ตอนที่แล้วRe-new ตอนที่ 44  ความผิดหวังอันขมขื่น
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปRe-new ตอนที่ 46  ข้อแก้ตัว

Re-new ตอนที่ 45  รวย รวย รวย


ตอนที่ 45 รวย รวย รวย

“อ้าว ! เสี่ยวเฉาหนาวถึงเพียงนี้เจ้ายังขึ้นเขาไปวางกับดักอยู่อีกรึ ?” ขณะที่นางกำลังลังเล เสียงของคุณชายสามก็ดังขึ้น

หยูเสี่ยวเฉาหันไปมองและเห็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งในชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มก้าวลงมาจากรถม้าคันหรู นี่มันคุณชายสามตระกูลโจวมิใช่รึ ?

“คุณชายสาม บังเอิญจังเลยเจ้าค่ะ ข้ากำลังจะไปส่งสัตว์ที่ท่านสั่งไว้อยู่พอดี ! วันนี้เราจับมาได้เยอะเลยทีเดียว ข้าแบกมาเองมิไหวก็เลยขอให้ท่านพ่อมาช่วยแบก !” หยูเสี่ยวเฉาดันตัวพ่อให้เข้าไปใกล้โจวซือชู่

หยูไห่ยิ้มเป็นเชิงขอโทษ “ท่านผู้จัดการหลิว ข้าต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ! ร้านเจินซิวสั่งจองสัตว์พวกนี้กับลูกสาวของข้าเอาไว้ทั้งหมดแล้ว คราหน้าถ้ามีโอกาสข้าจะนำมาขายให้กับผู้จัดการหลิวนะขอรับ”

สีหน้าของผู้จัดการหลิวบึ้งตึงขึ้นมาทันที เขาถ่มน้ำลายตามหลังหยูไห่ “เป็นแค่พรานจน ๆ สกปรกแท้ ๆ สมควรจะมาคุย ‘ธุรกิจ’ กับข้ารึเยี่ยงไรกัน ? พนักงานทุกคนจงฟัง ! วันหน้าเราจะไม่รับสัตว์ที่ตระกูลหยูส่งมาเป็นอันขาด ! ให้พวกมันเกาะติดร้านเจินซิวไปนั่นแหละ ! ฮึ่ม !”

ถึงผู้จัดการหลิวจะพูดอย่างหยิ่งยโสเช่นนั้น แต่ในใจของเขากลับรู้สึกทุกข์ใจเป็นอย่างมาก ปีนี้หิมะตกหนักมากจริง ๆ ช่วงพายุหิมะเช่นนี้มีพรานเพียงไม่กี่คนเท่านั้นมิใช่รึ ? ที่กล้าขึ้นภูเขาไปล่าสัตว์ ดังนั้นร้านอาหารในเมืองทุกร้านจึงขาดแคลนเนื้อสัตว์ เยี่ยงนั้นเขาคงไม่ลดตัวลงไปทำท่าสนิทสนมกับคนที่เป็นแค่พรานหรอก !

ผู้จัดการหลิวได้แต่มองสัตว์พวกนั้นอย่างอิจฉา ส่วนคุณชายสามก็รู้สึกแปลกใจและพอใจเป็นอย่างมาก โจวซือชู่ยิ้มอย่างดีใจขณะที่มองกวางบนบ่าของหยูไห่

“ท่านอาหยูนี่เป็นผู้ช่วยชีวิตของข้าจริง ๆ ! ตอนสิ้นปีท่านผู้พิพากษากับพวกขุนนางชนชั้นสูงในเมืองจองโต๊ะที่ร้านเจินซิวไว้หมดแล้ว ข้ากำลังกังวลอยู่ว่าจะมิมีอาหารจานเด็ดให้พวกเขา ! หากมีกวางตัวนี้เพิ่มเข้ามา ชื่อเสียงของร้านเจินซิวของข้าจะขึ้นไปอีกระดับอย่างแน่นอน !”

“ชู่เอ้อร์ นี่คือผู้ช่วยชีวิตร้านเจินซิวที่ลูกพูดถึงเยี่ยงนั้นรึ ?” เสียงอันอ่อนโยนและนุ่มนวลดังออกมาจากรถม้า

คุณชายสามโจวยิ้มให้เสี่ยวเฉา แล้วตอบคนที่อยู่ในรถม้าว่า “ท่านแม่ เด็กผู้หญิงคนนี้เป็นคนให้สูตรซอสหอยนางรมกับพวกเรามาขอรับ นางชื่อหยูเสี่ยวเฉา ที่ร้านเจินซิวของเราชนะร้านฝูหลินที่เก่าแก่กว่าและมีชื่อเสียงมากกว่าได้ก็เพราะซอสหอยนางรมของนางนี่แหละขอรับ เยี่ยงนั้นมันมิใช่การพูดเกินจริงแต่อย่างใด ที่ว่านางคือผู้ช่วยชีวิตของร้านเจินซิว”

นางโจวไม่สะดวกออกมาจากรถม้าเพราะมีชายแปลกหน้าอยู่ด้วย นางจึงทำได้เพียงแสดงความขอบคุณอยู่ในรถม้า “ข้าขอขอบคุณเป็นอย่างมากคุณหนูหยูที่มีน้ำใจสอนสูตรลับของคุณหนูให้กับพวกเรา ชู่เอ้อร์ เจ้าอย่าลืมเชิญคุณหนูหยูคนนี้ไปที่บ้านเราบ้างล่ะ แม่อยากขอบคุณนางด้วยตนเอง”

หยูเสี่ยวเฉารีบเอ่ยขึ้นมาว่า “ท่านฮูหยินเกรงใจเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ถ้าข้าเก็บสูตรซอสหอยนางรมเอาไว้กับตัว ก็มีแค่ครอบครัวของข้าที่ได้กิน แต่ถ้าข้าเอาสูตรให้ร้านเจินซิวล่ะก็  จะมีคนอีกมากมายที่ได้กินอาหารอร่อย ๆ สูตรอาหารจะสะท้อนคุณค่าของมันออกมาได้เมื่ออยู่ในมือของคนที่เห็นคุณค่าและใช้มันเป็น ท่านฮูหยินมิคิดเยี่ยงนั้นรึเจ้าคะ ?”

เมื่อนางโจวได้ยินคำตอบของเสี่ยวเฉาก็อดมองเด็กหญิงชาวบ้านคนนี้ด้วยสายตาที่แตกต่างออกไปมิได้ วิธีการพูดจาและความคิดของนางดีกว่าสตรีสูงศักดิ์บางคนในเมืองเสียอีก

“ท่านแม่กลับไปก่อนเถอะนะขอรับ ข้าต้องไปจัดการงานที่ร้านอาหาร” ตอนนี้โจวซือชู่สนใจแค่สัตว์ที่หยูไห่จับมา เขาไม่ห่วงเรื่องเงินเพราะเรื่องนี้มีผลกระทบกับชื่อเสียงของร้านด้วย

หากร้านเจินซิวนำกวางทั้งตัวขึ้นโต๊ะของงานเลี้ยงได้ในขณะที่ร้านอาหารอื่น ๆ มิสามารถหาเนื้อสัตว์มาขายได้ ชื่อเสียงของร้านเจินซิวจะต้องสูงขึ้นไปอีกระดับเป็นแน่

“เสี่ยวเฉา เจ้าเป็นดาวนำโชคของข้าจริง ๆ ! เนื้อสัตว์ที่เราเก็บไว้ก่อนหิมะตกได้ขายหมดไปนานแล้ว ตอนนี้ลูกค้าประจำที่มีชื่อเสียงบางคนเริ่มร้องขออาหารจานเนื้อที่สด ๆ ใหม่ ๆ ตอนนี้ข้าเป็นกังวลเสียจนผมจะหงอกทั้งหัวอยู่แล้ว ตอนสิ้นปีถ้าอาหารร้านของข้ายังธรรมดาเกินไปแล้วล่ะก็ มันคงไม่เข้าท่าเป็นแน่ !” โจวซือชู่รับสัตว์จากมือของเสี่ยวเฉาแล้วเดินอยู่ข้าง ๆ นาง

หยูไห่ที่เดินอยู่ด้านหลังรู้สึกตกตะลึงอยู่ภายในใจ ‘ลูกสาวของเราไปสนิทสนมกับนายน้อยร้านเจินซิวตั้งแต่เมื่อใดกัน ? ’

เมื่อพวกเขาไปถึงร้านเจินซิว คุณชายสามโจวก็ได้สั่งให้พนักงานเอาสัตว์พวกนั้นเข้าไปในครัว หลังจากนั้นเขาก็ได้เชิญหยูไห่และหยูเสี่ยวเฉาเข้าไปในห้องส่วนตัวของเขา และได้จุดไฟที่เตาผิง เขามองใบหน้าที่แดงขึ้นของเสี่ยวเฉาแล้วอดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้

“เจ้าต้องหนาวมากเป็นแน่เลยใช่หรือไม่ ? มาอยู่ข้าง ๆ เตาเร็วเข้า ร่างกายจะได้อุ่น ๆ  บนภูเขามีหิมะตั้งมากมายกองพะเนิน ไปล่าสัตว์ในเวลาเยี่ยงนี้ต้องลำบากมากเป็นแน่ ท่านอาหยู ฝีมือการล่าสัตว์ของท่านอานี่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง !”

หยูไห่เอามือกุมถ้วยชาร้อน ๆ ไว้เพื่อให้ร่างกายอุ่นขึ้น เขามองการตกแต่งที่หรูหราอลังการในห้องส่วนตัวแล้วลอบถอนหายใจ ‘ข้ามาขายสัตว์ที่ร้านเจินซิวไม่รู้ตั้งกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่มิเคยได้รับการปฏิบัติเยี่ยงนี้เลยแม้แต่คราเดียว ต้องขอบคุณเสี่ยวเฉาจริง ๆ ! ’

เห็นนางโจวบอกว่าพวกเขาเรียนสูตรทำซอสหอยนางรมจากลูกสาวของเขา เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าลูกสาวของเขามีความสามารถเช่นนี้ด้วย ในใจของหยูไห่รู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก

เมื่อหยูไห่ได้ยินนายน้อยของร้านเจินซิวพูดกับเขาอย่างสุภาพ เขาก็รีบยืดตัวทำหลังตรงแล้วตอบกลับว่า “คุณชายสามโจวชมข้าเกินไปแล้ว วันนี้ข้าก็เพียงแค่โชคดีเท่านั้น ไม่คิดด้วยซ้ำว่าแค่วางกับดักข้าจะจับสัตว์มาได้มากถึงเพียงนี้”

“ท่านอาหยูเรียกข้าว่าซือชู่เถิดขอรับ ข้ารู้ว่าเสี่ยวเฉาเก่งเรื่องวางกับดัก แต่มิรู้ว่าจะเป็นความสามารถที่สืบทอดต่อกันมาในตระกูลหยู !” น้ำขิงที่โจวซือชู่สั่งให้ต้มมาถึงแล้ว  เขาส่งมันให้หยูไห่กับเสี่ยวเฉาด้วยตนเอง

เมื่อเห็นว่าลูกสาวรับน้ำขิงไปด้วยท่าทางสบาย ๆ หยูไห่จึงทิ้งพิธีการและท่าทางแบบเป็นทางการลง เขาดื่มน้ำขิงตอนที่มันยังคงอุ่น ๆ และเมื่อร่างกายของเขาอุ่นขึ้นแล้วเขาจึงยิ้มและเอ่ยว่า “พวกเรามิใช่ครอบครัวที่ทุ่มเทให้กับการล่าสัตว์หรอก ข้าเรียนวิธีการล่าสัตว์มาจากท่านพี่จ้าวที่เป็นพรานเช่นกัน ท่านพี่จ้าวปู้ฝานคือผู้เชี่ยวชาญการล่าสัตว์อย่างแท้จริง !”

“ร้านเจินซิวของเราต้องขอบคุณท่านอาหยูกับท่านอาจ้าวที่ช่วยเหลือเรามาตลอด เพื่อแสดงความขอบคุณ ข้าขอเลี้ยงอาหารพวกท่านตอนบ่ายนี้นะขอรับ หวังว่าท่านอาหยูจะรับความจริงใจนี้ของข้า...” ไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์ทางธุรกิจของพวกเขา โจวซือชู่ก็รู้สึกได้ว่าความใจกว้างมีน้ำใจและความช่วยเหลือที่ลูกสาวของหยูไห่มีให้กับเขาก็มากพอที่จะทำให้เขาปฏิบัติกับสองพ่อลูกอย่างอบอุ่นและจริงใจ

หยูไห่รีบปฏิเสธ “คุณชายสามโจวอย่าได้สิ้นเปลืองเงินทองเลย ข้ายังต้องรีบไปที่ร้านยาถงเหรินและขอให้ท่านหมอซุนตรวจอาการของเฉาเอ้อร์อีก !”

“เสี่ยวเฉามิสบายเยี่ยงนั้นรึ ? หมอซุนแห่งร้านยาถงเหรินเก่งมากเลยขอรับ ข้าให้คนไปเชิญหมอซุนมาที่นี่ดีหรือไม่ ?” โจวซือชู่มองสำรวจหยูเสี่ยวเฉาอย่างละเอียดและรู้สึกโล่งอกที่เห็นว่านางไม่ได้ป่วย

หยูเสี่ยวเฉาดื่มน้ำขิงขม ๆ ด้วยใบหน้าเหยเก แล้วโบกมือปฏิเสธเขา “ข้าสบายดี เพียงแค่ตกใจนิดหน่อยเมื่อตอนเช้า แต่ตอนนี้มิเป็นอะไรแล้ว ท่านพ่อของข้าขี้กังวลเกินไปแล้ว !”

หยูไห่คิดในใจ ‘เมื่อเช้าลูกถึงกับเป็นลมเลยมิใช่รึ จะบอกว่าพ่อขี้กังวลเกินไปได้เยี่ยงไรกัน ? ’

หยูเสี่ยวเฉาพูดต่ออีกว่า “แต่ช่วงนี้อากาศหนาวขึ้นทุกที ไม่รู้ว่าท่านพี่ใหญ่มีเสื้อผ้าอุ่น ๆ ใส่บ้างหรือไม่ ? คุณชายสามโจวเจ้าคะ แถวนี้มีร้านขายเสื้อผ้ารึไม่ ? ข้าอยากซื้อเสื้อกันหนาวให้พี่ใหญ่ใส่”

โจวซือชู่พูดด้วยสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย “บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกข้าว่า ‘คุณชายสามโจว’ ฟังดูแล้วเหมือนคนแปลกหน้า ข้าแก่กว่าเจ้าเพียง 5 ปี จะเรียก ‘พี่โจว’ ก็ไม่ผิดอันใดมิใช่รึ ? เจ้ามิต้องไปซื้อเสื้อกันหนาวหรอก ข้ามีเสื้อกันหนาวที่บ้านอยู่หลายตัว บางตัวมันเล็กเกินไปข้ายังมิได้ใส่เลยด้วยซ้ำ ถ้าหากเจ้ามิรังเกียจก็เอาไปให้พี่ชายของเจ้าใส่ก็ได้”

“ไม่ มิได้ ! พี่ชายของข้าเป็นเด็กฝึกงานที่ร้านไม้ ไม่เหมาะเป็นแน่ถ้าให้เขาสวมเสื้อผ้าชั้นดีของท่าน ! ข้าซื้อเสื้อกันหนาวที่ทำจากผ้าฝ้ายหยาบ ๆ ดีกว่าเจ้าค่ะ จะได้ไม่ทำสะดุดตามากเกินไป !” หยูเสี่ยวเฉามองชุดคลุมผ้าไหมสีน้ำเงินเข้มบนตัวของคุณชายสามโจว มันไม่เหมาะกับชาวบ้านยากจนอย่างพวกเขาเป็นแน่

บ่าวรับใช้ของโจวซือชู่ที่ทำตัวเหมือนเงาไม่มีตัวตนก็ได้พูดขึ้น “คุณชายขอรับ ท่านแม่ของข้าทำเสื้อกันหนาวให้ข้าตอนต้นปี เมื่อหลายวันก่อนข้าเอามาลองแล้วมันสั้นเกินไป  เสื้อทำจากผ้าฝ้าย ข้ายังมิเคยใส่เลยสักครา ถ้าคุณหนูหยูมิรังเกียจล่ะก็...”

“เอามาให้ข้าดูสิ ! แล้วก็เอาผ้านวมที่บ้านของข้ามา 2 ผืนด้วย อากาศหนาวเยี่ยงนี้ ข้ามิอยากให้น้องหยูฮังได้รับความหนาวมากจนเกินไป !” หลังจากโจวซือชู่ออกคำสั่งเสร็จ  เขาก็รู้ว่าหยูเสี่ยวเฉาจะไม่อยู่กินข้าว จึงสั่งพนักงานให้เอาสัตว์พวกนั้นไปชั่ง

สักพักพนักงานก็กลับมาจากในครัวและรายงานว่า “กวางตัวผู้ 260 ชั่ง ส่วนพวกตัวเล็ก ๆ รวมกันได้ทั้งหมด 35 ชั่งขอรับ”

โจวซือชู่ย่อมไม่กดราคาพวกเขาอยู่แล้ว หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็พูดว่า “ช่วงก่อนที่หิมะจะตกกวางจะราคาอยู่ที่ 60 อีแปะต่อชั่ง แต่ราคาตลาดของฤดูหนาวนี้มันขึ้นถึง 100 อีแปะต่อชั่ง กวางที่พวกท่านจับมายังมีชีวิตอยู่ เลือดกวางกับอัณฑะกวางเป็นของดีทั้งคู่...เยี่ยงนั้นเอางี้ก็แล้วกัน กวางตัวนี้ข้าให้ 120 อีแปะต่อชั่ง ส่วนพวกตัวเล็ก ๆ ก็ให้ราคาเป็นสองเท่าเหมือนกัน พวกเจ้าคิดว่าเป็นเยี่ยงไร ?”

“เนื้อกวางขายได้ 100 อีแปะ แต่กวางของข้าหนักขนาดนั้นก็เพราะขน จะให้เราเรียกราคา 120 อีแปะต่อชั่งได้เยี่ยงไรกันแค่ 100 อีแปะต่อชั่งก็เอาเปรียบท่านมากเกินไปแล้ว !” หยูไห่ไม่ใช่คนที่ชอบเอาเปรียบผู้อื่น

โจวซือชู่หัวเราะลั่น “ถ้ากล่าวถึงเรื่องการเอาเปรียบ ข้าต่างหากที่เป็นฝ่ายได้กำไรมากที่สุด ข้าสามารถขายกวางตัวนี้ได้ในราคาที่สูงขึ้นอย่างน้อย 10 เท่าจากราคาที่ซื้อมา ถ้าท่านอาหยูไม่ส่งกวางตัวนี้มาที่ร้านเจินซิวเพราะเห็นแก่มิตรภาพของเรา ข้าจะใช้มันทำเงินได้เยี่ยงไร ? ข้ามิได้จะว่าท่านอาหยูนะขอรับ แต่ท่านอามิได้ตรงไปตรงมาดังเช่นลูกสาวของท่านอาเลย”

หยูไห่ยิ่งประหลาดใจมากขึ้นเมื่อเห็นท่าทางผ่อนคลายและสบายใจของลูกสาวของเขา ‘ดูท่าทางแล้วนี่คงมิใช่การตกลงซื้อขายครั้งแรกของพวกเขาเป็นแน่ ลูกสาวของเขาเริ่มทำธุรกิจกับร้านเจินซิวตั้งแต่เมื่อใดกัน ? ’

กวางที่หนัก 200 กว่าชั่งนั้นขายได้ 31 ตำลึง 200 อีแปะ พวกสัตว์ตัวเล็กขายได้ 1,750 อีแปะ สุดท้ายคุณชายสามโจวก็ได้ปัดให้เป็น 33 ตำลึงถ้วน

“หนังกวางมีค่าเป็นอย่างมาก พวกท่านอยากได้หรือไม่ ?” ราคาของหนังกวางจะคำนวนแยกต่างหาก หนังกวางที่ครบสมบูรณ์ไม่เสียหายจะมีราคาอย่างน้อย 10 ตำลึง

หยูไห่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยกับลูกสาวว่า “เก็บหนังกวางไว้เถิด พอฟอกแล้วมันจะนุ่มและแข็งแรงเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังกันน้ำได้อีกด้วย พ่อสามารถทำรองเท้าหนังกวางให้พวกเจ้าได้ถึง 2 คู่ คราวหน้าเวลาไปหาของทะเลที่ชายหาดเท้าของเจ้าจะได้มิเปียก”

ถ้าเขามิใช่พ่อของนาง หยูเสี่ยวเฉาคงตอบเขาไปว่า ‘โง่รึไง ?! ’ 10 ตำลึงซื้อรองเท้าได้ตั้งหลายคู่ ยิ่งกว่านั้นเขายังจะให้นางใส่รองเท้าหนังกวางไปเก็บของทะเลที่ชายหาดอีกด้วย  นางต้องเก็บของทะเลมากเท่าใดกัน ถึงจะเท่าราคารองเท้าหนังกวางหนึ่งคู่ ?

“เรามิอยากได้หนังกวางหรอก ให้เป็นเงินมาเลยเจ้าค่ะ !” หยูเสี่ยวเฉาตัดสินใจเอง  ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าพ่อของนางรักลูกมากจริง ๆ แต่บางครั้งเขาก็ไม่เด็ดขาด

โจวซือชู่ไม่พูดอะไรและเอาตั๋วแลกเงินที่มีค่า 50 ตำลึงออกมาหนึ่งใบ หยูเสี่ยวเฉายื่นมือไปรับตั๋วแลกเงินใบนั้นมาโดยไม่ให้หยูไห่ได้มีโอกาสปฏิเสธ “ว้าว ! นี่คือตั๋วแลกเงินนี่ ! มีข้อจำกัดในการใช้หรือไม่ ? จะมิหมดอายุใช่หรือไม่ ?”

โจวซือชู่กรอกตากับท่าทางที่ไม่เรียบร้อยเอาเสียเลยของนาง เขายิ้มพร้อมกับหยิกแก้มนางแล้วตอบกลับว่า “มิต้องห่วง ! ตั๋วแลกเงินใบนี้มาจากร้านแลกเงินที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่ดำเนินงานโดยตระกูลซาง พวกเขาเป็นตระกูลที่รวยที่สุดในราชวงศ์หมิง ร้นแลกเงินนี้ไม่ล้มละลายเป็นแน่ ! หรือต่อให้ล้มละลายขึ้นมาเสียจริง ๆ เจ้าก็เอามันมาแลกเงินกับข้าก็ยังได้”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด