ตอนที่แล้วAtW ตอนที่ 1 เด็กชายภายใต้ค่ำคืนที่เต็มไปด้วยแสงดาว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปAtW ตอนที่ 3 เสือดำ

AtW ตอนที่ 2 ฮอร์ราดริกคิวบ์


AtW ตอนที่ 2 ฮอร์ราดริกคิวบ์

ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารก่อนใคร ND Translate นิยายแปลไทย

อัศวินเบ็นเน็ตต์สวมชุดที่ทำมาจากผ้าฝ้ายสีขาวไม่มีลวดลายใดๆ เขานั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารค่ำ ใบหน้าของอัศวินคนนี้จะดูจริงจังอยู่ตลอดเวลา อาเบลไม่เคยเห็นเขาแสดงสีหน้าอื่นเลย

แต่จริงๆ แล้วคำว่า 'ไม่เคย' ก็จะเป็นคำที่ฟังดูเหมือนเกินจริงไปหน่อย ครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นสีหน้าท่าทางของอัศวินเบ็นเน็ตต์เปลี่ยนไปก็เมื่อตอนปีที่แล้ว ตอนที่เขาพึ่งจะฟื้นจากอาการโคม่านั้นเอง อาเบลไม่เคยลืมใบหน้าของผู้เป็นพ่อที่มีความสุขมากในตอนที่เขาตื่นขึ้นในโลกใบนี้

ส่วนแม่ของอาเบลนั้นมีชื่อว่านอร่า เธอเป็นผู้หญิงที่ใจดีอีกคนหนึ่ง เธอเป็นคนที่คอยป้อนข้าวป้อนน้ำอาเบลในตอนที่เขากำลังบาดเจ็บจนเขานั้นหายดี นี้เป็นเหตุผลทั้งหมดที่ทำให้อาเบลยอมรับว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้

อาเบลไม่เคยชินกับการพูดขอบคุณก่อนทานอาหารในทุกครั้ง เขาไม่เคยเชื่อเรื่องพระเจ้ามาก่อนในตลอดชีวิตสามสิบปีที่ผ่านมา จนกระทั่งเขาได้เข้าสู่พิธีอธิฐานขอพรต่อแสงศักดิ์สิทธิ์ พิธีกรรมนี้เป็นพิธีที่คนส่วนใหญ่ในโลกแห่งนี้จะอุทิศตนเข้าร่วมและตั้งใจสักการะเป็นอย่างมาก

ไม่มีใครเคยพูดในระหว่างการรับประทานอาหาร ด้วยเกียรติของอัศวินทำให้ครอบครัวของพวกเขาค่อนข้างจะถือเรื่องนี้และคงยึดมั่นในกิริยาท่าทางที่สง่าผ่าเผยอยู่ตลอดเวลา

ในมื้ออาหารค่ำคืนนี้ มีเนื้อชิ้นใหญ่ที่ถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วน พ่อกับซัคจะเป็นสองคนที่ได้เนื้อส่วนใหญ่ทั้งสองส่วนไป ส่วนแม่กับอาเบลนั้นจะได้เนื้อสองส่วนที่น้อยกว่าเนื้อในส่วนแรกเป็นอย่างมาก การกินอาหารที่มีประโยชน์เองจะช่วยพัฒนาลมปราณของเหล่าอัศวินได้ ดังนั้นจึงไม่มีการแบ่งอาหารอย่างเป็นธรรมในทุกๆ คนของครอบครัวนี้

ในฐานะที่อาเบลเป็นเหมือนกับเทรนเนอร์ของนักเพาะกาย อาเบลไม่เคยกินเนื้อสัตว์น้อยขนาดนี้มาก่อน จานเนื้อของเขาที่ถูกแบ่งมามีน้ำหนักประมาณหนึ่งปอนด์เท่านั้น ในตอนนี้เขามีอายุเพียง 12 ปี ปริมาณสารอาหารที่เขาได้รับไม่เพียงพอสำหรับร่างกายของเขาเท่าไรนัก เขาจึงต้องกินโจ๊กเพื่อทดแทนสารอาหารที่เสียไป อาเบลกินอาหารทั้งหมดเพียงในเวลาไม่กี่นาที

''ตรงนี้ยังมีอีกนะลูก'' เสียงอ่อนโยนของผู้เป็นแม่กำลังพูดกับอาเบลอยู่ เธอแบ่งเนื้อของเธอเองกว่าครึ่งให้ลูกของเธอ

อัศวินเบ็นเน็ตต์มองมาทางอาเบลอย่างรวดเร็ว แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไรกับอาเบล เบ็นเน็ตต์นั้นก้มหน้ากินอาหารต่อไป มือที่ค่อนข้างจะเก้งก้างของเขากำลังจะใช้มีดหั่นเนื้ออย่างเบามือ ทันใดนั้นมีเสียงมีดกระทบกับจานดังขึ้น นี้เป็นสิ่งที่ผิดปกติสำหรับบ้านหลังนี้ ซัคเป็นคนที่ทำให้เสียงมีดกระทบจานดังขึ้น อัศวินเบ็นเน็ตต์มองซัคในทันที ซัคจึงค่อยๆ ใช้มีดอย่างระมัดระวัง

''ขอบคุณท่านแม่'' อาเบลขอบคุณนอร่าก่อนที่จะรับอาหารของเธอมา นี้เป็นวิธีการแสดงความรักของนอร่าผู้เป็นแม่ หากอาเบลปฏิเสธไปคงจะทำให้เธอเสียใจ เขาจึงตัดสินใจที่จะรับมา

การใช้ชีวิตของครอบครัวเบ็นเน็ตต์แบบนี้เป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้ว เบ็นเน็ตต์จะให้ซัคตามเขาไปฝึกฝนหลังมื้อค่ำอยู่เสมอ อาเบลไม่ได้รับอนุญาติให้เข้าร่วมการฝึกนี้จนกว่าเขาจะได้เป็นอันดับหนึ่งของอัศวินฝึกหัด และอาเบลจะต้องเป็นอันดับหนึ่งของอัศวินฝึกหัดในพรุ่งนี้ที่จะมาถึง

อาเบลไม่อยากจะเสียเวลาเพื่อเป็นอัศวินฝึกหัดระดับหนึ่ง เขามุ่งตรงกลับมาที่ห้องของเขาก่อนที่จะฝึกการนั่งควบคุมการหายใจแบบอัศวิน ในตอนนี้เขากินอาหารจนอิ่มเต็มที่แล้ว ปริมาณอาหารนั้นเพียงพอที่จะทำให้ลมปราณที่เขาได้ฝึกฝนมาทั้งวันนั้นพัฒนาก้าวหน้ามากขึ้น

เทคนิคการหายใจเป็นส่วนสำคัญของการฝึกฝนเป็นอัศวิน แต่ละครอบครัวของอัศวินมักจะฝึกเทคนิคการหายใจในแบบเฉพาะของตนเอง หากมีอัศวินสามารถสร้างผลงานในสนามรบได้ อัศวินเหล่านั้นจะสามารถเปลี่ยนผลงานพวกนั้นให้เป็นการพัฒนาเทคนิคการหายใจของพวกเขาได้

หลังจากที่อาเบลนั่งอยู่บนพื้นที่ขรุขระ เขาสงบสติอารมณ์และเริ่มนั่งฝึกฝนการหายใจ เขาค่อยๆ ปรับจังหวะการสูดหายใจเข้าและค่อยๆ หายใจออกอย่างช้าๆ ในท้องของเขาตอนนี้รู้สึกเหมือนมีลมเข้าและออกอย่างสม่ำเสมอคล้ายกับจังหวะของกลอง อาเบลหายใจออกเป็นริ้วสีขาวที่มีกลิ่นหอมจางๆ ซึ่งค่อยๆ จางหายไปในอากาศ อาหารที่เขาพึ่งจะกินเข้าไปนั้นถูกย่อยสลายอย่างรวดเร็วเมื่อเขาทำเช่นนี้

หลังจากที่เขาหายใจเช่นนี้ประมาณยี่สิบครั้ง อาหารทั้งหมดที่เขากินเข้าไปแปรเปลี่ยนเป็นพลังลมปราณที่ได้จากการฝึกตลอดวันมานี้ ลมปราณมันค่อยๆ ก่อตัวเป็นเมอร์ริเดียน

การรวมกันของลมปราณเป็นเมอริเดียนในตอนแรกยังคงไม่เสถียรสูมบูรณ์ ในตอนนี้อาเบลคิดว่าเขาล้มเหลวอีกแล้ว แต่ในทันใดนั้นเองพลังจากเมอริเดียนก็โผล่ออกมาจากร่างกายของเขา อาเบลเองไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเขา แต่ร่างกายของเขาหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเหมือนกับพึ่งตื่นนอนในตอนเช้า

ในที่สุดเขาก็กลายเป็นอัศวินฝึกหัดระดับหนึ่ง หนึ่งปีก่อนนั้นพ่อของอาเบลได้แสดงพลังของอัศวินให้อาเบลได้เห็น พ่อของเขาฟันต้นไม้ต้นใหญ่ขาดครึ่งได้ในการฟันเพียงครั้งเดียว ในเวลานั้นเองอาเบลจึงตระหนักได้ว่าโลกใบนี้นั้นมีพลังที่เหนือธรรมชาติอยู่ ซึ่งแตกต่างจากที่โลกเขามาเป็นอย่างยิ่ง ในโลกใบนี้ความแข็งแกร่งจะสามารถทำให้เขามีชีวิตรอดได้

เมื่ออาเบลขอให้พ่อของเขาฝึกฝนเขาให้กลายเป็นอัศวินเหมือนพ่อ ในตอนนั้นเองอาเบลจึงรู้สถานการณ์ในครอบครัวของเขา เบ็นเน็ตต์ได้อธิบายให้ฟังว่า ในฐานะที่อาเบลนั้นเป็นลูกชายคนที่สอง การฝึกฝนของเขาจะต้องไม่รบกวนการฝึกของพี่คนโต

ในฐานะที่ซัคเป็นลูกชายคนแรก เขาจะถูกให้ความสำคัญมากกว่า การมอบทรัพยากรให้ซัคทั้งหมดจึงเป็นเรื่องที่อาเบลไม่อาจโต้แย้งได้ ถึงแม้ว่าเขาจะยังสามารถเรียนรู้หนทางที่จะเป็นอัศวินได้แต่ก็ต้องพึ่งตัวเองเป็นส่วนมาก

ถึงแม้ว่าอาเบลจะตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ แต่อาเบลเองก็ยังสามารถเรียนรู้ในสิ่งที่พ่อของเขาสอนให้ได้ หลายเดือนก่อนที่เขาหายจากอาการบาดเจ็บ เขาได้รับการสอนถึงวิธีการดูแลม้า การดูแลรักษาอาวุธยุทโธปกรณ์ และการฝึกยิงธนู อาเบลยังได้รับสอนถึงมารยาทที่เหมาะสมสำหรับอัศวิน เขาได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่จะทำให้เขากลายเป็นอัศวินอีกมากมาย ทั้งหมดนี้พึ่งเกิดขึ้นเมื่อสองเดือนที่แล้วเท่านั้น

ในขณะที่เขากำลังดีใจกับพัฒนาการครั้งสำคัญ อาเบลได้สังเกตเห็นว่าเส้นลมปราณที่แขนขวาของเขาหายไปอย่างรวดเร็ว การดีใจของเขาหยุดลงอย่างรวดเร็วในไม่กี่วินาที ถ้าหากยังเป็นอย่างงี้ต่อไป อาเบลจะสูญเสียพัฒนาการทั้งหมดจากการฝึกไป

การฝึกนั่งหายใจของเขาในคืนนี้ยังคงล้มเหลวเช่นเดิม อาเบลสูญเสียลมปราณในตอนสุดท้ายไป แต่เขาสามารถฝึกฝนจนทำให้ลมปราณนั้นกลับมาได้เพียงแค่ใช้เวลาหนึ่งถึงสองวัน อาเบลยังไม่สูญเสียฐานะอัศวินฝึกหัดไป

แต่ในตอนนี้เองยังมีลมปราณไหลออกมาจากตัวเขาอยู่ เพื่อตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของอาเบลเอง เขาจึงดึงแขนขวาของตัวเองออกมาดูอีกที แขนของเขามีเงาส่องแสงสว่างส่องอยู่ ในตอนแรกนั้นเขาไม่ทันสังเกตเห็นสิ่งนี้

อาเบลมองเงาลึกลับนี้เป็นเวลานาน เขาไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมเงานี้จึงดูคุ้นๆ สำหรับเขา

''มันคือฮอร์ราดริกคิวบ์อย่างงั้นหรอ'' อาเบลกระโดดอยู่กับที่ทันที่ที่เขาคิดออก สิ่งนี้มันคือฮอร์ราดริกคิวบ์ไม่ผิดแน่ ในฐานะที่อาเบลเป็นผู้เล่นตัวยงของเกม Diablo 2 ทำให้เขาจำสิ่งสิ่งนี้ได้ดี

''มันตามฉันมาที่โลกแห่งนี้หรอ?'' อาเบลเดินไปรอบห้องด้วยความตื่นเต้น ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่เขาจะคุ้นเคยและรู้จักมัน แต่การได้เห็นฮอร์ราดริกคิวบ์แบบนี้เป็นเหมือนกับการหาขวดน้ำเจอในใจกลางทะเลทราย

ดูเหมือนว่าฮอร์ราดริกคิวบ์จะอยู่ตรงนี้แต่แรก เหตุที่มันไม่เคยปรากฎออกมาก่อนก็เพราะว่าคงไม่มีพลังงานเพียงพอที่จะเปิดใช้งานมัน ตั้งแต่อาเบลฝึกฝนจนกลายเป็นอัศวินฝึกหัดระดับหนึ่งในคืนนี้ ทำให้พลังลมปราณของเขาไหลเขาไปในคิวบ์อันนี้

ฮอร์ราดริกคิวบ์กำลังลอยอยู่เหนือแขนขวาของเขา อาเบลเอานิ้วของเขาไปแตะที่คิวบ์ ทันใดนั้นมีหน้าต่างแสดงช่องเก็บไอเท็มขึ้นมา ในช่องเก็บของทั้งหมดมีถึง 12 ช่อง แต่กลับมีคัมภีร์สีฟ้าเพียงเล่มเดียวที่กินช่องพวกนั้นจนหมด

คัมภีร์สีฟ้าเล่มนี้มันคือ ''คำภีร์วาร์ป'' นั่นเอง อาเบลจำมันได้ดี มันเป็นคัมภีร์วาร์ปที่เขาใช้ซอฟแวร์แฮคก่อนที่จะถูกฟ้าผ่า คัมภร์วาร์ปอันนี้จะสร้างตัวเองขึ้นใหม่ในทุกๆ ไม่กี่นาที

''ฉันจะเอาคัมภีร์วาร์ปอันนี้ออกจากคิวบ์'' อาเบลคิดจะเอาใบวาร์ปออกมาจากคิวบ์ ทันใดนั้นคัมภีร์วาร์ปก็ปรากฎขึ้นบนมือของเขา คัมภร์วาร์ปอันนี้เป็นหนังสือเล่มใหญ่พอๆ กับนิตยสารในโลกเดิมของเขา ปกสีฟ้าของมันถูกตกแต่งด้วยขอบสีทองเข้ม

''ฉันจะกลับบ้านได้หรอหากใช้คัมภีร์วาร์ปอันนี้?'' อาเบลตื่นเต้น หัวใจของเขาเต้นถี่มากยิ่งขึ้น เขาอยากจะเจอพ่อแม่ที่แท้จริงของเขา เขาอยากจะกลับไปลิ้มรสอาหารที่แม่ของเขาทำให้อีกครั้ง ในตอนนี้เขาคิดถึงบ้านเกิดเป็นอย่างมาก ตลอดทั้งปีที่อาเบลอาศัยอยู่ที่นี่ เขาไม่เคยคิดถึงบ้านมาก่อนจนถึงตอนนี้

หลังจากเปิดคัมภีร์วาร์ป เขาพบกับคัมภีร์วาร์ปที่แตกต่างกันถึง 20 แบบ ม้วนคัมภีร์เหล่านี้ทำมาจากขนแกะสีขาวมัดด้วยริบบิ้นสีน้ำเงิน หากอาเบลต้องการจะวาร์ปเขาจะต้องดึงริบบิ้นออกเพื่อเปิดใช้วาร์ป

อาเบลพยายามใช้นิ้วของเขาดึงริบบิ้นออก แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างทำให้เขาไม่สามารถดึงริบบิ้นออกจากคัมภีร์ได้ หลังจากที่เขาลองดึงอีกหลายครั้ง ในที่สุดเขาก็ดึงริบบิ้นออกจากคัมภีร์ได้

เมื่อดึงริบบิ้นออกกลับมีเพียงลูกไฟออกมาจากคัมภีร์ ไม่มีประตูวาร์ปใดๆ อาเบลรู้สึกผิดหวังในทันที อาเบลโยนคัมภีร์ทิ้ง ทำให้เกิดรอยไหม้บนพรมที่เขายืนอยู่ แน่นอนว่ามันได้ดับไปแล้ว

ทำไมถึงใช้ไม่ได้ผลกัน? ทำไมถึงมีแค่ลูกไฟที่ออกมา? อาเบลพยายามลองอีกหลายครั้ง แต่ผลลัพธ์กลับออกมาเหมือนเดิม ทุกครั้งที่เขาพยายามจะเปิดคัมภีร์มันจะมีเปลวไฟออกมาเผาไหม้เนื้อหาข้างในจนกลายเป็นเถ้าถ่านไป

อาเบลร้องไห้หลังจากที่เขาพยายามอย่างสูญเปล่า เขาร้องไห้อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเหนื่อยหลับไป

ในขณะที่อาเบลกำลังหลับอยู่นั้นเอง มีแสงจากดวงจันทร์ส่องผ่านหน้าต่างไปกระทบกับใบหน้าของเขา น้ำตาที่ไหลอาบแก้มของเขาค่อยๆ ปลิวหายไปในสายลมของค่ำคืนนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะนอนอยู่บนเตียงแต่ก็กลับทำให้รู้สึกเหน็บหนาว

''ปะป๊า มาม๊า'' เสียงเด็กคนหนึ่งที่กำลังร้องเรียกอะไรบางอย่างอยู่ในค่ำคืนนี้ มันเป็นเหมือนเสียงเรียกของเด็กที่สิ้นหวังที่กำลังคิดถึงพ่อแม่ของเขา ไม่มีใครในโลกแห่งนี้เขาใจความหมายของคำคำนี้ มันเป็นภาษาต่างโลกนั่งเอง

ภาษาที่อาเบลใช้เมื่อครู่นี้เป็นภาษาจีนกลาง ภาษาจีนกลางเป็นภาษาที่อาเบลในอดีตนั้นใช้ในบ้านของเขานั่นเอง คำที่อาเบลพูดออกมาใช้สำหรับเรียกพ่อแม่ของเขา

ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารก่อนใคร ND Translate นิยายแปลไทย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด