินีแมงมุมนักล่าจอมเวทย์ที่เจ้าสวมมาสิ ถ้าเจ้าเอากระโปรงนี้ไปขายทอดตลาดล่ะก็ เจ้าจะมีเงินพอซื้อเมืองเล็กๆได้เมืองนึงเลยล่ะ” เมื่อคิดถึงภาพลักษณ์สุภาพบุรุษผู้อ่อนโยนที่อัศวินศักดิ์สิทธิ์พึ่งมีแล้ว ข้าก็คิดว่า ข้าก็ควรจะคำนึงถึงจิตใจที่รักในศักดิ์ศรีของเสี่ยวหงส์เสียบ้าง ด้วยเหตุนี้เอง ข้าจึงต้องพยายามอย่างสุดความสามารถในการรีดเร้นมันสมองที่มีเพื่อหาจุดผิดพลาดในการปลอมตัวของนาง พร้อมกล่าวออกไปด้วยรอยยิ้ม

“เสี่ยวหงส์ เจ้าตูดหมึก เจ้ายังจำครั้งแรกที่พวกเราเจอกันได้ไหม ตอนนั้น เจ้าเล่นซัดเสบียงหนึ่งสัปดาห์ของพวกเราจนหมดเกลี้ยงเลย จนพวกเราต้องออกไปล่าสัตว์มาประทังชีวิต นี่เจ้าคิดว่ามนุษย์ธรรมดาจะกินอาหารเข้าไปได้มากขนาดนั้นเลยรึไง? เพราะเจ้านั้นแหละทำให้ข้าต้องนอนหิวไส้กิ่วอยู่ทั้งคืน” ก็นะ ดูเหมือนโจรสาว ลิซ่า แกรนท์ จะยังคงแค้นเรื่องค่ำคืนอันหิวโหยไม่หาย

“ฮาฮาฮา พวกเจ้านี่โง่จังเลย ตั้งนานกว่าจะรู้ ข้าน่ะรู้ตั้งแต่แว๊บแรกที่เห็นแล้ว ไม่ใช่ว่าเสี่ยวหงส์ไปอ่านนิยายเจ้าหญิงชื่อดังเรื่อง «เจ้าหญิงมังกรจากดวงดาว» หรอกเหรอ? ที่เป็นนิยายเกี่ยวกับองค์หญิงมังกรที่แปลงกายมาเป็นสาวน้อยแล้วออกผจญภัยในโลกมนุษย์ แล้วตอนหลังก็ได้พบรักกับมนุษย์น่ะ ให้คิดว่าพวกเจ้าทุกคนดันมองข้ามข้อผิดพลาดอันใหญ่หลวงเช่นนี้ไปได้ แล้วยังจะมีหน้ามาว่าข้าว่าโง่อีก ข้าว่าพวกเจ้านั้นแหละที่โง่... อ้ากกกกก!!”

เอ่อ คือว่า... อืม ก็สมกับที่เป็นเจ้าอดัมนินะ หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น พวกเราก็ต้องใช้เวลาอีกสักพักใหญ่ๆเลย กว่าจะหาตัวเจ้าผู้กล้าตูดหมึกที่โดนหมัดของเสี่ยวหงส์ที่ทั้งอายทั้งโมโหซัดลอยไปไกลหลายลี้เจอ

อืม พอเรื่องดำเนินมาถึงจุดนี้ องค์หญิงมังกรโลลิแสนน่ารักก็ได้จากพวกเราไปชั่วนิรันดร์ แล้วแทนที่ด้วยพี่สาวมังกรสุดสวยแทน แต่ข้าว่าเสี่ยวหงส์นั้นค่อนข้างจะถูกใจร่างพี่สาวนี่อยู่พอสมควรเลยล่ะ เพราะถึงแม้เผ่ามังกรจะสามารถเปลี่ยนร่างเปลี่ยนอายุได้ตามใจชอบ (เวทจำแลงกายของเผ่ามังกรนั้นจะช่วยให้เหล่ามังกรสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์หรือเอลฟ์ได้ โดยรูปร่างภายนอกจะไม่แตกต่างกัน) นางก็มักจะเลือกใช้รูปร่างเช่นนี้อยู่เสมอ

ส่วนเรื่องชุดสีแดงนั้น อันที่จริง โดยปกติแล้ว ในยามที่เหล่ามังกรแปลงกายมา เหล่ามังกรก็มักจะเลือกใส่เสื้อผ้าที่มีสีเดียวกับเกล็ดของตัวเอง ซึ่งเสี่ยวหงส์เองก็ไม่เว้น นางนั้นชอบชุดสีแดง แต่ปัญหาน่ะมันมีอยู่ว่า...

อดัม เจ้าหมอนี่เองก็ชอบใส่ชุดสีแดงเหมือนกัน และที่สำคัญกว่านั้น เจ้าหมอนี่ดันชอบเที่ยวไปก่อเรื่องจนมีแต่คนมองว่าไอ้นี่มันบ้า แล้วถ้าเกิดเสี่ยวหงส์ดันไปใส่ชุดสีเดียวกับเจ้าอดัม นางจะไม่ถูกเหมารวมเป็นเพื่อนร่วมก๊วนเดียวกับไอ้บ้านี่หรอกเหรอ? บนโลกนี้คงไม่มีใครหรอกที่อยากโดนจับไปอยู่กลุ่มเดียวกับพวกบ้าน่ะ... สมัยก่อนเสี่ยวหงส์พูดออกมาอย่างงี้จริงๆนะ ไม่ใช่ว่าข้าโมเมขึ้นมาเพื่อหลอกด่าเจ้าอดัมหรอกนะ ข้าพูดจริงๆนะ

“นี่เจ้ามัวแต่คิดอะไรอยู่กัน รีบเข้ามา แล้วช่วยย่างเนื้อให้ข้ากินที ข้ายังจำได้นะว่าเจ้าน่ะย่างเนื้อได้อร่อยที่สุดในปาร์ตี้พวกเรา ลองมาแสดงฝีมือให้ข้าชมหน่อยซิ ว่าฝีมือเจ้าจะตกลงจากเมื่อสมัยก่อนรึเปล่า”

“เจ้ายังจำได้อีกงั้นเหรอ ห่ะ”

ใช่แล้ว ผู้ที่รู้ความจริงว่าข้าคือ อัศวินศักดิ์สิทธิ์โรโล่ หัวหน้าปาร์ตี้ของพวกเราเมื่อสมัยก่อนนั้น ถ้าแค่ผิวเผินล่ะก็ มีเพียงเสี่ยวหงส์ มังกรแดงโบราณ ไอน์ เมซุส เท่านั้นที่รู้

วิธีและมุมมองที่เหล่ามังกรซึ่งเป็นเผ่าทองคำใช้มองสิ่งต่างๆนั้น แตกต่างไปจากพวกเราเหล่ามนุษย์ เมื่อมาอยู่ต่อหน้าดวงตาของมังกรที่สามารถมองเห็นดวงวิญญาณได้ ตัวข้าก็ไม่มีโอกาสที่จะปิดเรื่องนี้เป็นความลับจากนางมาตั้งแต่ต้นแล้ว

ถ้าจะให้พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคนล่ะก็ แทนที่จะบอกว่าพวกเรานั้นเป็นสหายกัน ก็ควรจะบอกว่าพวกเรานั้นเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกันจะเหมาะกว่า... บางทีเรื่องบางเรื่องน่ะ ทำเป็นไม่รู้ซะก็ดีกว่าที่จะเอ่ยออกมา เพราะในยามใดที่เอ่ยออกไปก็รังแต่จะสร้างความกระอักกระอ่วนขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราเท่านั้น

ณ ตอนนี้ ตัวข้าที่กำลังย่างเนื้ออยู่ ก็ค่อยๆโรยเครื่องเทศสูตรลับของข้า(ซึ่งมีวัตถุดิบหลักๆเป็นผงยี่หร้าและพริกป่น นอกจากนี้ยังมีวัตถุดิบอีกหลากชนิดที่ต้องอาศัยเวทมนต์รมควัน)ลงไป แต่พอถึงยามที่ข้าจะทาน้ำมันลงที่เนื้อ เสี่ยวหงส์ก็แย่งเนื้อที่ข้าถือไป ก่อนจะทำการเขมือบเข้าไปคำโต ซึ่งชั่วขณะต่อมา นางก็แสดงสีหน้าว่าพึงพอใจออกมา

“ครั้งนี้ ข้าทำให้เจ้าต้องเจ็บตัวซะขนาดนี้ ข้าขอสัญญาว่าข้าจะต้องช่วยเจ้าเอาคืนพวกมันให้ได้”

ครั้งนี้ เสี่ยวหงส์ต้องเจ็บตัวมากจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุผลข้อนั้นล่ะก็ อย่าว่าแต่จะพ่ายแพ้เลย แม้แต่บาดเจ็บ นางยังไม่ต้องบาดเจ็บเสียด้วยซ้ำไป

เช่นนี้นางก็ทำได้แค่ยอมรับความพ่ายแพ้ครั้งนี้งั้นเหรอ? นี่เจ้ารู้รึเปล่าว่าส่วนใดของมังกรที่ทำให้มังกรเป็นเผ่าพันธุ์ที่ยากจะต่อกรน่ะ? ใช่ ร่างกายที่แข็งแกร่งกับความสามารถทางเวทมนต์อันสูงล่ำรึเปล่านะ? ป่าวเลย สิ่งที่ทำให้มังกรเป็นเผ่าพันธุ์ที่ยากจะต่อกรด้วยก็คือ ปีก! เหล่ามังกรนั้นบินได้!

เผ่ามังกรนั้นเป็นเผ่าพันธุ์จ้าวแห่งเวหา ความสามารถในการบินของเหล่ามังกรนั้นถือว่าไร้ที่ติ พอมังกรเกิดมาก็สามารถใช้เวทมนต์ช่วยให้ตัวเองลอยตัวได้แล้ว แล้วพอโตเต็มที่เหล่ามังกรก็สามารถบินบนท้องฟ้าได้ตามใจต้องการ ซึ่งสำหรับมังกรโบราณเยี่ยง เสี่ยวหงส์ การบินบนท้องฟ้าก็มิได้ต่างอะไรกับการหายใจเลย ถ้าจะว่ากันจริงๆล่ะก็ เสี่ยวหงส์นั้นสามารถแหกกฎฟิสิกส์ บินบนท้องฟ้าได้โดยมิต้องใช้ปีกด้วยซ้ำ

ซึ่งกลยุทธ์ที่เหล่ามังกรชอบใช้จัดการกับเหล่าศัตรูก็คือ การพุ่งตัวลงมาจากท้องฟ้าเบื้องบนอย่างฉับพลัน และก่อนที่เหล่าศัตรูจะทันตั้งตัว เหล่ามังกรทั้งหลายก็จะจัดการพ่นลมหายใจมังกรและใช้เวทมนต์ที่มีบดขยี้เหล่าศัตรูให้สิ้น จากนั้นก่อนที่เหล่าศัตรูผู้เหลือรอดจะหันกลับมาตอบโต้ได้ทัน เหล่ามังกรก็จะบินไต่ระดับขึ้นฟ้าออกจากสนามรบไป

ถึงแม้กลยุทธ์นี้จะแลดูไร้ยางอายไปนิด แต่กลยุทธ์นี้ก็เป็นกลยุทธ์ที่ยากจะต่อกรด้วยจริงๆ ถ้าเจ้าอยากจะสังหารมังกรล่ะก็ อันดับแรกเลย กรุณาไปคิดหาทางทำให้มังกรลงมาอยู่ที่พื้นดินเบื้องล่างให้ได้เสียก่อน ทั้งนี้ แม้แต่จักรวรรดิที่เรืองอำนาจเองยังไม่อยากจะไปมีเรื่องกับเผ่ามังกรเลย เพราะยังไงซะ ก็คงไม่มีใครหรอกที่อยากเห็นบ้านเมืองของตัวเองโดนลูกไฟจากท้องฟ้าถล่มทุก 2 วัน แล้วยังจับมือใครดมไม่ได้อีกต่างหาก

ความคล่องตัวเมื่ออยู่บนท้องนภาของเผ่ามังกรได้ทำให้เหล่ามังกรทั้งหลายกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยากจะต่อกรด้วย ทั้งนี้ 90% ของการล่ามังกรที่ทำได้สำเร็จนั้น ก็เพราะมังกรตนนั้นถูกขังอยู่ในรังตนเองหรือไม่ก็ติดกับดักอะไรสักอย่างจนไม่สามารถบินได้ เพราะสำหรับมังกรที่อยู่ในที่โล่งแจ้งแล้ว ถึงแม้พวกมันจะสู้เจ้าไม่ได้ พวกมันก็เลือกที่จะหนี แล้วค่อยกลับมาล้างแค้นเจ้าทีหลังอย่างแน่นอน ฉะนั้นเจ้าก็เตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้ดีละกัน

ส่วนในศึกครั้งนี้ที่เสี่ยวหงส์ต้องบาดเจ็บหนักถึงเพียงนี้ ก็เพราะข้างหลังนางนั้นมีอดัมและมากาเร็ตอยู่ ทำให้นางขยับตัวไปไหนไม่ได้ ฉะนั้น สิ่งที่ทำได้ก็มีแต่ยืนอยู่นิ่งๆ ให้คนรุมกระทืบนางเยี่ยงกระสอบทราย

การที่ต้องถูกผู้อื่นกระทืบเยี่ยงกระสอบทรายเช่นนี้ ย่อมเป็นการเหยียดหยามที่ทำให้เสี่ยวหงส์ผู้ทะนงในศักดิ์ศรีเดือดดาลและไม่พอใจอย่างสุดซึ้ง

เมื่อครั้งที่นางได้ยินว่าข้าจะช่วยนางเอาคืนพวกมัน เสี่ยวหงส์ก็อึ้งไปพักนึง ก่อนจะหยิบถังเหล้าไม้ที่อยู่ข้างๆมากระดกดื่มเข้าไปคำใหญ่

“แค่ก แค่ก!!”

แต่เนื่องด้วยนางที่รีบดื่มเกินไป จนทำให้มังกรบ้องตื้นตนนี้สำลักในที่สุด ข้าที่เห็นเช่นนั้น ก็รีบเข้าไปช่วยลูบหลังนาง

“...ไม่ล่ะ ขอบใจ ข้าจะไปเอาคืนพวกมันเอง ข้าจะจัดการมอลลี่ด้วยตัวข้าเอง เพราะงั้นเจ้าไม่ต้องมายุ่ง”

ข้าที่รู้ถึงนิสัยไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ของเสี่ยวหงส์ดีอยู่แล้ว ก็ได้แต่ส่ายหัวให้กับคำพูดของนาง เอาเถอะไงซะ ข้าก็พอจะเดาได้อยู่แล้วนิว่านางจะตอบกลับมาเช่นนี้ ทั้งนี้ พลังของเสี่ยวหงส์นั้นมากกว่าพลังของจักรพรรดินีมังกร มอลลี่ อยู่เล็กน้อย ไม่งั้น ยัยมังกรเฒ่านั้นคงบินมาจัดการเสี่ยวหงส์ไปนานแล้ว เพราะจะอย่างไรซะ เสี่ยวหงส์ก็เป็นมังกรเพียงไม่กี่ตนที่สามารถสั่นคลอนบัลลังก์จักรพรรดินีมังกรของนางได้

“เอาน่า ไปเอาคืนพวกมันด้วยกันเถอะ ครั้งนี้ ข้าเองก็โดนพวกมันเล่นเอาไว้ซะแสบเหมือนกัน”

แล้วก็เป็นดั่งที่ข้าคาด เมื่อครั้งที่ข้าพูดถึงเรื่องทริปการเดินทางไปที่พันธมิตรโลกใต้พิภพรวมทั้งแผนการก่อความวุ่นวายที่นั้นด้วย เสี่ยวหงส์ที่กลัวแต่ว่าโลกใบนี้จะยังวุ่นวายไม่พอ และกำลังหาที่ระบายความขุ่นเคืองที่มี ก็ตบปากรับคำด้วยความยินดี

หลังจากที่ข้าพูดเสร็จ เสี่ยวหงส์ก็หันมามองข้าอย่างมีเลศนัย

“ลิซ่า นางยังสบายดีไหม?”

“...นี่เจ้าพูดเรื่องอะไรกัน? อ่อ อิลิซ่าน่ะเหรอ? ปากคอนางยังเราะร้ายไม่มีเปลี่ยน ช่างน่าเศร้าเหลือเกินที่นางเลือกไปเอาแบบอย่างมาจากมากาเร็ต เจ้าดูซินับวัน นางจะยิ่งรับมือยากขึ้นทุกทีแล้วเนี่ย เมื่อ 2 วันก่อน ข้าพึ่งจะโดนนางหลอกจนต้องไปนอนเล่นในห้องกักกันอยู่เลย ข้าล่ะพลาดจริงๆ ที่เก็บนางมาเลี้ยง เมื่อสมัยนั้น”

“เลิกทำเป็นไขสือได้แล้ว เจ้าก็รู้นิว่าดวงตามังกรสามารถมองเห็นดวงวิญญาณได้ อิลิซ่าก็คือลิซ่าใช่ไหมล่ะ? สมาชิกคนสุดท้ายของปาร์ตี้พวกเรา โจรสาวผู้มีความฝันว่าจะเป็นเศรษฐี ลิซ่า แกรนท์ ผู้หญิงที่เจ้าโง่อดัมหลงรักมาครึ่งชีวิต เหเห ที่จริงชื่อ อิลิซ่า ก็มาจากคำว่า ลิซ่า แล้วเติมตัว อิ(E) ไว้ด้านหน้าเองไม่ใช่เหรอ การเล่นคำง่ายๆ เช่นนี้ ก็คงมีแต่เจ้าโง่อดัมคนเดียวเท่านั้นแหละที่มองไม่ออก”

“...นี่เจ้ามองออกตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

“ก็ตั้งแต่ตอนที่เจ้าพาเด็กผู้หญิงครึ่งปิศาจกลับมาด้วยนั้นแหละ ก็ตั้งแต่ต้นละนะ หึ ตัวเจ้าเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าข้านักหรอก การปลอมตัวของเจ้าเองก็มีช่องโหว่อยู่พอสมควรเลยล่ะ แต่เจ้าก็สุดยอดจริงๆนะ ข้าคิดว่าตัวเองจำได้แม่นนะว่าลิซ่าได้ตายไปแล้ว แม้แต่วิญญาณของนางก็ได้เดินทางกลับไปที่ต้นกำเนิดแล้วเช่นกัน... เดี่ยวก่อนสิ ครึ่งปิศาจ อย่าบอกนะว่าเจ้าไปที่แม่น้ำของคนตายแล้วพานางกลับมาน่ะ?”

“ก็อย่างที่เจ้าว่า มนุษย์ที่ชื่อว่า ลิซ่า นั้นได้ตายจากไปแล้ว อิลิซ่าในตอนนี้นั้นเป็นดวงวิญญาณใหม่ ชีวิตใหม่ เจ้าจะบอกว่าอิลิซ่าก็คือลิซ่า แต่ก็ไม่ใช่ลิซ่าในเวลาเดียวกันก็ได้”

เมื่อได้เห็นถึงใบหน้าอันสนอกสนใจของเสี่ยวหงส์ สีหน้าข้าก็ขมขื่นขึ้น ดูท่านี่จะถึงเวลาที่ความจริงในอดีตจะได้รับการไขกระจ่างแล้วสินะ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด