ตอนที่แล้ว28 เขาจำเป็นต้องอวดดี
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป30 เธอมันอวดดี

29 ผู้สร้างดาบปีศาจ


29 ผู้สร้างดาบปีศาจ

ชายชราที่เดินมา มีผมสีขาวบางๆอยู่บนศีรษะ ตาที่ดูเหมือนจะเป็นต้อ หลังที่ค่อมเล็กน้อย และการหายใจที่ถี่กระชั้น ลมที่พัดมาก็ราวกับจะสามารถพัดเขาปลิวไปได้แล้ว

หลี่เย้าจำได้ว่า เมื่อโรงเรียนเปิด เขากับเพื่อนก็ได้ไปรับชุดยูนิฟอร์มที่ห้องเก็บของ และในครั้งนั้น เขาก็ได้พบกับชายชราคนนี้ครั้งหนึ่ง

“ถึงเขาจะเป็นแค่คนดูแลโรงเก็บของ แต่ฉันก็เคยได้ยินมาว่า เมื่อ 70 ปีที่แล้ว อาจารย์”ซุนเปียว“เคยเป็นอาจารย์สอนทักษะการต่อสู้ของโรงเรียนมาก่อน แล้วเขาก็ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญที่สุดยอดมากอีกด้วย สายตาในการมองหาคนที่มีพรสวรรค์ก็สูงมาก เขาพบอัจฉริยะในการบ่มเพาะอยู่หลายคน แล้วเขาก็ยังเป็นคนค้นพบดาบปีศาจเผิงห่ายจากในสลัม และมองเห็นว่า เขาไม่ใช่แค่เด็กธรรมดาทั่วไป เขาเป็นคนหนึ่งที่เผิงห่ายให้ความเคารพเป็นพิเศษ! ถึงแม้ว่าเขาจะมีอายุกว่า 150 ปี และไม่ได้สอนมานานกว่า 10 ปีแล้ว แต่เขาก็ไม่ชอบพักผ่อนอยู่ที่บ้าน ดังนั้น เขาก็เลยมาทำงานที่โรงเรียนต่อ เหมือนที่เขาทำมาตลอดชีวิตของเขา การเป็นผู้ดูแลโรงเก็บของก็เป็นแค่การฆ่าเวลาสำหรับเขาก็เท่านั้น ถ้ามองดูเขาในแวบแรก ภาพลักษณ์ของเขาก็ดูเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป แต่เขากลับมีอิทธิพลอยู่ในโรงเรียนนี้สูงมาก แม้แต่หัวล้านจ้าวก็ยังต้องไว้หน้าเขาหลายส่วน!” เมิ่งเจียงคือราชากอสสิบและข่าวลือของโรงเรียน เขาได้อธิบายให้หลี่เย้าได้ฟังอย่างน้ำไหลไฟดับ

“ชายที่ค้นพบดาบปีศาจเผิงห่าย!” หลี่เย้าพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเลื่อมใส

“ฉันไม่คิดว่าเหล่าซุนจะโผล่มา ดูเหมือนว่าเรื่องอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่คิดก็ได้ จำเอาไว้นะ เขาเป็นชายแก่คนหนึ่ง ดังนั้น ถ้านายลงมืออย่างฉลาด นายก็อาจจะไม่ได้รับการลงโทษ และรอดพ้นจากภัยพิบัติคราวนี้ได้ ไป เร็วเข้า!” เมิ่งเจียงผลักหลี่เย้าอย่างแรง แต่อยู่ๆเขาก็พูดขึ้นมาว่า “เดี๋ยว เดี๋ยว!”

“หา?” หลี่เย้าหยุดเดิน

“เสี่ยวเย้า นายพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่า ถ้าต้องเผชิญหน้ากับการคุกคามจากฝ่ายตรงข้าม เราก็ต้องสู้กันก่อน แล้วค่อยเจรจาต่อรองและประนีประนอมกัน คำพูดของนายมันดูยิ่งใหญ่มากนะ...แต่ ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ชนะสักทีล่ะ?” เมิ่งเจียงเอาแค่ครุ่นคิดเกี่ยวกับคำพูดของหลี่เย้าอยู่ตลอดเวลา ยิ่งเขาคิดมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งคิดว่าคำพูดนี้มันเจ๋ง เท่ห์ และดูมีอำนาจ แต่เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างที่ไม่ถูกต้องอยู่ และในเวลานี้ เขาก็คิดออกว่ามันคืออะไร

“ถ้านายสงบศึกกันไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นนายก็วิ่งหนีสิ ถ้านายวิ่งหนีไม่ทันนายก็ต้องอดทน แต่ถ้านายทนไม่ไหว นายก็แค่ตาย!” หลี่เย้ากรอกตาใส่เพื่อนสนิทของเขา จากนั้น เขาก็เดินตรงไปหาผู้ดูแลโรงเก็บของซุนเปียว

เขาสูงกว่าซุนเปียวหนึ่งช่วงศีรษะเต็มๆ เมื่อเขายืนอยู่ตรงหน้าของซุนเปียว สิ่งที่หลี่เย้าสามารถเห็นได้ก็คือผมสีขาวเส้นบางที่อยู่บนหัวของเขา บนหัวของเขามีรอยกระอยู่เต็มไปหมดและดูไม่ต่างไปจากคนธรรมดาเลย

ความจริงแล้ว หลี่เย้าอยู่ในจุดที่กังวลเป็นอย่างมาก และหัวใจของเขาก็เต้นอย่างบ้าคลั่ง...ชายที่ค้นพบดาบปีศาจเผิงห่ายได้มายืนอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว!

ซุนเปียวเอียงหัวของเขา ราวกับว่ากล้ามเนื้อบริเวณคอของเขาไม่แข็งแรงพอที่จะทำให้หัวของเขาตรงได้ ซุนเปียวสำรวจหลี่เย้าอย่างละเอียดและตั้งใจอยู่เป็นเวลานาน

ประกายที่ออกมาจากดวงตาของเขานั้น ราวกับคนทำอาหารที่ตื่นเต้นเมื่อได้มองดูเนื้อสดที่ชุ่มฉ่ำ เขาจ้องมองหลี่เย้า จนหนังหัวของหลี่เย้าด้านชาและเย็นหลัง ก่อนที่เขาจะพูดออกมาว่า “ใช้ผงชอล์กสาดเข้าใส่สินะ ไม่เลวเลย!”

หลี่เย้าลดความระวังตัวลงและอึ้งไป เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา เขาก็คิดเหมือนกันว่า การใช้ผงชอล์กเป็นการลงมือที่ฉลาด มันช่วยให้เขาได้โอกาสและรับชัยชนะมา

ไม่อย่างนั้นแล้ว การต่อสู้ตัวต่อตัวกับจ้าวเหลียง ที่มีอัตราการตื่นของรากวิญญาณถึง 60% ผลลัพธ์ที่ว่าใครจะถูกซัดจนกลายเป็นหัวหมูก็ยังไม่แน่นอน!

“แต่...” ซุนเปียวพูดต่อและชูสองนิ้วขึ้นมา “ถ้าเป็นฉันละก็ ฉันจะไม่ใช้ผงชอล์ก แต่ใช้เศษเหล็กที่อยู่ในถุงทรายแทน ขอแค่ใส่แรงเข้าไปมากพอ และเศษเหล็กพุ่งตรงเข้าใส่ตาได้พอดี มันก็จะทำให้คู่ต่อสู้สูญเสียการมองเห็นไปโดยสมบูรณ์! จากนั้น ฉันก็จะโปรยตะปูเหล็กลงไปให้ทั่วพื้น ในเมื่อคู่ต่อสู้ของฉันไม่สามารถมองเห็นได้แล้ว เขาก็จะเหยียบเข้าใส่ตะปูเหล็กและเท้าของเขาก็จะถูกทิ่มเข้าไปเต็มๆ! แน่นอนว่า มันไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายตาย แต่สำหรับเด็กน้อยที่เติบโตมาในเกราะป้องกันอย่างดีแล้ว สิ่งที่พวกเขาหวาดกลัวมากที่สุดก็คือความเจ็บปวด และมันจะทำให้พวกเขาสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหว! เมื่อพวกเขาเสียทั้งความสามารถในการมองเห็นและการเคลื่อนไหวแล้ว สิ่งที่ต้องทำก็คือ ใช้เวลาเพียงแค่สองวินาทีในการจัดการกับพวกเขาให้อยู่หมัด!”

เมื่อได้ยินคำพูดของซุนเปียวแล้ว หลี่เย้าก็ตกตะลึง เขาใช้เวลาอยู่นาน กว่าที่จะคืนสติกลับมาได้ และอดไม่ได้ที่จะเถียงกลับ “แต่สถานการณ์มันเลวร้ายมาก แค่ผมคว้าถุงใส่ผงชอล์กมาได้ ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ผมจะไปเอาเวลาที่ไหน ไปเปิดถุงทรายเอาเศษเหล็กพวกนั้นมาได้ทัน? แล้วตะปูเหล็กก็ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ ในโรงยิมจะไปมีตะปูเหล็กดีดีให้ผมเอาไปโปรยลงพื้นได้ที่ไหนล่ะ?”

ซุนเปียวหัวเราะออกมาด้วยท่าทีที่ดูร้ายกาจ “ฮะ ฮะ” แล้วพูดว่า “ในฐานะของผู้เชี่ยวชาญการต่อสู้แล้ว เราจะต้องใช้ทุกวินาทีใน 24 ชั่วโมงเพื่อเตรียมตัวสำหรับการต่อสู้อยู่เสมอ เศษเหล็ก, ตะปูเหล็ก, และของแปลกๆจะต้องมีพกติดตัวเอาไว้ตลอดเวลา แม้แต่ตอนที่เธออาบน้ำ เธอก็ต้องหนีบตะปูเหล็กเอาไว้ที่ก้นของเธอ เธอขาดแม้กระทั่งการเตรียมตัวขั้นพื้นฐาน แล้วเธอยังจะกล้ามาต่อสู้กับคนอื่นในโรงเรียนอีกอย่างนั้นเหรอ?!”

ในเวลานี้ หลี่เย้าได้แต่พูดไม่ออก อยู่ๆ เขาก็รู้สึกขึ้นมาว่า ชายชราคนนี้ยังชั่วช้าและน่าไม่อายยิ่งกว่าเขาหลายร้อยเท่า

ซุนเปียวส่งเสียงหึออกมา เขาพูดต่อไปว่า “แต่ทุกวันนี้ คนหนุ่มที่พอจะมีความสามารถในการต่อสู้ก็ลดลงไปมาก ฉันก็เห็นว่าเธอพอจะมีความสามารถอยู่บ้างละนะ มาสิ ไปที่ห้องของฉันกัน มาคุยเป็นเพื่อนตาแก่คนนี้สักหน่อยสิ!”

หลังจากที่พูดออกไปแล้ว ชายชราก็เดินไป เขาใช้สองมือไขว้ไว้ที่ด้านหลัง และเดินตรงไปยังโรงเก็บของ

หลี่เย้าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินตามหลังชายชราไปอย่างเชื่อฟัง

จากนั้น เขาก็ค้นพบความแปลก...การเดินของซุนเปียวนั้นดูโยกเหยกและไม่สม่ำเสมอ และก้าวเท้าเพียงสั้นๆ เพียงแค่จามออกมาแค่ครั้งเดียว ก็สามารถแซงเขาไปได้แล้ว แต่ความเร็วของเขากลับไม่ได้ช้าเลย และราวกับว่า เขามีตาหลังอยู่ด้วย เขาปรับความเร็วของเขาให้พอๆกับของหลี่เย้า ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ เขาจะเว้นระยะห่างระหว่างเขากับหลี่เย้าเอาไว 5 เมตรเสมอ

หลี่เย้าไม่อยากจะเชื่อว่าเขาไม่สามารถเดินตามชายชราได้ทัน เขากัดฟัน แล้วใช้เทคนิคท่าเท้าสปิริตเซอร์เปี่ยน เพื่อเร่งความเร็ว

และก็เหมือนเคย ซุนเปียวที่ไขว้สองมือเอาไว้ด้านหลังและเดินโยกเหยกอยู่เช่นเดิม

แต่ไม่ว่าหลี่เย้าจะเร่งความเร็วมากแค่ไหน จนถึงกับมีเหงื่อผุดออกมาที่หน้าผากของเขา เขาก็ไม่สามารถย่นระยะทางระหว่างเขากับชายชราได้แม้แต่นิดเดียว!

“มันเป็นเทคนิคฟุตเวิร์กระดับสูงอย่างนั้นเหรอ? หรือจะเป็นเทคนิคการวาร์บ?” หลี่เย้ารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก

ไม่ไกลจากเขา มีนักเรียนบางคนที่ผ่านพวกเขาไปด้วยความเชื่องช้า และเป็นตอนนั้นเอง ที่หลี่เย้าเข้าใจ มันไม่ใช่เพราะซุนเปียวเดินเร็วจนเกินไป แต่กลายเป็นว่า เขาเคลื่อนไหวเชื่องช้ามาก!

เขาได้ใช้เทคนิคสปิริตเซอร์เปี้ยนเพื่อเร่งความเร็ว แต่เขาวิ่งอยู่นานก็ยังไปได้ไม่ถึง 10 เมตรด้วยซ้ำ ก่อนหน้านี้ ตลอดเวลาที่นักเรียนคนอื่นๆเดินผ่านเขาไป เขากลับไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกตินี้เลย

“หรือมันจะเป็นการโจมตีทางจิตใจ?” หนังศีรษะของหลี่เย้ารู้สึกเย็นวาบ ในที่สุด เขาก็เข้าใจถึงความล้ำลึกของซุนเปียว เขาหยุดใช้เทคนิคและเดินตามไปอย่างเชื่อฟัง พร้อมทั้งเก็บหางของตัวเองและไม่กล้าที่จะทำตัวไม่ระวังหรือใจร้อนอีกแล้ว

เมื่อเขาหยุดใช้เทคนิคฟุตเวิร์กแล้ว บางอย่างก็ได้เกิดขึ้น ความเร็วของทั้งสองเพิ่มขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ ระยะห่างระหว่างโรงยิมที่9กับโรงเก็บของนั้นไกลกว่าพันเมตร แต่หลังจากที่เดินมาได้แค่เพียงหนึ่งนาที พวกเขาก็สามารถมองเห็นประตูบานใหญ่ของโรงเก็บของแล้ว

โรงเก็บของนั้นเป็นอาคารขนาดเล็กและมีฝุ่นเกาะหนาหลายชั้น กำแพงบางจุดสีได้ลอกออกไปบางส่วน จนทำให้สามารถมองเห็นก้อนอิฐสีเหลืองอมน้ำตาลที่อยู่ด้านในได้ ภาพลักษณ์ของอาคารหลังนี้ไม่น่ามองเลย

ตัวอาคารไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก แต่ดูเหมือนด้านในจะมีทุกอย่างเก็บเอาไว้ในนั้น เมื่อพวกเขาเลี้ยวรอบที่ 7และโค้งรอบที่ 8 และเดินผ่านสิ่งของมากมายมาแล้ว สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของหลี่เย้าก็ทำให้เขาต้องตกตะลึง มันคือ สนามกีฬาขนาดมาตรฐาน

ดัมเบลล์, ที่ยกน้ำหนัก, เครื่องเพคฟลาย, เครื่องสควอช, เครื่องทดสอบความแข็งแกร่ง, หุ่นจำลองสำหรับการฝึก...มันมีอุปกรณ์ทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับการฝึกฝนอยู่ภายในนี้

แต่อุปกรณ์ส่วนใหญ่ต่างก็เป็นของเมื่อสิบกว่าปีก่อนแล้ว มันมีรูปแบบที่ล่าสมัย มีสีดำและขึ้นสนิมในบางจุด ภายในนี้เต็มไปด้วยฝุ่นเกาะอยู่มากมาย

ฝุ่นเกาะอยู่บนอุปกรณ์เต็มไปหมด มันดูเหมือนว่า ครั้งสุดท้ายที่พวกมันถูกใช้งาน จะเป็นเวลานานมากแล้ว

พวกเขาเดินไปยังใจกลางของสนามฝึก ซุนเปียวหันตัวกลับมา และทำให้สิ่งที่หลี่เย้าคิดไม่ถึง ไม่ว่าเขาจะคาดเดาไปไกลแค่ไหนก็ตาม

ครูวัยเกษียณอายุ 150 ปี เขาคือคนที่ค้นพบดาบปีศาจเผิงห่าย เขาคือคนที่มีชื่อเสียงและเกียรติยศ แต่กลับคาดไม่ถึงว่า เขาจะโค้งคำนับให้กับหลี่เย้าด้วยท่าทีที่ขึงขัง เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า “เรื่องแรกและเรื่องสำคัญที่สุด นักเรียนหลี่เย้า โปรดรับคำขอโทษจากฉันด้วย”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด