ตอนที่แล้วเซียนเหนือวิถี บาทที่ 112 (ฟรี)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเซียนเหนือวิถี บาทที่ 114

เซียนเหนือวิถี บาทที่ 113 (ฟรี)


บาทที่ 113

เพื่อนใหม่สี่คนนี้ชื่อ หวังสู ชิงหมิง เกาชวน และจิวหนิว เมื่อพวกเขาได้ยินว่าหงเซียวยังมีธุระที่จะต้องไปทำ พวกเขาก็ไม่รั้งเขาไว้ ต่างชวนกันไปดูการคัดเลือกผู้คนเขตชีพจรปราณกัน

ความจริงใช่ว่าหงเซียวไม่มีความสนใจในการคัดเลือกผู้คนเขตชีพจรปราณ แต่ว่าก่อนอื่นเขาจะต้องไปพบกับเด็กสาวสี่คนเสียก่อน

พวกเขาชมดูการคัดเลือกผู้คนในเขตชีพจรปราณกันชั่วขณะก่อนจะหมดความสนใจ พวกเขาจึงเดินทางกลับที่พักและทำกิจกรรมกันตามอัธยาศัย หงเซียวนั้นนึกทบทวนวิชาฝีมือของตนเองแล้วลองตรวจสอบดูว่าการต่อสู้ที่เขาเห็นมานั้นจะมีวิชาไหนที่มีผลต่อการต่อสู้ของเขาบ้าง

หงเซียวพบว่ามีวิชายุทธหลายวิชาที่สามารถสะกดข่มเขาได้ เช่น วิชาดนตรีซึ่งใช้เสียงเป็นตัวจู่โจม แต่เมื่อเขาสามารถควบคุมอากาศได้ เขาสามารถใช้อากาศเป็นกำแพงกันเสียงได้ เพราะว่าเสียงเป็นคลื่นที่อาศัยอากาศเป็นสื่อ หากเขาบังคับอากาศให้หยุดก็น่าจะกันเสียงได้ แต่ด้วยว่ามีปราณเป็นตัวแปร ทำให้เขาไม่มั่นใจว่าจะสามารถต้านรับการจู่โจมจากวิชาดนตรีได้

นอกจากนี้ วิชาที่ใช้คลื่นกระแทกนั้นก็เช่นเดียวกันกับวิชาจู่โจมด้วยเสียง กำลังภายในที่แฝงมากับคลื่นอากาศเหล่านี้เขาจะสามารถต้านรับได้หรือไม่ นี่ยังเป็นปริศนา ยังไม่รวมไปถึงวิชาปราณที่ใช้ในการทำนายของวิมานวาสนาด้วย หากว่าวิชาปราณแบบนั้นเปลี่ยนเป็นวิชายุทธ อาจจะสามารถใช้การจู่โจมโดยใช้โชคชะตาเปลี่ยนแปลงผลการต่อสู้ได้หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นวิชานี้ก็น่าหวาดหวั่นถึงที่สุด

การใช้กระบี่ของสำนักกระบี่เมฆาวายุก็เช่นเดียวกัน เขาไม่มั่นใจว่าจะต้านรับได้ เนื่องเพราะว่าอีกฝ่ายฝึกปรือเพลงกระบี่เป็นหลัก อำนาจพลังกระบี่นั้นอาจจะสามารถทะลุทะลวงและรวดเร็วเกินกว่าเขาจะตอบสนองได้ทันก็เป็นไปได้ เหมือนกับคนธรรมดาทั่วไปที่พยายามจะตะปบคว้ากระสุนปืนกลางอากาศ นั่นเป็นไปไม่ได้

เขาไม่เห็นการต่อสู้ของสำนักที่เหลือ และไม่สามารถที่จะประเมินได้ แต่เขามั่นใจว่ามีวิชามากมายที่เขาต้านรับไม่ได้ แต่เขายังไม่เคยปะทะกับคนที่มีวิชาเหล่านี้เท่านั้น

เปรี๊ยะ หงเซียวเริ่มทำการประจุอักขระเซียนลงในอัญมณีอีกครั้ง แน่นอนว่าเสียงที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเสียงของการแตกสลายของอัญมณีเป็นผุยผง

มีเพียงวิชาเซียนงูๆปลาๆที่อาจจะพอเป็นหลักประกันชีวิตของพวกเขาได้ อย่างน้อยถึงแม้ว่าจะพลาดพลั้งก็อาจจะหาวิธีพลิกสถานการณ์ได้ ส่วนตัวเขาเองนั้นมีร่างจิตเทียมที่สามารถใช้ได้ยาวนาน แต่เด็กสาวเหล่านี้ที่ฝากชีวิตไว้กับเขาล่ะ หากว่าสามารถใช้พลังเซียนผ่านอัญมณีแบบเครื่องรางพลังปราณได้ก็คงจะดีไม่น้อย

เปรี๊ยะ อัญมณีอีกเม็ดแตกสลายไป

เช้ามืดประมาณตีสาม หงเซียวและเด็กสาวทั้งสี่ก็จัดแจงเตรียมความพร้อมก่อนออกจากที่พักไปยังประตูเมืองด้านทิศตะวันตก นี่เป็นวินัยที่สำนักคุ้มกันภัยได้ฝึกพวกเขาเอาไว้และได้นำมาปฏิบัติตนอยู่จนปัจจุบันก่อนออกเดินทางทุกครั้ง

ที่นั่นมีบางคนได้ไปรออยู่ก่อนแล้ว แต่เพื่อนเขตแก่นปราณสี่คนนั้น หงเซียวยังไม่เห็นใครที่จุดนัดพบ

เมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนก็ทยอยมา และเมื่อจิวหนิว เพื่อนใหม่ในเขตแก่นปราณมาถึง ก็ตรงรี่หมายจะเข้ามาทักทาย แต่เมื่อเห็นเด็กสาวทั้งสี่เขาก็กล้ำกลืนคำพูด ชะงักเท้าไว้

เพื่อไม่ให้เป็นปัญหากับเด็กสาวทั้งสี่ หงเซียวได้เดินไปหาจิวหนิว และได้ทักทายเขาแทน “แรกอรุณ พี่หนิว”

“แรกอรุณ พี่เซียว” อีกฝ่ายทักทายกลับ

“พวกเจ้ามาทักทายพี่หนิวกัน” หงเซียวกล่าวกับเด็กสาว

“แรกอรุณพี่หนิว ข้าน้อยเหมยเหมย” สาวน้อยแนะนำตัว ย่อกายตามประเพณี

“แรกอรุณพี่หนิว ข้าน้อยจินหลิน” เด็กสาวหัวโจกแนะนำตัว เธอก็ย่อกายโดยไม่รีรอ

“แรกอรุณพี่หนิว ข้าน้อยซีชี่” เธอแนะนำตัวก่อนเมื่อซิ่วจูบอกใบ้

“แรกอรุณพี่หนิว ข้าน้อยซิ่วจู” ซิ่วจูคารวะเป็นลำดับสุดท้าย พวกเธอทุกคนล้วนทำตามมารยาทประเพณีอย่างถูกต้อง

“ร-แรกอรุณ ม-แม่นางน้อยทั้งหลาย” จิวหนิวขัดเขินทำตัวไม่ถูก แม้ว่าเขาจะอายุมากเกือบยี่สิบห้าปีแล้ว แต่เพราะฝึกวิชาอย่างหนัก การเข้าสังคม การสัมผัสกับเพศตรงข้ามนั้นน้อยยิ่งนัก ยิ่งเมื่อเด็กสาวทั้งสี่คนนี้หน้าตาสวยใสเกินมาตรฐาน ยิ่งทำให้เขาทำตัวไม่ถูก

“พวกเราผู้อาภัพต้องพึ่งพาพี่หนิวแล้ว” เหมยเหมยกล่าวตามมารยาทก่อนถอยกลับไป

หงเซียวดึงแขนจิวหนิวออกมาแล้วกระซิบว่า “ที่ข้าจำต้องให้พวกนางติดตามไปด้วยก็เพราะว่า ข้าได้ช่วยเหลือพวกนางไว้เมื่อกาลก่อนด้วยคุณธรรม พวกนางไร้ที่พึ่งพิงจึงจำเป็นต้องไปกับข้าด้วย หวังว่าหากท่านผู้อาวุโสถามถึง ท่านก็ช่วยสนับสนุนข้าอีกสักแรง”

ไม่นานนักคนอื่นๆในเขตแก่นปราณก็มาถึง หงเซียวก็ทำการหาผู้สนับสนุนเพิ่มเติมสำหรับช่วยเหลือเขา แน่นอนว่าไม่มีใครปฏิเสธที่จะช่วยเหลือเด็กสาวสวยหน้าใสกันได้แม้แต่คนเดียว กระทั่งหนอนตำราชิงหมิงที่คร่ำครึที่สุดที่ถึงกับหน้าแดงเมื่อเจอกับสี่สาว ถึงกับคิดหาวิถีคุณธรรมมาพูดให้กับพวกเธอด้วยตนเอง

จนกระทั่งเมื่อพระอาทิตย์เริ่มโผล่พ้นจากท้องฟ้า ผู้อาวุโสซีเส้าฉีก็มาถึง แต่เมื่อเห็นสี่เด็กสาวเขาก็ต้องผงะและตรงปรี่เข้ามาเพื่อจะต่อว่า เพราะว่าค่ายคุณธรรมนั้นปกติแล้วจะไม่ยอมให้มีผู้ติดตามเข้าไปยกเว้นกรณีพิเศษ ยิ่งเป็นเพศตรงข้าม เพื่อป้องกันเรื่องอื้อฉาว

“คารวะผู้อาวุโสซีเส้าฉี” หงเซียวคำนับเมื่อเห็นผู้อาวุโสเดินเข้ามาใกล้

“หงเซียว นี่หมายความว่าอย่างไร” ผู้อาวุโสพูดเสียงเย็นชา

“เรื่องราวเป็นเช่นนี้ขอรับ ก่อนหน้านี้เมื่อปีที่แล้วพวกเธอถูกพวกโจรป่าดักปล้นทำร้าย ข้าได้ผ่านไปทันการณ์และเข่นฆ่าพวกโจรป่าช่วยเหลือพวกเธอไว้ ยามนั้นพวกเธอเองก็อายุไม่ถึงวัยที่จะปล่อยไปได้ ข้าจึงได้รับอุปการะพวกเธอไว้ด้วยคุณธรรม เมื่อถึงการคัดเลือกศิษย์ปีนี้ ข้าจึงจำเป็นต้องพาพวกเธอไปด้วย หวังว่าผู้อาวุโสจักเมตตา” หงเซียวกล่าวออกมาเป็นเรื่องราวน่าฟัง

เด็กสาวทั้งสี่พากันพยักหน้าเป็นไก่จิกข้าวเปลือก รับรองคำพูดของเขาด้วยสายตาละห้อย

“...แต่กฏของค่ายคุณธรรมห้ามนำคนภายนอกเข้าไป” ผู้อาวุโสเสียงอ่อนลงไปไม่น้อย

“ท่านผู้อาวุโส ค่ายของพวกเราเป็นค่ายคุณธรรม เน้นคำว่าคุณธรรม ดังนั้นการช่วยเหลือผู้อ่อนแอจึงเป็นหน้าที่ที่พวกเราไม่ควรละเว้น หากว่ากระทั่งค่ายคุณธรรมยังต้องบีบบังคับให้ข้าหยุดช่วยเหลือผู้อ่อนแอ เช่นนั้นข้าจะหาคุณธรรมจากที่ไหนในยุทธภพได้อีก” หงเซียวกล่าว

“ใช่แล้วขอรับ ผู้อาวุโส” เพื่อนใหม่ของหงเซียวทั้งสี่ต่างเห็นว่าคำพูดของเขามีเหตุผล ต่างพากันออกหน้ามาสนับสนุน

“...อย่างนั้นรึ อืม… เจ้าพูดมีเหตุผลพอที่จะถือเป็นข้อยกเว้นได้ เช่นนั้นข้าจะยกเว้นให้เป็นกรณีพิเศษ แต่อย่างไรก็ตามชายหญิงมิอาจอยู่ร่วมกันได้ ข้าจักพิจารณาหาที่พักให้พวกเธออยู่ต่างหาก แต่พวกเจ้าก็ยังไปมาหาสู่กันได้ เจ้าเห็นด้วยหรือไม่” ผู้อาวุโสซีกล่าว

หงเซียวพูดถูก หากว่าพวกเขาตั้งตนเองเป็นผู้ที่มีคุณธรรม แต่ปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามคุณธรรมเพราะกฎระเบียบที่วางเอาแล้วจะเรียกตัวเองว่าเป็นผู้ที่มีคุณธรรมต่อไปได้อย่างไร เมื่อคิดถึงจุดนี้จึงทำให้ผู้อาวุโสซีเส้าฉีตัดสินใจที่จะยอมให้หงเซียวพาเด็กสาวทั้งสี่ไปด้วย กระทั่งคิดจะชะลอการเดินทางให้เชื่องช้าลงเพื่อช่วยเหลือเด็กสาวเหล่านี้

“ขอบคุณผู้อาวุโสที่เมตตา” หงเซียวกล่าว

“ขอบคุณผู้อาวุโสที่เมตตา” สี่เด็กสาวกล่าวขอบคุณพร้อมกัน

“เมื่อผู้อาวุโสเมตตาพวกเจ้าแล้ว ก็แนะนำตัวให้ผู้อาวุโสรู้จักเถอะ” หงเซียวกล่าวกับสี่เด็กสาว

สี่เด็กสาวเข้ามาคารวะและแนะนำตัวทีละคนตามขนบธรรมเนียมอย่างไม่มีข้อบกพร่อง ทำให้ผู้อาวุโสซีถึงกับลูบเคราและผงกศีรษะด้วยความพึงพอใจ

“เด็กพวกนี้ได้รับการฝึกฝนมารยาทมาเป็นอย่างดี ทั้งยังรู้จักถึงขนบธรรมเนียมประเพณี นับว่าหงเซียวเป็นผู้มีคุณธรรมคนหนึ่ง นับว่าเหมาะสมที่ข้าเลือกเป็นคนแรก” ผู้อาวุโสคิด

หากพูดไปแล้วหงเซียวอาจจะต้องถือว่าเป็นคนกึ่งธรรมะกึ่งอธรรม เมื่อเขาทำสิ่งต่างๆที่เป็นธรรมมากมาย ตั้งแต่การช่วยรักษาผู้คนเมื่อยามที่เป็นฮุ่ยซิง การช่วยเหลือผู้บริสุทธิ์ล้มล้างโจรป่ายามเมื่อเป็นผู้คุ้มกันภัย แต่เขาเองก็ทำสิ่งต่างๆที่ดูชั่วร้ายไม่น้อย นับตั้งแต่การเป็นอันธพาลร่วมกับแก๊งเสือขาว การทดลองวิชาลับต้องห้ามกับโจรป่าอย่างโหดเหี้ยม และสิ่งละอันพันละน้อยอื่นๆมากมายปะปนกันไป

“เอาล่ะ เมื่อทุกคนพร้อมแล้ว พวกเราก็เริ่มออกเดินทางกันได้ เป้าหมายของพวกเราก็คือ เมืองเซียงหยาง ซึ่งเป็นจุดนัดพบกับคนอื่นๆที่ได้รับการคัดเลือกที่นั่น” ผู้อาวุโสซีเส้าฉีกล่าวกับทุกคนในที่นั้น ซึ่งมีคนในเขตชีพจรปราณอยู่เกือบห้าสิบคนมากกว่าทุกสำนักที่มารับสมัครศิษย์

“สำหรับเด็กหญิงทั้งสี่นี้ จำเป็นต้องใช้รถม้าหรือไม่” ผู้อาวุโสซีหันมาถามหงเซียว

“ผู้อาวุโสวางใจ พวกนางได้รับการฝึกวิชามาบ้าง มิเป็นอุปสรรคในการเดินทาง” หงเซียวตอบ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด