ตอนที่แล้วเซียนเหนือวิถี บาทที่ 111 (ฟรี)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเซียนเหนือวิถี บาทที่ 113 (ฟรี)

เซียนเหนือวิถี บาทที่ 112 (ฟรี)


บาทที่ 112

เพราะว่าหลังจากที่เขามาก็ไม่มีใครที่อยู่ในเขตแก่นปราณมาอีก ดังนั้นเขาจึงเป็นคนสุดท้าย

หงเซียวไม่ได้แสดงอะไรมาก เขาแสดงฝ่ามือพิราบขาวและการควบคุมพลังให้กับผู้ตัดสินได้เห็น เขาเชื่อว่าคนที่มีระดับสูงเหล่านี้จะต้องเข้าใจในความลึกล้ำของมันอย่างแน่นอน

หงเซียวในชุดสีขาวรวบพัดจีบสีขาวของเขาแล้วออกไปยืนกลางลาน เขาคลายมือปล่อยพัดจีบนั้น มันลอยออกจากมือของเขาแล้วคลี่ออกโบยบินไปรอบร่างเขา จากนั้นหงเซียวก็โบกมือออกร่ายรำแสดงท่าเริ่มต้นของฝ่ามือพิราบขาว

เพียงเขาสะบัดมือออก ร่างของเขาก็เหมือนไร้น้ำหนักลอยคว้างขึ้นไปบนท้องฟ้าหมุนวนไปพร้อมกับพัด หงเซียวแสดงฝ่ามือพิราบขาวออกกลางอากาศ

ร่างของเขาร่อนโฉบไปดูอิสระและสบายเหมือนกับพิราบขาวที่เป็นสัญลักษณ์ของอิสระภาพ เขาโฉบผ่านก้อนศิลาที่จัดตั้งไว้ให้ลองกำลัง โบกมือครั้งหนึ่ง หินก้อนที่เล็กที่สุดก็ลอยขึ้นมาหมุนวนรอบร่างเขาเช่นเดียวกับพัด

เช้ง เขาโฉบไปยังแคร่กระบี่ กระบี่หนึ่งในนั้นก็หลุดจากฝักส่งเสียงกระหึ่มออกมาแล้วติดตามเขาไปเช่นเดียวกับพัดและก้อนศิลา

หงเซียวที่อยู่ตรงกลางวัตถุทั้งสามพลันสะกิดเท้าเข้ากับหินก้อนนั้น สะบัดมือมือโฉบร่างไปยังพัดแล้วคว้าจับไว้ ถลาลงลดตัวยืนบนพื้นกลางเวทีที่เขาเริ่มต้น ก่อนจะกวาดพัดหนึ่งครั้ง ส่งก้อนศิลาและกระบี่กลับไปเก็บยังที่เดิม รวบพัดประสานมือก่อนจะเดินกลับไปยังกลุ่ม

เมื่อเขาแสดงจบแล้ว กรรมการก็ทำการหันหน้าไปทางผู้ตัดสินทั้งเจ็ด ประสานมือคารวะ แล้วประกาศว่า “บัดนี้ผู้เข้าร่วมการคัดเลือกเขตแก่นปราณทั้งหมดก็ได้แสดงฝีมือแล้ว ขอให้ท่านผู้ตัดสินทั้งเจ็ดได้ทำการคัดเลือกศิษย์”

หากพูดถึงลำดับความแกร่งกล้าแล้ว สำนักกระบี่เมฆาวายุเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนวิมานวาสนานั้นขึ้นชื่อในด้านการทำนายการวางแผน อารามจิตพิสุทธิ์เก่งกาจด้านการรับมือกับภูติปีศาจ พรรคมังกรท่องมีวิชาทางน้ำล้ำเลิศ ตำหนักสราญรมย์แม้จะปล่อยตัวปล่อยใจแต่ก็มีวิชาการต่อสู้ที่ไม่ด้อยกว่าใคร ยอดเขาเทียมเซียนนั้นเป็นแหล่งผลิตที่ดีที่สุดมีชื่อเสียงที่สุดในยุทธภพ ค่ายคุณธรรมนั้นมักจะไล่ล่าพวกพรรคมารอย่างจริงจัง

ในการคัดเลือกศิษย์นี้ พวกเขาจะทำการวนเลือกศิษย์ทีละคนจนกว่าจะพอใจ มีเพียงวิมานวาสนาเท่านั้นที่เป็นข้อยกเว้นได้เป็นอันดับแรกในการคัดเลือกศิษย์ เพราะว่าวิมานวาสนานั้นเน้นหนักกับคำว่าวาสนา และเพราะคำว่าวาสนาทำให้นานมากที่วิมานวาสนาจะมีศิษย์สักคน

ผู้ตัดสินแห่งวิมานวาสนายกมือขวาขึ้นทำท่าปางมือพร้อมกับร่ายคาถา ติ้วไม้อันหนึ่งพลันออกมาจากแหวนมิติแล้วหมุนวนอยู่กลางอากาศ

ติ้วนั้นเป็นแผ่นแบนยาว ด้านหนึ่งเป็นอักขระสีดำ ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้นเป็นอักขระสีแดง ปลายด้านหนึ่งตัดแบน ขณะที่อีกปลายตัดแหลม

การคัดเลือกของวิมานวาสนานั้นไม่ได้ครอบคลุมเพียงแค่คนในเขตแก่นปราณ แต่ครอบคลุมไปถึงคนในเขตชีพจรปราณ และผู้ที่มาชมดูภายนอกด้วย

เมื่อติ้วนั้นหมุนได้ชั่วขณะพร้อมกับคาถาที่เขากล่าว ปลายแหลมของติ้วนั้นก็ชี้ไปที่กลุ่มคนเขตแก่นปราณเหมือนกับเข็มทิศ สร้างความตื่นเต้นให้กับทุกคนในเขตแก่นปราณเป็นที่สุด

แต่ถึงแม้ว่าติ้วจะชี้ไปยังกลุ่มคนในเขตแก่นปราณแล้ว แต่ว่าระยะทางที่ไกลเช่นนั้นทุกคนต่างก็ไม่มั่นใจว่าปลายของติ้วนั้นชี้ไปที่ตัวเองหรือไม่

แม้ว่าติ้วจะชี้แน่วแน่ไปยังทิศทางหนึ่ง แต่ว่าติ้วเองนั้นก็ยังหมุนรอบตัวเองไปไม่หยุด

ทันใดนั้นติ้วเองก็พลิกเอาด้านที่มีตัวอักษรสีดำขึ้นเมื่อเขาสวดคาถาไปถึงคำคำหนึ่ง ทำให้ผู้ตัดสินตาเป็นประกาย แต่เมื่อเขาสวดไปอีกคำหนึ่ง ติ้วก็พลันพลิกเอาด้านที่มีตัวอักษรสีแดงขึ้น ผู้ตัดสินพลันมีประกายตาโหดเหี้ยมขึ้น ต่อเมื่อเขาสวดคาถาไปอีกคำหนึ่งติ้วนั้นก็กลับเป็นด้านสีดำและส่ายไหว จนผู้ตัดสินนั้นมีสีหน้าจนใจและหยุดการร่ายคาถา ถอนใจกล่าวพึมพัมว่า “ท่านเซียนน้อย พวกเราไร้วาสนาต่อกัน” ก่อนที่จะเหลือบตาไปยังกลุ่มคนเขตแก่นปราณ

มีเพียงหงเซียวในกลุ่มคนเหล่านั้นที่เห็นสายตาที่เหลือบมองมานั้น แต่ไม่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย

ผู้ตัดสินนั้นร่ายคาถาต่อไป ติ้วที่ส่ายไหวนั้นก็พลันชี้แน่วไปยังกลุ่มคนเขตแก่นปราณอีกครั้ง และเมื่อผู้ตัดสินร่ายคาถา ติ้วที่หมุนรอบตัวเองอยู่นั้นก็พลิกด้านสีดำขึ้นและหยุดอยู่เพียงแค่นั้น และคาถาทุกคำที่ผู้ตัดสินนั้นกล่าว ติ้วนั้นก็ยิ่งนิ่ง ผู้ตัดสินนั้นสายตาส่งประกายวิบวับ

“ท่านเซียนน้อย พวกเราเกี่ยวพันกันอย่างนี้นี่เอง” เขากล่าวด้วยความยินดี ก่อนจะหัวเราะร่า “ฮ่าฮ่าฮ่า”

ติ้วที่ลอยอยู่กลางอากาศนั้นพลันพุ่งทะยานออกไปจากที่ตั้งและลอยเหนือกลุ่มคนเขตแก่นปราณก่อนจะไปอยู่เหนือหัวของเซียหลาง และชี้ดิ่งลงไปยังกลางกระหม่อมของเขา

“ออกมา ศิษย์ข้า” ผู้ตัดสินนั้นกล่าว ขณะที่ทุกคนในกลุ่มเขตแก่นปราณกำลังอ้าปากหวอมองดูติ้วนั้นอย่างประหลาดใจ รวมไปถึงหงเซียวด้วย

หงเซียวประหลาดใจตรงที่ว่า ทำไมวิชาปราณจึงมีวิชาที่ลึกลับสามารถเลียนแบบวิชาเซียนได้มากถึงเพียงนี้ วิชาปราณจะมีผลกับกายภาพมากกว่าจิตวิญญาณไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงสามารถใช้ทำนายและเสี่ยงทายได้ด้วย แต่เมื่อเขานึกไปถึงวิชาปราณจิตมายา และปราณปลุกผีดิบที่เขายังไม่เคยใช้ เขาก็พอจะเห็นเค้าลางถึงความเป็นไปได้

เซียหลานก้าวออกไปจากกลุ่มคน ทำท่าจะคุกเข่าโขกศีรษะคำนับอาจารย์ตามแบบ แต่ผู้ตัดสินนั้นหัวร่อฮาฮา กล่าวว่า “ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงเวลาคัดเลือก เจ้าค่อยเคารพอาจารย์หลังจากนี้ ตอนนี้มาอยู่ที่ด้านหลังข้าก่อน”

เพราะว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นสำนักกระบี่เมฆาวายุจึงเป็นอันดับถัดไปที่จะเลือกศิษย์ ผู้ตัดสินของสำนักลุกขึ้นยืนและกล่าวว่า “จูหยาง เจ้ายินดีอยู่สำนักกระบี่เมฆาวายุหรือไม่”

ความจริงเขาก็ถามไปตามมารยาท ด้วยรู้อยู่แล้วว่า จูหยางจะต้องเลือกสำนักกระบี่เมฆาวายุ ดูจากการที่เขาใช้กระบี่ของตนเองร่วมกับกระบี่ในแคร่ของสำนักกระบี่

“ข้ายินดี” จูหยางตอบด้วยความยินดี เขาก้าวเท้าออกจากกลุ่มไปยืนอยู่ด้านหลังของผู้ตัดสินจากสำนักกระบี่เมฆาวายุ

อารามจิตพิสุทธิ์เลือกศิษย์หญิงคนเดียวที่มีในกลุ่ม พรรคมังกรท่องเลือกชายผู้ที่มีหมัดพลังคลื่น ตำหนักสราญรมย์ลังเลระหว่างชายผู้ดีดพิณกับหงเซียว แต่สุดท้ายก็เลือกชายผู้ดีดพิณก่อนเป็นอันดับแรกเมื่ออีกฝ่ายใช้เครื่องมือของสำนักเป็นการให้เกียรติ

“ลู่หลาน ยอดเขาเทียมเซียนเลือกเจ้า เจ้าเห็นเป็นประการใด” ผู้ตัดสินของยอดเขาเทียมเซียนชื่นชมสุราของลู่หลานเป็นอย่างยิ่ง

“ข้ารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง” ลู่หลานกล่าวตอบ

“หงเซียว พรรคคุณธรรมเห็นบุคลิกอันสง่างามของเจ้าเหมาะสมที่จะเป็นหลักเป็นตัวอย่างให้กับยุทธภพ เจ้ายินดีที่จะอยู่กับพรรคคุณธรรมหรือไม่” ผู้ตัดสินจากพรรคคุณธรรม ที่ดูเป็นเหมือนผู้คงแก่เรียนตัดสินใจเลือกหงเซียว เพราะว่าเขามีบุคลิกที่งามสง่า หล่อเหลา หากว่าเขาได้รับการสั่งสอนให้ดี น่าจะเป็นผู้ที่นำยุทธภพไปในทิศทางที่ต้องการได้

ผู้ตัดสินมีความคิดที่จะสร้างหงเซียวให้เป็นผู้ชักนำยุทธภพ เขามั่นใจว่าไม่ว่าหงเซียวจะเคยเหลวแหลกมาเพียงใด แต่ภายใต้การปั้นของพรรคคุณธรรม หงเซียวย่อมเปลี่ยนเป็นผู้มีคุณธรรมได้ ความคิดของเขานั้นเหมือนกับการปั้นดาราหน้าใหม่ในโลกยุคของศาสตราจารย์ นับว่าทันสมัยมากในยุทธภพยุคนี้

“ข้ายินดีขอรับ” หงเซียวประสานมือรับ ก่อนที่จะก้าวไปด้านหลังของผู้ตัดสินพรรคคุณธรรม

การคัดเลือกศิษย์ดำเนินต่อไป สุดท้าย การคัดเลือกศิษย์ในเขตแก่นปราณก็เสร็จสิ้น

วิมานวาสนาได้ศิษย์หนึ่งคน ซึ่งนับว่าเหนือความคาดหมายของทุกคนที่ปีนี้วิมานวาสนาจะไม่เลือกศิษย์สักคนอีก สำนักกระบี่เมฆาวายุได้รับศิษย์หนึ่งคน อารามจิตพิสุทธิ์ได้ศิษย์หนึ่งคน ยอดเขาเทียมเซียนได้ศิษย์หนึ่งคน ตำหนักสราญรมย์ได้ศิษย์หนึ่งคน พรรคมังกรท่องได้ศิษย์สามคน ขณะที่ค่ายคุณธรรมรับศิษย์มากที่สุด ห้าคน สร้างความกระหยิ่มยิ้มย่องให้กับผู้ตัดสินเป็นอย่างยิ่ง

ผู้ตัดสินจากค่ายคุณธรรมมีชื่อว่า ซีเส้าฉี เป็นผู้อาวุโสจากสาขาศิษย์นอก มีหน้าที่ในการคัดเลือกศิษย์เข้าสำนักเช่นเดียวกับผู้อาวุโสคนอื่นๆจากสาขาศิษย์นอก

ถัดจากนั้นเป็นการทดสอบและประลองฝีมือของผู้ที่อยู่ในเขตชีพจรปราณ ผู้อาวุโสได้ให้หงเซียวและเพื่อนใหม่อีกสี่คนไปพักผ่อนตามสบาย และให้ไปพบกับเขาในวันพรุ่งนี้ที่หน้าประตูเมืองทิศตะวันตก

ชายหนุ่มอีกสี่คนนั้นเป็นคนที่ดูมีโหงวเฮ้งดี ทั้งหากไม่มีท่าทีซื่อสัตย์ ก็ดูเปี่ยมคุณธรรม หรือไม่ก็เป็นหนอนตำรา ส่วนวิชาฝีมือของพวกเขานั้นจากที่หงเซียวเห็น พวกเขาไม่มีความโดดเด่นมากนัก จนสำนักอื่นไม่คิดรับไว้ ซึ่งหากว่าพวกเขามีความโดดเด่น ก็คงไม่ตกถึงค่ายคุณธรรมมากมายเพียงนี้

และสิ่งที่รบกวนจิตใจหงเซียวเป็นอย่างมากก็คือ เขาเป็นเช่นเดียวกับชายหนุ่มอีกสี่คนนี้หรือไม่ ที่ไม่มีความโดดเด่นอะไรจนสำนักอื่นมองข้าม หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ขยะ

แต่สุดท้ายเขาก็ตัดความคิดนี้ทิ้งไป เพราะว่าค่ายคุณธรรมนั้นถือเป็นหนึ่งในเจ็ดสำนักใหญ่ หากว่าไม่แม้จะได้รับคัดเลือกจากค่ายคุณธรรมแล้วละก็ นั่นจึงจะเป็นขยะอย่างแท้จริง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด