ตอนที่แล้วRe-new ตอนที่ 97 ลาป่วย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปRe-new ตอนที่ 99 เจอโดยบังเอิญ

Re-new ตอนที่ 98 ส่วนแบ่งกำไร


ตอนที่ 98 ส่วนแบ่งกำไร

หลังจากจ่ายค่าเล่าเรียนหนึ่งเดือนให้ฉีโตวและซื้อเกวียนลาไป 3 ตำลึง เสี่ยวเฉาก็เหลือเงินอยู่ประมาณ 4 ตำลึง นางจึงตัดสินใจใช้โอกาสที่อยู่ในเมืองซื้อข้าวของอย่างอื่นที่ครอบครัวของนางต้องการ

สองพ่อลูกฝากเกวียนลาไว้ที่ทางเข้าตลาดวัวม้าและจ่ายเงินให้ผู้ดูแล 5 อีแปะ เสี่ยวเฉาให้ถุงน้ำของนางกับชายชราและย้ำให้เขาเอาน้ำให้ลา 1 ถ้วยทุก ๆ ครึ่งชั่วยาม

ทั้งสองคนไปที่ตลาดอาหารที่ใหญ่ที่สุดในเมือง ผักและผลผลิตที่ตลาดมีให้เลือกเพียงน้อยนิดเท่านั้น ผักที่ขายส่วนใหญ่ก็มีผักกาดขาว หัวไชเท้า และมันเทศ เห็นได้ชัดว่าทั้งหมดถูกเก็บเอาไว้เป็นเวลานาน นอกจากนี้คนที่ขายเนื้อหรือไก่ก็มีไม่เยอะ

เสี่ยวเฉาไปที่ร้านค้าทั่วไปเพื่อซื้อเครื่องเทศ ซอสถั่วเหลือง และน้ำส้มสายชู ครานี้นางมีเงินอยู่ในมือเยอะเลยทีเดียว จึงสามารถชั่งเครื่องเทศแต่ละชนิดแยกกันได้ นางซื้อเครื่องเทศที่ต้องการอย่างละ 2 เหลียงซึ่งนางจะสามารถใช้ได้ประมาณ 10 วัน

นอกจากนี้เสี่ยวเฉายังนำกระบอกไม้ไผ่ที่มีขนาดต่างกัน 7 - 8 อันซึ่งพ่อของนางเป็นคนทำมาด้วย ทันทีที่นางเข้ามาที่ร้าน นางก็ได้เอากระบอกอันใหม่ให้กับเจ้าของร้านแทนอันที่นางขอยืมไปจากเขาคราที่แล้ว จากนั้นนางก็ขอให้เจ้าของร้านใส่ซอสถั่วเหลือง 1 ชั่งลงไปในกระบอกขนาดใหญ่ที่เหลือ

เจ้าของร้านจำได้ว่านางเป็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่ซื้อเครื่องเทศไปก่อนหน้านี้ตอนที่นางมาคืนกระบอกไม้ไผ่ให้เขา เขาจึงยิ้ม “แม่หนูน้อย เจ้าใช้เครื่องเทศหมดเร็วถึงเพียงนี้เลยรึ ? ที่บ้านของเจ้าต้องขายอาหารเป็นแน่ ใช่หรือไม่เล่า ?”

“ใช่เจ้าค่ะ ! ท่านลุงรู้ได้เยี่ยงไรเจ้าคะ ?” เสี่ยวเฉาให้เขาชั่งเครื่องปรุงที่นางต้องการและยิ้มหวานให้กับเจ้าของร้านที่ซื่อสัตย์และใจดีคนนี้

เจ้าของร้านยิ้มกว้าง “นอกจากขายอาหารแล้ว ครอบครัวธรรมดาทั่ว ๆ ไปที่ไหนจะยอมใช้เงินมากถึงเพียงนี้เพื่อซื้อเครื่องปรุงอาหารเล่า ? ไอหยา ! เจ้าซื้อเครื่องเทศมากกว่าครั้งที่แล้วเสียอีก ดูเหมือนเจ้าจะทำเงินได้เยอะเลยนี่ ! ยินดีด้วย ! ยินดีด้วย !”

เสี่ยวเฉายิ้มให้เขาและเอ่ยว่า “ข้าขายอาหารที่ท่าเรือและทำเงินได้นิดหน่อยเจ้าค่ะ ข้ามิแน่ใจว่าเมื่อใดจะมีเงินพอเปิดร้านในเมืองเหมือนท่านลุงเจ้าของร้านบ้าง”

เจ้าของร้านหัวเราะลั่นและเอ่ยว่า “ลุงก็ทำเงินได้แค่นิดหน่อยพอที่จะเอาชีวิตรอดเท่านั้น อย่าได้คิดว่าเปิดร้านแล้วจะมีแต่ความสวยงาม มันยังมีค่าเช่ากับเงินที่ต้องใช้ซื้อสินค้ากับของอื่น ๆ อีก หลังจากขายของได้ก็เหลือเงินมิมากแล้ว อย่าได้ดูถูกการขายอาหาร ตราบใดที่ทำผักดองได้อร่อย เจ้าก็หาเงินได้แล้ว เห็นร้านผักดองตรงนั้นหรือไม่ ? ช่วงสองวันที่ผ่านมาเขาเป็นที่นิยมมากเลยนะ ภรรยาของข้าก็ชอบหัวไชเท้าแห้งกรอบหวานกับผักกาดดองเผ็ดเป็นอย่างมาก ถ้ามิมีในอาหารทุกมื้อให้นาง นางก็จะกินข้าวได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น...”

“เมืองนี้เป็นที่ที่ดีสำหรับการหาเงินอย่างแท้จริง ขนาดผักดองยังขายออกได้เร็วถึงเพียงนี้ !” หยูไห่อุทานด้วยความพิศวงขณะที่ออกจากร้านขายของทั่วไป

เสี่ยวเฉาอมยิ้มและเอ่ยว่า “ท่านพ่อเจ้าคะ หากวันหนึ่งพอเรามีเงินมากพอ พวกเราก็จะสามารถเช่าร้านในเมืองได้เช่นกันเจ้าค่ะ ร้านของพวกเราจะขายอาหารตุ๋นหลาย ๆ แบบ  แล้วในเมื่อเป็นร้านเดียวที่ขายอาหารตุ๋นในเมือง พวกเราก็จะสามารถทำเงินได้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ...”

หยูไห่ตอบกลับลูกสาวอย่างมีความสุข “พอครอบครัวเรามีเงินมากขึ้น ก็ควรซื้อที่ดินเพิ่ม พวกเรามีแค่ที่ดินที่เป็นทรายแห้ง ๆ เพียงแค่ 3 แปลงเท่านั้นเอง ผลผลิตมิพอเลี้ยงพวกเราทั้งครอบครัวหรอก”

“พอเราเปิดร้านในเมืองและหาเงินได้ พวกเราก็จะสามารถซื้อที่ดินเพิ่มได้เจ้าค่ะ ! ท่านพ่อเจ้าคะ ที่ดินส่วนใหญ่ในหมู่บ้านเป็นดินทรายแห้ง ๆ ถ้าหากอยากซื้อที่ดินก็ควรซื้อที่ที่อยู่ใกล้เมือง ถึงตอนนั้นพวกเราก็สามารถย้ายบ้านไปอยู่ในเมืองได้ เช่นนี้ก็จะเป็นการหลีกเลี่ยงมิให้ท่านป้าใหญ่มายุ่งกับเราได้ด้วย...” เสี่ยวเฉารังเกียจนิสัยแย่ ๆ กับเล่ห์เหลี่ยมของนางหลี่ นางชอบซุบซิบนินทาผู้อื่นอยู่ตลอด นางไม่เคยเอ่ยสิ่งดี ๆ ของผู้อื่นเลยด้วยซ้ำ

หยูไห่ขมวดคิ้วและกล่าวตำหนิเสี่ยวเฉาเบา ๆ “พูดถึงท่านป้าใหญ่เช่นนั้นได้เยี่ยงไรกัน ? ระวังอย่าให้ผู้อื่นได้ยินเข้าเชียว พวกเขาจะกล่าวว่าลูกเป็นเด็กนิสัยมิดีเอาได้ !”

เสี่ยวเฉาเหยียดยิ้มเล็กน้อยแล้วลอบบ่นในใจว่า ‘ก็ท่านป้าใหญ่เป็นคนที่หน้าด้านที่สุดมิใช่หรือเยี่ยงไรกัน ? นางคือตัวปัญหา ! ’

ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเรียกชื่อของพวกเขา “น้องต้าไห่ เสี่ยวเฉา ! พวกเจ้าก็เข้าเมืองเช่นกันรึ ? ซื้อของมาเยอะเลยนี่ !”

เสี่ยวเฉาหันหน้ากลับไปมองและเห็นนางฟางเพื่อนบ้านของพวกเขากำลังโบกมือให้  ตะกร้าด้านหน้านางมีไก่ตัวอ้วนอยู่ 2 ตัวและตะกร้าข้าง ๆ กลับว่างเปล่า

“ท่านป้าโจว มาขายไข่ไก่ที่ตลาดหรือเจ้าคะ ? ขายดีหรือไม่เจ้าคะ ?” เสี่ยวเฉาเดินไปด้านหน้าสองสามก้าวและหยุดข้าง ๆ นางฟาง นางถามขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มหวาน

นางฟางช่วยปัดปอยผมที่แก้มให้นางและยิ้ม “ก็มิเลว ไข่ไก่ถูกขายไปจนหมดแล้ว เหลือเพียงแค่ไก่มิกี่ตัว พวกเจ้านั่งเกวียนวัวของเฒ่าจางมาที่นี่ใช่หรือไม่ ? ที่โรงเรียนเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ฉีโตวเข้าเรียนได้แบบมิมีปัญหาอันใดใช่หรือไม่ ?”

“มีท่านพี่เฉียนเหวินคอยชี้แนะก็เลยราบรื่นดีเจ้าค่ะ พอดีเครื่องเทศที่บ้านมีมิพอก็เลยลองมาดูที่ตลาดอาหาร ท่านป้าโจวขายต่อเถอะเจ้าค่ะ ว่าแต่ท่านป้าจะนั่งเกวียนกลับหมู่บ้านด้วยกันหรือไม่เจ้าคะ ? วันนี้ข้ากับท่านพ่อซื้อเกวียนลามาได้ด้วย !” เสี่ยวเฉามีความสุขและตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่สามารถซื้อเกวียนลาได้ในราคาถูก นางจึงอดบอกข่าวดีนี้ให้นางฟางรู้ทันทีมิได้

นางฟางตอบด้วยสีหน้าประหลาดใจ “ไอหยา เสี่ยวเฉา ! เจ้าขายอาหารตุ๋นเพียงแค่ไม่กี่วันก็ซื้อเกวียนได้แล้วรึ ? เยี่ยงนั้นตอนเรากลับบ้าน ป้าโจวคงต้องเอาเปรียบเจ้าหน่อยแล้ว...”

หยูไห่ที่ยืนอยู่ด้านข้างรีบเอ่ยแทรกขึ้นมาว่า “ท่านฟางอย่าไปฟังนางเลย ! ตอนพวกเราอยู่ที่ตลาดวัวม้า พวกเราเจอเพื่อนร่วมโรงเรียนของฉีโตวที่ต้องการเงินมากเลยมาขายลาที่กำลังป่วย เสี่ยวเฉาเห็นว่าลามันน่าสงสารก็เลยใช้เงิน 3 ตำลึงซื้อลากับเกวียนไว้ ลาตัวนั้นดูป่วยหนักเป็นอย่างมาก มิรู้ว่าจะรอดหรือไม่ !”

พอได้ยินว่าพวกเขาเสียเงิน 3 ตำลึงเพื่อซื้อลาใกล้ตาย นางฟางก็ไม่แน่ใจว่าควรจะเอ่ยอะไรดี นางจึงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เสี่ยวเฉาของเรามีจิตใจที่ดีจริง ๆ เลยนะ ! คนดีก็ต้องเจอกับสิ่งดี ๆ สิ ลาตัวนั้นจะต้องดีขึ้นเป็นแน่...”

ตอนนั้นเองก็มีคนเข้ามาถามนางฟางว่านางขายไก่ราคาเท่าใด เสี่ยวเฉาจึงรีบเอ่ยขึ้นว่า  “ท่านป้าโจวขายของเถอะเจ้าค่ะ แล้วตอนบ่ายพวกเราค่อยกลับบ้านด้วยกันนะเจ้าคะ”

หลังจากกล่าวลานางฟาง สองพ่อลูกก็เดินออกมา เพียงแต่เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็มีคนเข้ามาเรียกพวกเขาไว้ เจียงหยู่ เด็กหนุ่มที่เปิดร้านขายผักดองเดินออกมาจากร้านและทักทายพวกเขาพร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า “ผู้มีพระคุณ ผู้มีพระคุณ รอก่อนขอรับ !”

หยูไห่รู้สึกสับสนงุนงง เขามิคุ้นหน้าค่าตาเด็กหนุ่มผู้นี้เลยสักนิด เขาไปช่วยเด็กคนนี้ตอนไหนกัน ? ใครจะคิดว่าหยูไห่คิดผิด คนที่เด็กหนุ่มกำลังขอบคุณมิใช่เขา

“อ่า...ท่านคือคนที่เปิดร้านผักดองใช่หรือไม่ ?” เสี่ยวเฉาชี้ไปที่ร้านผักดองที่อยู่ใกล้ ๆ ด้านในมีคนหลายคนกำลังซื้อผักดองอยู่ ชายวัยกลางคนที่ดูคล้ายเจียงหยู่กำลังยุ่งอยู่กับการช่วยเหลือลูกค้าด้านใน

เสี่ยวเฉายิ้มให้เด็กหนุ่มผู้นั้น “ดูเหมือนตอนนี้จะขายดีขึ้นแล้วนะเจ้าคะ !”

เจียงหยู่ตอบอย่างมีความสุขว่า “ต้องขอบคุณผู้มีพระคุณเป็นอย่างมากขอรับ สูตรผักดองที่ให้มาข้าเอามาทำหมดแล้ว ตอนนี้ก็วางขายอยู่ ทุกคนต่างก็ชอบรสชาติมันมากเลยนะ สินค้าใหม่นี้ดึงลูกค้าทั้งเก่าและใหม่มาได้มากมาย สองสามวันมานี้ท่านพ่อของข้ากล่าวถึงท่านมิหยุดเลย เอาแต่บอกข้าว่าพวกเราต้องแสดงความขอบคุณท่านด้วยตนเองให้ได้ เมื่อกี้ตอนที่ท่านกำลังคุยกับคนอื่นอยู่ตรงโน้น ข้าก็เห็นว่าท่านดูคุ้น ๆ ตาพอเข้ามาใกล้ถึงได้รู้ว่าเป็นท่าน ผู้มีพระคุณ เชิญไปนั่งสนทนาที่ร้านของข้ากันก่อนเถอะขอรับ...”

หยูไห่มองลูกสาวของเขาอย่างตกใจและประหลาดใจ ลูกสาวของเขากลายเป็น ‘ผู้มีพระคุณ’ ของครอบครัวนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ?

เจียงหยู่กระตือรือร้นมากเสียจนเสี่ยวเฉามิสามารถปฏิเสธคำเชิญของเขาได้ นางจึงเดินตามเขาเข้าไปในร้านผักดอง ในร้านมีกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของผักดองอยู่ เทียบกับคราก่อนแล้วกลิ่นของมันน่ากินขึ้นมาก

“เฒ่าเจียง เอาหัวไชเท้าแห้งเผ็ดครึ่งชั่งกับหวานเผ็ดครึ่งชั่ง...อะไรกัน ? แบบเผ็ดขายหมดแล้วรึ ? แล้วจะมีขายเมื่อใด ? อีก 2 วันรึ ? เยี่ยงนั้นเอาแค่หวานเผ็ดครึ่งชั่งก็ได้...แล้วก็เพิ่มผักกาดเผ็ดครึ่งชั่งด้วย !” ผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูแข็งแรงอายุราว 40 ปีทำสีหน้าผิดหวังเมื่อได้ยินว่าหัวไชเท้าแห้งเผ็ดถูกขายไปจนหมดแล้ว

ชายชราอีกคนที่อยู่ในวัยห้าสิบส่ายหน้าแล้วยิ้มขึ้น “เจ้าของร้านเจียง ตอนนี้ผักดองของร้านท่านอร่อยกว่าตอนที่เมียท่านยังอยู่อีก ท่านได้คำแนะนำจากคนเก่ง ๆ มาใช่หรือไม่ ?”

เจ้าของร้านเจียงกำลังชั่งผักดองที่ลูกค้าสั่ง เขายิ้มและตอบกลับว่า “ใช่ ! เป็นเยี่ยงนั้นแหละ ! ข้าได้คนที่เก่งกาจเป็นอย่างมากมาให้คำแนะนำ ท่านลุงหลู่ก็รู้ว่าเมียข้าตายไปอย่างกะทันหัน เยี่ยงนั้นสูตรผักดองทั้งหมดก็ลงหลุมไปกับนางด้วย ลูกชายกับลูกสาวของข้าก็ได้เรียนรู้วิธีดองผักจากนางแค่เพียงพื้นฐานง่าย ๆ เท่านั้น ถ้ามิใช่เพราะลูกค้าเก่ายังช่วยอุดหนุนร้านข้าอยู่ ร้านข้าก็คงเจ๊งไปตั้งนานแล้ว”

ถึงตอนนี้เขาก็อดส่ายหัวไม่ได้ ชายชราอีกคนก็ถอนหายใจ จากนั้นเจ้าของร้านเจียงก็เอ่ยต่อว่า “ไม่กี่วันก่อนลูกชายของข้าได้รับความช่วยเหลือจากผู้ที่เก่งกาจท่านหนึ่ง เขาให้สูตรผักดองของเขามา แล้วพอพวกเราลองทำก็พบว่ามันอร่อยกว่าที่เมียข้าทำเสียอีก...ถือถั่วหมักกับผักกาดเผ็ดให้ดี ๆ นะขอรับ หากอร่อยก็เชิญมาอุดหนุนอีกนะขอรับ !”

ชายชราหัวเราะเบา ๆ “ท่านมิเอ่ยข้าก็กลับมาอุดหนุนอยู่แล้ว ! ภรรยาข้ากินแต่ผักกาดขาวกับหัวไชเท้ามาตลอดฤดูหนาวเลยมิอยากอาหาร พอได้กินผักกาดเผ็ดที่ข้าซื้อไปเมื่อ 2 วันก่อน นางกินข้าวเพิ่มอีกตั้ง 2 ถ้วย ตอนนี้ถ้ามิมีผักกาดเผ็ดของท่านบนโต๊ะนางถึงขั้นมิยอมกินข้าว...”

หญิงสาวที่อยู่ด้านข้างก็เอ่ยแทรกขึ้นมาอย่างเห็นด้วยว่า “ใช่ ๆ ลูกของข้าก็แทบจะเปลี่ยนหัวไชเท้าหวานกรอบของท่านเป็นของว่างไปแล้ว ถ้าข้ามิซื้อไปให้เขา เขาก็จะอาละวาด ! โชคดีนะที่ผักดองของท่านถูกและคุณภาพดี มิเยี่ยงนั้นข้าคงมิสามารถตามใจเขาได้ !” แล้วนางก็เร่งให้เจ้าของร้านชั่งหัวไชเท้าหวานกรอบให้นาง

เจ้าของร้านเจียงยิ้มอย่างถ่อมตัวและเอ่ยว่า “กินผักดองมากเกินไปก็มิดีนะขอรับ ให้เขากินอาหารปกติให้มากขึ้นจะดีกว่า อีกสองสามเดือนผักที่ปลูกใหม่ก็จะออกสู่ตลาดแล้ว  ให้ลูกท่านกินผักใบเขียวเยอะ ๆ เถอะขอรับ...”

“ท่านพ่อ ! เป็นผู้มีพระคุณของเราจริง ๆ ด้วย ! ข้าเชิญนางมาแล้ว !” เจียงหยู่เดินยิ้มกว้างเข้ามาอย่างร่าเริง

เจ้าของร้านเจียงเห็นหยูไห่ที่อยู่ด้านหลังลูกชายของเขาก็รีบเข้าไปจับมือหยูไห่ โดยลืมไปว่ามือของเขายังเหนียวจากน้ำผักดองอยู่ เขาเอ่ยว่า “ผู้มีพระคุณ ! ในที่สุดข้าก็มีโอกาสได้พบท่านเสียที ! ท่านคือคนที่ช่วยร้านผักดองเล็ก ๆ ของพวกเราเอาไว้ !”

หยูไห่ทำสีหน้ากระอักกระอ่วน เขามองมือที่เปื้อนน้ำผักดองอย่างเหม่อลอย เจียงหยู่ดึงพ่อของเขาออกไปทันทีและยิ้มอย่างขัดเขิน “ท่านพ่อ ขอบคุณผิดคนแล้ว คนที่สอนสูตรผักดองให้ข้าคือเด็กผู้หญิงที่อยู่ด้านหลังเขาต่างหาก ที่ท่านพ่อขอบคุณไปน่ะเป็นท่านพ่อของผู้มีพระคุณของพวกเรา...”

เจ้าของร้านเจียงหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “เหมือนกันแหละน่า เหมือนกัน ! อ่า...น้องชาย เจ้ามีลูกสาวที่ใจดีมีเมตตาดังเช่นพระโพธิสัตว์ลงมาจุติก็มิปาน !”

หยูไห่ตอบอย่างถ่อมตนว่า “ท่านชมเกินไปแล้ว ลูกของข้าชอบทดลองทำอาหารมาตั้งแต่นางยังเด็ก ก็เลยมีฝีมือทางนี้นิดหน่อยน่ะขอรับ”

เสี่ยวเฉากรอกตาและลอบคิดในใจว่า ‘ท่านพ่อ นี่พยายามถ่อมตนแล้วรึ ? เหตุใดถึงดูเหมือนกำลังอวดลูกสาวมากกว่าเล่า ? ’

เจียงหยู่เอาสมุดบัญชีออกมาและเปิดให้เสี่ยวเฉาดู เขาเอ่ยอย่างกระตือรือร้นว่า “ผู้มีพระคุณ ถึงสูตรที่ท่านสอนจะต้องใช้เครื่องเทศกับเครื่องปรุงมากกว่าสูตรอื่น ๆ แต่รสชาติของสินค้าก็ดีมากด้วย เราต้องใช้เงินลงทุนมากขึ้นแต่ก็สามารถตั้งราคาให้สูงขึ้นได้อีกนิดหน่อยและลูกค้าก็ยังซื้ออยู่ ช่วงที่ผ่านมาของที่ขายดีที่สุดก็คือหัวไชเท้าแห้งเผ็ดกับผักกาดเผ็ด ลูกค้าหลายคนก็ชอบถั่วหมักด้วยเช่นกัน...”

เด็กหนุ่มคนนั้นกลัวว่าเสี่ยวเฉาจะอ่านหนังสือไม่ออก เขาก็เลยพูดอธิบายไปเรื่อย ๆ เสี่ยวเฉามองสมุดบัญชี แม้ว่ามันจะเขียนแบบโบราณ แต่นางก็จำตัวอักษรส่วนใหญ่ได้  มองแล้วก็รู้ว่าพวกเขาขายผักดองได้เท่าใด รวมถึงกำไรที่ทำได้ด้วย

แค่ไม่กี่วันร้านผักดองเล็ก ๆ นี้ก็มีรายได้ถึง 45 ตำลึงและกำไร 20 ตำลึงแล้ว ทำให้นางอยากถอนหายใจด้วยความเสียใจ ในเมืองหาเงินได้ง่ายที่ท่าเรือจริง ๆ ด้วย !

ตอนนี้ไม่มีคนอื่นอยู่ในร้าน เจ้าของร้านเจียงจึงเอาเงิน 5 ตำลึงออกมาและเอ่ยว่า “ผู้มีพระคุณ ! ตอนนั้นพวกเราทำข้อตกลงกันว่าจะแบ่งกำไรกัน 20 - 80 นี่เป็นส่วนแบ่งของท่านในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา โปรดรับไว้ด้วยเถอะขอรับ”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด