ตอนที่แล้วRe-new ตอนที่ 98 ส่วนแบ่งกำไร
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปRe-new ตอนที่ 100 มาเยือน

Re-new ตอนที่ 99 เจอโดยบังเอิญ


ตอนที่ 99 เจอโดยบังเอิญ

เดิมทีมีแผนจะจ่ายส่วนแบ่งเดือนละครั้ง แต่เจ้าของร้านเจียงสังเกตเห็นพ่อลูกตรงหน้าเขาสวมเสื้อผ้าเก่า ๆ โทรม ๆ และคิดว่าพวกเขาคงจะขาดแคลนเงิน เขาจึงตัดสินใจเอาเงินส่วนแบ่งของสองสามวันที่ผ่านมาให้ก่อน

หยูไห่โบกมือไปมาปฏิเสธ “พวกเรารับไว้มิได้หรอก พวกเรารับไว้มิได้จริง ๆ ! มันแค่สูตรผักดองเพียงมิกี่สูตรเอง พวกเราจะรับเงินของท่านไว้ได้เยี่ยงไรกัน ? พวกท่านต้องลงแรงทำทุกอย่างและยังซื้อวัตถุดิบอีกด้วย พวกเรามิได้ทำสิ่งใดเลย ถ้าผู้อื่นรู้เข้าจะไม่วิจารณ์พวกเราลับหลังเอาหรอกรึ ?”

เจ้าของร้านเจียงจึงรีบตอบว่า “น้องชาย เจ้ากล่าวผิดแล้ว ! เจ้าคิดว่าเหตุใดร้านเจินซิวที่เปิดใหม่ถึงแข่งขันกับร้านฝูหลินที่เป็นร้านเก่าแก่ได้เล่า ? มิใช่เพราะพวกเขามีอาหารจานพิเศษที่มิเหมือนใครหรือเยี่ยงไรกัน ? นั่นคือสาเหตุที่พวกเขาสามารถดึงดูดลูกค้าจำนวนมากได้ ถ้าร้านเจินซิวต้องการขายสูตรอาหารจานใหม่ของพวกเขา ข้าเชื่อว่าต่อให้พวกเขาตั้งราคามากกว่าหนึ่งพันตำลึงก็ยังมีคนยอมซื้อ ! ข้ามิเคยเห็นสูตรของที่ใดเหมือนสูตรที่ลูกสาวของเจ้าให้พวกเรามาเลย ดังนั้นพวกมันย่อมมีค่าแน่นอน ! ถ้าเจ้าอยากทำผักดองพวกนี้แล้วเอามาขายในเมืองเอง เจ้าก็จะสามารถทำเงินได้มากกว่าที่ข้าให้เจ้าเสียอีก  แต่ลูกสาวของเจ้าช่างมีจิตใจที่ดียิ่งนัก และยังต้องการส่วนแบ่งเพียงแค่สองในสิบส่วนเท่านั้น ถ้าหากลองคิดคำนวนดูแล้ว พวกเราคือคนที่เอาเปรียบพวกเจ้ามากที่สุดนะ ! น้องชายรับเงินไปเถอะ พวกเจ้าสมควรได้แล้ว...หรือเจ้าคิดว่ามันน้อยเกินไป ?”

เมื่อเจอสถานการณ์ที่เกินจะรับมือเช่นนี้หยูไห่ก็ได้แต่ถอย เขามองไปที่ลูกสาวของเขาอย่างขอความช่วยเหลือ เสี่ยวเฉาจึงรีบเอ่ยขึ้นมาว่า “ท่านลุงเจียงเจ้าคะ ตอนนั้นข้าตกลงกับท่านพี่เจียงหยู่เอาไว้แล้ว ว่าพวกเราจะรับส่วนแบ่งกำไรกันเดือนละครั้ง แต่นี่มันยังมิถึงเดือนเลยนี่เจ้าคะ ใช่หรือไม่ ?”

เห็นได้ชัดว่าผู้จัดการร้านเจียงทำธุรกิจมามาก เขาตอบอย่างสุภาพว่า “ข้าก็เพียงแค่ดีใจมากที่ทำเงินได้น่ะ รับเงิน 5 ตำลึงนี้ไว้เป็นการเริ่มต้นที่ดีของเราเถอะ มันจะได้นำความโชคดีมาให้กับเรา วันหน้าเราค่อยแบ่งกำไรกันเดือนละครั้งตามที่ตกลงกันไว้ก็ได้”

พอมีลูกค้าเข้ามาในร้านเพื่อซื้อผักดอง เจ้าของร้านเจียงจึงยัดเงิน 5 ตำลึงใส่มือของหยูไห่โดยไม่เอ่ยอะไรต่ออีกและยกผ้าม่านขึ้นเพื่อไปช่วยลูกค้า หยูไห่ลังเลเนื่องจากไม่แน่ใจว่าจะทำยังไงกับเงินดี เสี่ยวเฉาจึงยิ้มและเอ่ยว่า “ในเมื่อท่านลุงเจียงเอ่ยเช่นนี้ก็รับเงินไว้เถอะเจ้าค่ะ”

เมื่อเจียงหยู่เห็นคนเป็นพ่อเอาเงินให้เด็กหญิงอายุ 7 - 8 ขวบ เขาจึงคิดว่ามันแปลก ‘เขามิกลัวว่าเด็กจะทำเงินหายเลยหรือเยี่ยงไรกัน...’

หลังจากนั้นเสี่ยวเฉาก็บอกให้เจียงหยู่จดสูตรผักดองเพิ่มอีก สูตรครานี้แตกต่างจากคราก่อนนั่นคือ ซอสพริก ซอสถั่วหวาน และสูตรที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้นอย่าง ซอสเห็ดหอม และซอสถั่วงา

เจียงหยู่ทำราวกับว่าได้รับสมบัติที่มีค่ามากที่สุดในโลก เขาเอาสูตรที่เขียนด้วยลายมือใส่กระเป๋าอย่างระมัดระวัง พอเขากับพ่อเรียนรู้วิธีทำได้แล้ว เขาก็จะทำลายสำเนาแผ่นนี้ทิ้งเสีย ด้วยวิธีนี้ก็จะมีเพียงแค่ร้านเขาร้านเดียวเท่านั้นที่ทำสินค้าเหล่านี้ออกขายและจะกลายเป็นความลับทางการค้าของพวกเขาตลอดไป...

เสี่ยวเฉากล่าวลาเจียงหยู่และเดินออกมาจากห้องด้านใน เมื่อออกมาที่ห้องใหญ่นางก็เห็นหนุ่มหล่อในชุดผ้าไหมกำลังขมวดคิ้วมองถังผักดองอยู่ในร้าน เจ้าของร้านเจียงยืนอยู่ข้าง ๆ เขาและกำลังอธิบายสินค้าประเภทต่าง ๆ ที่มีอยู่อย่างอดทน

ผู้ช่วยที่อยู่ถัดจากเด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นเบา ๆ ว่า “คุณชายสาม ถ้าอยากกินผักดองก็สั่งให้ข้ามาที่นี่ก็ได้ มิจำเป็นต้องมาเองเลยนี่ขอรับ...ระวัง ประเดี๋ยวเสื้อจะเปื้อน !”

เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองไปทางเสี่ยวเฉาเมื่อได้ยินเสียงบางอย่าง เขาทำสีหน้าประหลาดใจราวกับตกใจที่ได้พบนางที่นี่

เสี่ยวเฉายิ้มกว้างเมื่อเห็นเขาทำตาโต “คุณชายสามโจว กลับมาจากเมืองหลวงแล้วหรือเจ้าคะ ? กลับมาถึงเมื่อใดกันเจ้าคะ ?”

เด็กหนุ่มที่แต่งตัวดีคนนี้คือคนที่นางไม่ได้เจอมาเกือบหนึ่งเดือน คุณชายสามแห่งตระกูลโจวหรือโจวซือชู่ ขณะที่นางเดินเข้ามา โจวซือชู่ก็เอ่ยว่า “อะไรกัน ! หยูเสี่ยวเฉา เจ้ามีสูตรซอสดี ๆ อยู่ในหัวแล้วก็มิต้องลงทุนผลิตเองด้วยซ้ำ แต่กลับไปร่วมมือกับผู้อื่นแทนเยี่ยงนั้นรึ !”

ในทางกลับกัน หยูเสี่ยวเฉานึกขึ้นได้ว่าเงินทั้งหมดที่นางอุตสาหะเก็บไว้ถูกเจ้าหมอนี่ล่อลวงเอาไปเมื่อตอนสิ้นปี ถ้านางมีเงินอยู่ในมือตอนที่พวกเขาแยกบ้านล่ะก็ สถานการณ์ของพวกเขาคงไม่เลวร้ายนักหรอก ! ตระกูลโจวเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองถังกู่ พวกเขาจะต้องการเงินจำนวนเล็กน้อยของนางเพื่อเปิดโรงงานเครื่องปรุงจริง ๆ รึเยี่ยงไร ? หมอนี่ต้องจงใจแกล้งนางเป็นแน่ !

“พอข้าเข้าไปที่ร้านอาหารวันนี้ก็ได้ยินคนในครัวสนทนากันเอะอะเสียงดัง เดาสิว่าเรื่องอะไร พวกเขากำลังเถียงกันเรื่องวิธีทำอาหารจานเล็ก ๆ ! พนักงานจัดซื้อของร้านเจินซิวไปซื้อปลาตัวเล็กที่ท่าเรือมาห่อหนึ่ง !” คุณชายสามโจวกัดฟันขมวดคิ้วนิ่วหน้าใส่หยูเสี่ยวเฉา สีหน้าของเขาทั้งขมขื่นและวิตกกังวล

“อะไรกันเจ้าคะ ? ข้าขายของกินเล่นที่ท่าเรือมันไปกระทบสิ่งที่ท่านทำอยู่หรือเยี่ยงไร ?” เสี่ยวเฉาไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงมองนางด้วยสีหน้าเช่นนั้น นางต่างหากที่ควรจะหงุดหงิด

“ข้าได้ยินว่าอาหารจานนี้เรียกว่า ‘ปลาหมัก’ ใช่หรือไม่ ? เจ้าทำได้เยี่ยงไรรึ ? ก้างเล็ก ๆ ในตัวปลาถึงได้นุ่มถึงเพียงนั้น อีกทั้งรสชาติของมันก็อร่อยมากยิ่งนักจนหาที่เปรียบมิได้ ! เป็นอาหารที่วิเศษและเต็มไปด้วยรสชาติอย่างแท้จริง !”

คุณชายสามโจวได้ชิมด้วยหนึ่งชิ้นและคิดว่ามันอร่อยมาก เมื่อหัวหน้าพ่อครัวของร้านอาหารเจินซิวลองชิมดูบ้าง เขาก็บอกได้ว่ามันถูกทอดก่อนแล้วค่อยนำมานึ่ง แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามมากแค่ไหนก็ไม่สามารถทำให้รสชาติออกมาอร่อยได้เหมือนต้นฉบับ อันที่จริงเขาถึงกับครุ่นคิดอยู่ในใจว่า ‘ไม่คิดเลยว่าปลาหมักที่ดูธรรมดาง่าย ๆ เช่นนี้จะมีวิธีการทำที่ยุ่งยากถึงเพียงนั้น’

ทันทีที่คำกล่าวหลุดออกมาจากปาก เด็กหนุ่มก็ดูเหมือนจะรู้สึกตัวว่ามันฟังไม่ถูกต้องจึงแก้คำกล่าวของตนเองว่า “ข้ามิได้จะให้เจ้าบอกเคล็ดลับของเจ้าหรอก แค่อยากแสดงความแปลกใจเท่านั้นน่ะ แล้วนี่วันนี้มีเวลามาเดินเล่นที่ตลาดด้วยรึ ? เหตุมิไปขายอาหารตุ๋นที่ท่าเรือล่ะ ?”

เสี่ยวเฉายิ้มและไม่ได้โกรธเคืองอะไร นางตอบว่า “คุณชายสามชมข้าเกินไปแล้ว วิธีการทำของข้ามิได้มีอะไรพิเศษเลย เอามาใช้ในสถานการณ์ที่เป็นทางการกว่านี้มิได้หรอก วันนี้ท่านแม่กับเสี่ยวเหลียนไปที่ท่าเรือ ส่วนข้ากับท่านพ่อมาทำธุระในเมือง คุณชายสามโจวมาซื้อผักดองรึเจ้าคะ ?”

คุณชายสามโจวพยักหน้าและตอบว่า “ช่วงนี้ท่านยายมิค่อยอยากอาหาร เมื่อครู่ตอนอยู่บนถนนข้าได้ยินว่าผักดองร้านนี้อร่อย เลยอยากซื้อกลับไปให้ท่านยายลองดูน่ะ...”

หลังจากทำความเข้าใจความชอบของหญิงชราแล้ว เสี่ยวเฉาก็แนะนำให้คุณชายสามโจวซื้อหัวไชเท้ากรอบหวาน เพราะพวกมันกรุบกรอบและมีรสชาติที่สดชื่น จึงเหมาะที่สุดสำหรับการเพิ่มความอยากอาหาร

คุณชายสามโจวพยักหน้าและให้ทางร้านชั่งหัวไชเท้าให้กับเขา เขายังถามผู้จัดการอีกว่าสินค้าอื่น ๆ ในร้านรสชาติเป็นเยี่ยงไรบ้าง เจ้าของร้านเจียงจึงให้เขาลองชิมผักดองชนิดต่าง ๆ หลังจากนั้นเขาก็เลือกอันที่เขาชอบนั่นคือ ถั่วแช่เหล้ากับผักกาดเผ็ด ตอนชำระเงินเขาก็หยิบเอาก้อนเงินที่มีค่าประมาณ 2 ตำลึงออกมา

อ่า ใช่สิ ! ถ้าอยากหาคนรวยที่มีเงินเหลือกินเหลือใช้ เจ้าหมอนั่นก็อยู่ตรงนี้แล้วนี่ไง !

“ได้ยินมาว่าเจ้าแยกบ้านแล้วเยี่ยงนั้นรึ ? แยกบ้านแล้วก็ดี พวกเราจะได้มิต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ตอนเอาเงินส่วนแบ่งให้เจ้าหลังจากตั้งโรงงานแล้ว ถ้าเจ้ามีเรื่องลำบากอันใดอีกก็มาให้ข้าช่วยได้เลยนะ มิต้องเกรงใจ” โจวซือชู่เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าจริงใจ

‘มาเอ่ยเอาตอนนี้มิช้าไปรึ ? ตอนที่พวกเราเพิ่งแยกบ้านข้าก็จะไปขอให้เจ้าช่วยแล้ว แต่...พวกเรารอดจากสถานการณ์ที่ลำบากที่สุดมาได้แล้ว มาทำสัญญาตอนนี้ให้ได้อะไรขึ้นมากัน ? ’

พอคิดแบบนั้นหยูเสี่ยวเฉาก็รีบไล่คุณชายสามโจวออกไป ! ก่อนไปโจวซือชู่ก็ไม่ลืมเตือนนางว่านางมีหุ้นอยู่ในโรงงานเครื่องปรุงรส นางต้องคิดสูตรเครื่องปรุงเพิ่มอีกและไม่ควรลงแรงทั้งหมดไปที่ร้านผักดองเล็ก ๆ ร้านเดียว

หลังจากโบกมือลาคุณชายสามโจว เสี่ยวเฉาก็ได้มุ่งหน้าไปร้านผ้าที่เจียงหยู่กับพ่อของนาง และซื้อผ้าฝ้ายสีต่าง ๆ มาสองสามพับ นางยังได้ผ้าห่มที่เป็นผ้านวมอีก 4 ผืนและใช้เงินเกือบ 1 ตำลึงซื้อฝ้ายที่เอาไว้ยัดไส้ 10 ชั่ง

ฝ้ายเป็นพืชที่นิยมปลูกกันมากในสมัยราชวงศ์หยวน ในช่วงต้นราชวงศ์หมิง ประเทศยังวุ่นวายจากสงครามและดินแดนมากมายก็ถูกทิ้งร้าง ดังนั้นผลผลิตจากฝ้ายจึงลดลงอย่างรวดเร็วและราคาก็สูงขึ้นชนิดที่ไม่ลดลงเลย หลังจากฮ่องเต้องค์ปัจจุบันขึ้นครองราชย์ พระองค์ก็สนับสนุนให้ประชาชนบุกเบิกพื้นที่และเริ่มต้นเพาะปลูก พระองค์ได้ใช้นโยบายหลายอย่างทั้งลดภาษีและลดความต้องการในการเกณฑ์แรงงาน ราคาธัญพืชและพืชเศรษฐกิจจึงค่อย ๆ ลดลงอย่างช้า ๆ และมีเสถียรภาพขึ้นเล็กน้อย แต่ถึงยังไง สำหรับชาวบ้านส่วนใหญ่ที่ยากจน ราคาฝ้าย 70 อีแปะต่อชั่งนั้นก็ถือได้ว่าเป็นการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือย

หลังจากสองพ่อลูกซื้อผ้าและฝ้ายเสร็จ อีกเพียง 1 เค่อก็จะเข้ายามเซินแล้ว หากถือถุงฝ้ายขนาดใหญ่เดินไปมามันก็คงซื้อของไม่สะดวกเท่าใดนัก ดังนั้นทั้งสองคนจึงมุ่งหน้าไปยังตลาดวัวม้าเพื่อรับเกวียนลาพร้อมกับถุงข้าวของทั้งใหญ่และเล็กของพวกเขา

ชายชราที่ช่วยพวกเขาเฝ้าลาเอาไว้เมื่อได้รับเงิน 5 อีแปะไปแล้ว เขาก็มองลาป่วยที่นอนอยู่บนพื้นแล้วภาวนาอย่างเงียบ ๆ ว่าอย่าเพิ่งตายในตอนนี้

ในวัยเยาว์ชายชราผู้นี้เลี้ยงสัตว์ได้เก่งมากเสียทีเดียว แต่ตอนนี้เขาอายุมากขึ้นแล้วและเลี้ยงไม่ไหวอีกต่อไป เขาจึงจัดพื้นที่ให้คนมาฝากสัตว์และเกวียนของพวกเขา ทุกวันเขามีรายได้มากพอสมควร ถ้าวันนี้กิจการของเขาไม่ฝืดเคืองล่ะก็ เขาก็คงไม่รับงานยากที่ต้องคอยดูแลลาป่วย ๆ เช่นนี้หรอก

เขาได้ทำตามคำสั่งของเสี่ยวเฉาที่บอกให้เขาเอาน้ำให้ลาดื่มทุก ๆ ครึ่งชั่วยาม เขาคิดว่ามันแปลกเล็กน้อยที่เจ้าลาไม่แม้แต่จะดื่มน้ำแบบอื่นเลย แต่กลับดื่มน้ำในถุงน้ำของเด็กหญิงอย่างมีความสุข

หลังจากดื่มน้ำไป 2 ชาม เจ้าลาที่ใกล้ตายอยู่รอมร่อก็ดูเหมือนจะมีแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ  พอได้เวลาดื่มชามที่ 3 มันก็สามารถลุกขึ้นและร้องขออาหารจากเขาได้

เป็นไปได้หรือไม่ว่ามียาอยู่ในถุงน้ำนั่น ? เขาอยากจะถามสองพ่อลูกนั่นว่าใครเป็นคนทำมันขึ้นมา เพราะมันมีประสิทธิภาพดีมากจริง ๆ

5 อีแปะนั้นไม่ใช่แค่ค่าที่พักของลาเท่านั้น แต่ยังรวมค่าอาหารและน้ำด้วย แม้ว่าพวกเขาจะเอาน้ำของตนเองให้ แต่เขาก็ยังต้องให้อาหารจากร้านของเขาเองอยู่ดี หลังจากกินจนอิ่มเจ้าลาสีเทาก็งีบหลับไป ถึงจะผอมแต่มันก็ดูมีชีวิตชีวา

พอถึงยามเซิน เงาของหยูไห่ที่เดินกะเผลกเล็กน้อยก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าชายชรา สองพ่อลูกถือถุงขนาดใหญ่และเล็กมาด้วย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาซื้อของมาหลายอย่าง

เจ้าลาดูเหมือนจะมีความเชื่อมโยงกับพวกเขา พอมันเห็นเจ้านายตัวน้อยของมัน มันก็รีบยืนขึ้นทันทีและลืมตากว้าง มันส่งเสียงร้องให้คนทั้งสองอย่างร่าเริง “เจ้าเทา เป็นเยี่ยงไรบ้าง ?” เสี่ยวเฉาวิ่งเข้าไปหาลาน้อย นางใช้มือขวาที่มีหินศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ข้อมือตบหลังมันเบา ๆ และให้หินศักดิ์สิทธิ์รักษามันจากหัวจรดเท้าอีกครา

ลาน้อยหลับตาลงอย่างสบายใจและเอาหัวถูแขนของเสี่ยวเฉาไม่หยุด สีหน้าพริ้มของมันหากมองดูแล้วราวกับว่ามันกำลังรู้สึกสบายสุด ๆ

หยูไห่อุทานออกมาอย่างแปลกใจ “มันดีขึ้นจริง ๆ ! ดูมันแข็งแรงขึ้นอีกด้วย ! แต่พ่อมิแน่ใจว่ามันจะเดินไปจนถึงบ้านได้หรือไม่...เฉาเอ้อร์ วันนี้พ่อควรให้เฒ่าจางช่วยพวกเราเอาของกลับไปนะ”

ลาน้อยส่งเสียงร้องอีกสองครา มันพยายามบอกว่ามันไหว เสี่ยวเฉายิ้มและลูบหัวมัน  “ท่านพ่อเจ้าคะ ตอนนี้เกวียนของท่านปู่จางน่าจะมีคนขึ้นเต็มแล้ว เขาจะมีที่ให้เราวางของรึ ? ผ้ากับฝ้ายก็มิได้หนักมาก ให้เจ้าเทาลองขนกลับบ้านดูก็ได้นะเจ้าคะ”

หยูไห่ใส่สายลากเกวียนลงบนตัวลาอย่างชำนาญ จากนั้นก็วางข้าวของทั้งหมดลงบนเกวียน หลังจากคิดเพียงชั่วครู่เขาก็ได้ช่วยลูกสาวขึ้นไปนั่งบนเกวียน ถ้าเจ้าลาลากเกวียนไม่ไหว เขาก็สามารถช่วยดันเกวียนให้จากด้านข้างได้  ถึงยังไงลูกสาวของเขาก็อายุเพียงแค่ 8 ขวบเท่านั้นและวิ่งทำธุระมาตลอดทั้งวันแล้ว เขาไม่อยากให้นางเหนื่อยไปมากกว่านี้ นี่เป็นคราแรกที่หยูไห่ได้จูงเกวียนลา แต่ขณะที่พวกเขาออกจากตลาดวัวม้า ดูเหมือนเจ้าลาน้อยจะเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการและตามหลังเขาไปโดยไม่จำเป็นต้องบังคับทิศทางใด ๆ เลยแม้แต่น้อย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด