ตอนที่แล้ว27 ความจริงแล้ว เขาร้ายกาจที่สุด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป29 ผู้สร้างดาบปีศาจ

28 เขาจำเป็นต้องอวดดี


28 เขาจำเป็นต้องอวดดี

ห้านาทีต่อมา แพทย์จากโรงพยาบาลประจำโรงเรียนก็ได้เดินทางมาที่โรงยิมที่ 9

ขาทั้งสองข้างของจ้าวเหลียงอยู่ในสภาพที่เลวร้ายอย่างมาก การจะพาเขาไปที่โรงพยาบาลจึงเป็นเรื่องยาก ดังนั้น แพทย์จึงได้พากันมาที่นี่เพื่อทำการรักษา

สำหรับแพทย์ที่เชี่ยวชาญในเทคโนโลยีล่าสุดของทางสหพันธรัฐแล้ว การรักษากระดูกหักนั้นเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก และใช้เวลาในการรักษาตัวให้หายเพียงแค่ไม่กี่วันเท่านั้น ที่แย่ที่สุด ขั้นตอนการรักษาอาจจะ...เจ็บเล็กน้อย

“อ้ากกกกกกกกกกกกกก!” เสียงกรีดร้องของจ้าวเหลียง ดังลั่นไปทั่วโรงยิมครั้งแล้วครั้งเล่า คนที่ได้ยินเสียงกรีดร้องของเขา ต่างพากันขนหัวลุก ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับเข่าของเขา เป็นความเจ็บปวดที่ยากจะทานทนไหว

และหลี่เย้าก็ได้ออกมานั่งยองๆอยู่กับเมิ่งเจียง ตรงพุ่มดอกไม้ที่อยู่ด้านนอกโรงยิม บรรยากาศแปลกๆได้ไหวเวียนอยู่รอบๆร่างกายของพวกเขา ทำให้เหล่านักเรียนจากคลาสสามัญต่างพากันหลีกเลี่ยงที่จะเข้าใกล้ และพยายามออกห่าง พวกเขาไม่กล้าที่จะเข้าไปใกล้หลี่เย้าและเมิ่งเจียง

คิ้วของเมิ่งเจียงผูกเป็นปมด้วยความไม่เข้าใจ เขาอยากจะพูดอะไรออกไป แต่เขาก็ลังเลอยู่

หลี่เย้ามองดูเพื่อนสนิทของเขา “นายอยากจะพูดอะไรเหรอ? ถามมาสิ ถามก่อนที่ครูจะมาพาฉันไป!”

เมิ่งเจียงพ่นลมหายใจออกมา เขาหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น และพูดออกมาว่า “ตอนนี้ในหัวของฉันยุ่งเหยิงไปหมดแล้ว ฉันยังคิดอะไรไม่ออก นายมันสมกับเป็นปีศาจน้อยจริงๆ นายแข็งแกร่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันหา?”

หลี่เย้าคิดอยู่เล็กน้อยและพูดออกมาว่า “ฉันกำลังฝึกเทคนิคการบ่มเพาะเพื่อที่จะทะลวงผ่านไปให้ได้อยู่ แต่ก่อนที่ฉันจะฝึกเทคนิคนี้สำเร็จ พละกำลังของฉันก็จะอ่อนแอ ไม่ต่างจากคนธรรมดา แต่เมื่อไหร่ที่ฉันฝึกสำเร็จ พละกำลังของฉันก็จะพุ่งทะยานขึ้นไป! ที่ฉันไม่ได้มาโรงเรียนเมื่อวาน ก็เพราะฉันกำลังอยู่ในจุดสำคัญของการฝึกอยู่ แล้วตอนนี้ ฉันก็สำเร็จขั้นแรกของเทคนิคนี้แล้ว!”

“ยอดไปเลย!” ดวงตาของเมิ่งเจียงเป็นประกาย และเขาก็ไม่ได้ถามไปมากกว่านี้

ภายในสหพันธรัฐมีกฎที่ไม่ได้ถูกเขียนเอาไว้อยู่ การสืบสาวหาต้นตอของทักษะการต่อสู้และเทคนิคการบ่มเพาะของคนอื่นนั้นเป็นเรื่องต้องห้ามอย่างเด็ดขาด ถึงแม้จะเป็นผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งแค่ไหน ก็ไม่สามารถถามเทคนิคลับของตระกูลผู้อื่นได้

หากไม่มีกฎนี้อยู่ ผลลัพธ์ที่ออกมาก็จะเลวร้ายอย่างมาก...วันนี้ ผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งอาจจะข่มขู่ถามแหล่งที่มาของทักษะการต่อสู้ จากผู้ฝึกตนที่อ่อนแอกว่า พรุ่งนี้ สหพันธรัฐก็อาจจะพากองทัพหลายล้านคนมาล้อมรอบนิกายเอาไว้ และบังคับให้พวกเขายอมเปิดเผยเทคนิคลับสุดยอดของพวกเขาก็เป็นได้

โลกทุกใบ ต่างก็มีกฎที่ว่า ปกป้องคนอ่อนแอจากคนที่วายร้ายที่แข็งแกร่ง ผู้คนต่อสู้เพื่อป้องกันผลประโยชน์ของตนเอง

มันเป็นเพราะมีกฎนี้อยู่ จึงสามารถสร้างสังคมขึ้นมาได้ และทำให้คนที่แข็งแกร่งและคนอ่อนแอสามารถอยู่ร่วมกันได้!

สหพันธรัฐแห่งดวงดาว ได้ยึดถือกฎนี้เพื่อรวมผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งและคนธรรมดาเอาไว้ด้วยกัน เพื่อให้พวกเขาร่วมกันต่อสู้กับสัตว์อสูรและฝ่ายอธรรม หากไม่มีกฎนี้อยู่ สหพันธรัฐก็คงจะพังทลายไปนานแล้ว ผู้ฝึกตนและคนธรรมดาจะกลายมาเป็นศัตรูกัน และเมืองแต่ละเมืองของสหพันธรัฐก็จะหายไป ราวกับเม็ดทราย หากเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นจริง แล้วพวกเขาจะเอาเวลาที่ไหนไปต่อสู้กับสัตว์อสูรและฝ่ายอธรรมกัน?

และหลี่เย้าก็ได้ใช้เรื่องนี้เพื่อมาเป็นข้ออ้าง สำหรับเรื่องที่อยู่ๆเขาก็แข็งแกร่งขึ้นมา เขาไม่ได้กังวลว่าจะถูกคนอื่นเปิดเผยเรื่องของเขา ถึงแม้ว่าจะมีคนพบว่าเขาโกหก แต่ความลับของเขาก็จะไม่ถูกเปิดเผยออกมาอยู่ดี...ในโลกของผู้ฝึกตนนั้น ใครบ้างที่จะไม่มีความลับซ่อนเอาไว้กับตัว?

เมิ่งเจียงพยักหน้า เพื่อเป็นการแสดงว่าเขาเชื่อข้ออ้างของหลี่เย้า ที่ทำไมอยู่ๆเขาถึงแข็งแกร่งขึ้นมาได้ แต่เขาก็ย่นคิ้วและถามออกไปว่า “แต่ มันจำเป็นที่นายจะต้องทำรุนแรงขนาดนั้นด้วยเหรอ? นายส่งจ้าวเหลียงลงไปกองกับพื้นได้แล้ว แต่นายก็ยังบดขยี้เข่าของเขาอีก มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ? นายไม่รู้หรอกว่านายน่ากลัวขนาดไหน ตอนที่นายกำลังแท่งยกน้ำหนักขึ้นมาน่ะ นายดูอย่างกับ...สัตว์ร้ายกระหายเลือด!”

“ฉันจำเป็นต้องทำ” หลี่เย้าอธิบาย “เรื่องที่นายบอกกับฉันเมื่อตอนเช้าว่า เขามีอำนาจในโรงเรียนและมีลูกสมุนอยู่ในโรงเรียนมากมายแค่ไหน ในเมื่อฉันได้ไปหาเรื่องเขาเข้าแล้ว คนที่อยู่ใต้อำนาจของเขาก็จะต้องมาจัดการกับฉัน จ้าวเหลียงก็เป็นแค่หนึ่งในพวกเขาเท่านั้น!”

เขาหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อว่า “จ้าวเหลียงเป็นเด็กนักเรียนระดับต่ำสุดในคลาสพิเศษ เขาอยู่ที่สุดท้ายของห้อง ถ้าฉันแค่ล้มเขาให้ลงไปกองกับพื้นแค่นั้น นายคิดว่าคนอื่นๆจะกลัวไหม? คิดว่าพวกเขาจะมาหาเรื่องฉันทีละคนๆเรื่อยๆไหม? ไม่ว่าฉันจะสู้อีกสักกี่ครั้ง หลังจากที่ผ่านไปหลายๆครั้ง ฉันก็จะล้มลง! แต่ในตอนนี้ เมื่อลูกสมุนของเฮ่อเหลียนเลี่ยได้เห็นเข่าทั้งสองข้างของจ้าวเหลียง และได้ยินเสียงกรีดร้องของเขาแล้ว พวกเขาก็จะคิดให้ดีก่อนที่จะเข้ามาหาเรื่องฉัน และพวกเขาส่วนใหญ่ก็อาจจะถึงกับหดหัวหลับไปเลยก็ได้”

เมิ่งเจียงจ้องมองด้วยสายตาที่ว่างเปล่า เขาไม่ได้คิดไปไกลขนานนั้นเลย เขาคิดแค่ว่า การกระทำของหลี่เย้ามันรุนแรงเกินไปก็เท่านั้น

หลี่เย้าตบไหล่เพื่อนสนิทของเขา และพูดออกมาด้วยท่าทีจริงจังว่า “เสี่ยวเจียง นายก็รู้พื้นหลังของฉันดี ตั้งแต่ที่ฉันยังเป็นเด็ก ฉันก็เติบโตและอาศัยอยู่ในกองขยะ ในโลกที่ฉันเติบโตมา แค่กล้วยครึ่งลูก ก็สามารถทำให้คนนองเลือดกันได้แล้ว มีอยู่ครั้งหนึ่ง ฉันได้เห็นคนสองคนทะเลาะกันด้วยเรื่องของขนมปังเนื้อเย็นๆแค่ครึ่งถุง แล้วในตอนสุดท้าย ทั้งสองก็ตาย สองคนนั้นตายเพียงเพราะขนมปังเนื้อแค่ครึ่งถุงนั้น! เชื่อฉัน ฉันเติบโตมาในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ดังนั้น ฉันรู้ว่าฉันควรจะจัดการกับการข่มขูและปัญหายังไง!”

“แต่ แต่...” ในหัวของเมิ่งเจียงสับสนไปหมด ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยได้เห็นด้านนี้ของเพื่อนสนิทของเขามาก่อนเลย

บางที นี่อาจจะเป็นใบหน้าที่แท้จริงของหลี่เย้าก็เป็นได้

หลี่เย้าพูดออกมาอย่างเฉยชา “ประสบการณ์ชีวิตสิบกว่าปีในสุสานอาร์ติเฟ็กซ์ ได้สอนให้ฉันรู้ว่า...เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนที่คิดจะคุมคามเรา มันไม่สามารถใช้เรื่องของเหตุผลและการประนีประนอมเข้าช่วยได้ สิ่งแรกที่ควรจะทำก็คือ ฝ่ายตรงข้ามจะต้องถูกจัดการจนแม้แต่พ่อแม่ของพวกเขาก็ยังจำหน้าไม่ได้ จากนั้น ก็ค่อยทำการเจรจาและประนีประนอมกัน ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว เรื่องของเหตุผลและการเจรจา ก็จะไม่สามารถเอามาใช้ได้ แต่นายกลับวางตัวเองไว้ในหม้อเพื่อให้อีกฝ่ายจะต้มหรือนึ่งนายยังไงก็ได้แทน! ตอนแรกที่จ้าวเหลียงมาถึง เขาต้องการให้ฉันคุกเข่าต่อหน้าเขา แล้วเขาก็ต้องการหักกระดูกฉัน 10 ท่อน ฉันได้ตัดสินใจเอาไว้แล้วว่าฉันจะไม่คุกเข่า และฉันก็จะไม่ปล่อยให้เขาหักกระดูกฉัน 10 ท่อน นอกจากฉันจะสู้กับเขาจนนองเลือดแล้ว ยังจะมีทางอื่นให้ฉันเลือกได้อีกเหรอ?”

เมิ่งเจียงแสดงสีหน้าที่ว่างเปล่าอยู่ครู่หนึ่ง “ฉันเคยได้ยินนายพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่า นายมีชื่อเรียกอยู่ในสุสานอาร์ติเฟ็กซ์ด้วยว่า แร้ง ตอนที่ฉันได้ยิน ฉันก็ยังรู้สึกสงสัยอยู่ และคิดว่านายก็แค่พูดโอ้อวดไปอย่างนั้นเอง แต่ตอนนี้ฉันเชื่อแล้วล่ะ”

หลี่เย้าหัวเราะออกมา และพูดว่า “ใช่แล้วล่ะเพื่อน ฉันในตอนนั้นร้ายกาจกว่านี้อีกสิบเท่า และบ้ากว่าตอนนี้เป็นร้อยเท่าเลยล่ะ ฉันไม่มีทางเลือกนี่ ฉันก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่ยังถือมีดได้ไม่มั่นคงด้วยซ้ำไป ถ้าฉันไม่ร้ายและบ้าพอ แล้วฉันจะไปแย่งอาหารกับคนอื่นๆได้ยังไง? หลังจากนั้น ฉันก็ได้พบกับตาแก่ เขาสอนฉันหลายอย่าง รวมทั้งเรื่องของสังคมและกฎ พอฉันค่อยๆกลมกลืนเข้ากับสังคมคนธรรมดาได้แล้ว นิสัยเดิมๆของฉันก็หายไปบ้าง แต่ว่า ตาแก่ก็ตายไปนานแล้ว พอฉันต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้เข้า ฉันก็ทำได้เพียงแค่ใช้สัญชาตญาณของอีแร้ง เพื่อจัดการปัญหา”

เมิ่งเจียงถอนหายใจออกมา “พอได้ฟังนายพูดแล้ว ฉันก็พอจะเข้าใจนายแล้วล่ะ เสี่ยวเย้า นายไม่มีทางเลือก แต่นอกจากฉันแล้ว คนอื่นก็คงจะคิดว่านายอวดเก่งและอวดดีจนเกินไป”

“อวดดีเหรอ? แน่นอน ฉันต้องอวดดีอยู่แล้ว!” หลี่เย้าถูจมูก หลี่เย้าพูดออกมาว่า “คนที่อาศัยอยู่ภายในสุสานอาร์ติเฟ็กซ์ต้องทำงานหาเงินด้วยการเป็นผู้เก็บกู้ เราใช้ชีวิตสำหรับวันนี้ ไม่ใช่สำหรับอนาคต ไม่มีใครรู้ว่าไม่กี่นาทีต่อมา เราอาจจะเก็บสมบัติล้ำค่าจากกองขยะได้...แต่แค่หลังจากผ่านไปไม่กี่นาที พลังงานวิญญาณก็อาจจะระเบิด แล้วไม่เมื่ออะไรทิ้งไว้เลยก็ได้! ดังนั้น สำหรับผู้เก็บกู้อย่างเรา เมื่อไหร่ที่เรามีพลัง เราต้องทำตัวอวดดีขึ้นมาในทันที ฉันจะไม่รออีกแม้แต่วินาทีเดียวแล้วค่อยทำตัวอวดดี ฉันจะไม่อวดดี 90% ถ้าฉันทำตัวอวดดีถึง 100% ได้! ถ้าฉันไม่ทำตัวอวดดีในตอนที่ฉันมีพลัง และถ้าฉันยังวางตัวเองให้ต่ำ...แล้วถ้าเกิดอยู่ๆฉันก็ตายขึ้นมาล่ะ? ไม่ใช่ทั้งหมดมันจะกลายเป็นเสียเปล่าไปหรอกเหรอ? มันก็เหมือนกับการชนะรางวัล 5 ล้านเหรียญ แล้วนายไม่คิดจะใช้มันทำให้ชีวิตดีขึ้น และเก็บเงินเอาไว้ในธนาคาร แต่พอนายคิดจะถอนเงินออกมา นายกลับถูกยานบินชนเข้าใส่ แล้วตายล่ะ?! ถึงนายจะกลายเป็นผีไปแล้ว นายก็ยังจะรู้สึกเสียใจอยู่ดี!”

เมิ่งเจียงยอมรับออกมาว่า “โอเค โอเค ในเมื่อนายมั่นใจขนาดนี้ นายก็ทำตัวอวดดีต่อไปเถอะ แต่นายไม่คิดบ้างเหรอว่า เฮ่อเหลียนเลี่ยอาจจะใช้อำนาจของที่บ้านเพื่อบังคับให้นายถูกไล่ออกจากโรงเรียนก็ได้? แล้วนายจะทำยังไงล่ะ?”

“ฉันไม่จำเป็นต้องเรียนที่นี่ก็ได้ มีอีกตั้งหลายที่ที่ฉันสามารถไปเรียนได้ โรงเรียนซื่อเซียวที่สองไม่ใช่โรงเรียนเดียวที่อยู่ใต้ฟ้าผืนนี้ อย่างเลวร้ายที่สุด ฉันก็แค่ต้องเปลี่ยนโรงเรียน ถึงฉันจะไม่ได้เรียนในโรงเรียน สหพันธรัฐก็อนุญาตให้พลเมืองลงสอบได้อยู่ดี ก็แค่ขั้นตอนต่างๆอาจจะยุ่งยากกว่าก็เท่านั้น! ถ้าหากเฮ่อเหลียนเลี่ยกดดันให้ฉันต้องออกจากโรงเรียน ฉันก็จะปล่อยให้เขาได้ทำอย่างที่หวัง ก็แล้วทำไมจะไม่ได้ล่ะ? อนาคตข้างหน้ายังอีกไกล เขาและฉันต่างก็ยังมีชีวิตวัยรุ่นที่สวยงามรออยู่!” ดวงตาของหลี่เย้าเปล่งแสงอันร้อนแรงออกมา ในตอนที่เขาพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ

ในตอนที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ก็มีชายตัวเตี้ย ผอม และดูอ่อนแอ เดินโซเซตรงมายังพวกเขา

“ครูมา!” เมิ่งเจียงพูดออกมาด้วยเสียงอันเบา และดึงหลี่เย้าให้ลุกขึ้นมาจากพุ่มดอกไม้

“นั่นไม่ใช่เหล่าซุน ที่เป็นคนดูแลโรงเก็บของของโรงเรียนหรอกเหรอ? เขามาทำอะไรที่นี่กัน?” หลี่เย้ามองไปด้วยความสับสน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด