Returning From The Immortal World - 325
.......................................................................................................................................................................................
ขณะที่ฉีหนานได้ออกไปจากห้องโถงที่ชั้นหนึ่งนั้นถังซิ่วและฮูชิงซ่งเองก็ได้มาถึงพอดี เป็นเพราะหน้าตาที่ฟกช้ำของฮูชิงซ่งทำให้หน่วยรักษาความปลอดภัยเองก็เอาแต่จ้องมองไปที่เขา
“สวัสดีค่ะ กี่ท่านค่ะ”
พนักงานต้อนรับหญิงเองก็ได้เดินเข้ามาถามพร้อมกับรอยยิ้ม
ถังซิ่วเองก็ได้มองไปรอบๆพื้นที่และพยักหน้าแบบเงียบๆ บรรยากาศของที่นี่ดีมากๆพร้อมกับการตกแต่งที่หรูหราซึ่งห้องอาหารที่เขาไปมาก่อนหน้านี้ไม่สามารถเทียบได้เลย
“สามคน”
พนักงานต้อนรับเองก็ได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า
“ห้องส่วนตัวนั้นเกือบจะเต็มหมดแล้วค่ะ พวกคุณนั่งที่ชั้นแรกได้ไหมค่ะ ?”
ถังซิ่วได้ตอบกลับไปว่า
“ไม่มีปัญหา”
ไม่นานหลังจากนั้น ภายใต้การนำทางของพนักงานต้อนรับพวกเขาก็ได้ไปถึงมุมเงียบๆมุมหนึ่ง แม้ว่ารอบๆจะแบ่งกันหลายโต๊ะมากแต่ตรงนี้ก็ไม่มีเสียงดังรบกวนแม้แต่น้อย
“ท่านทั้งสองต้องการเมนูแบบไหนดีค่ะ ?”
“ไม่จำเป็นต้องเลือก เอาอะไรก็ได้ที่เป็นเมนูพิเศษของทางร้านมา เอาเนื้อ ผัก ปลาและซุบก็พอ”
ถังซิ่วได้พูดออกมา
พนักงานหญิงเองก็ได้ตอบกลับด้วยรอยิ้มว่า
“มีข้อจำกัดอะไรในการบริโภคไหมค่ะ ?”
“ไม่มี”
ถังซิ่วได้ตอบกลับไป
หญิงต้อนรับเองก็ได้โค้งตัวให้พร้อมกับพูดว่า
“ได้ค่ะ โปรดรอสักครู่นะคะ”
ขณะที่หญิงสาวได้เดินออกไปฮูชิงซ่งเองก็ได้ยกนิ้วขึ้นมาชื่นชมว่า
“ลูกพี่ถังนี่ช่างสุดยอดจริงๆ ร้านอาหารนี่หรูหราขนาดนี้แต่กลับไม่ดูเมนูแม้แต่นิดเดียวแต่ก็กลับสั่งอาหารชุดพิเศษทันที ดูเหมือนว่านายจะใจใหญ่ทันทีที่ทานอาหารกับครูฮั่นเลยนะ”
ถังซิ่วอดหัวเราะออกมาไม่ได้แล้วก็พูดว่า
“ใครบอกว่าฉันรวยกันล่ะ ? เราเป็นแค่นักศึกษาจนๆเท่านั้น ครูฮั่นนั้นแหละที่ควรจะเป็นคนจ่ายเงินใช่ไหม ?”
“อะไรนะ ?”
ฮูชิงซ่งเองก็พูดออกมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อว่า
“นี่เราจะให้ผู้หญิงเลี้ยงข้าวงั้นหรอ ? แม้ว่าเธอจะเป็นครูก็ตามแต่อายุก็ไม่น่าจะห่างกับเราเท่าไหร่นัก ลูกพี่ถัง หากว่านายมีเงินไม่พอฉันก็จะเลี้ยงอาหารมื้อนี้เอง”
นี่มันเป็นอุดมการณ์ของลูกผู้ชาย !
ถังซิ่วเองก็ได้ฝืนยิ้มออกมาและสิ่งที่ทำให้เขาพูดอะไรไม่ออกนั้นคือรูปลักษณ์ของเขาเหมือนกับคนที่ขาดเงินงั้นหรอ ? เยวี่ยไคเองก็คิดว่าเขาเป็นคนจนแล้วตอนนี้ฮูชิงซ่งเองก็คิดเหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม เขาไม่อยากจะโดดเด่นหรืออวดรวยดังนั้นเขาเองก็ไม่อยากจะไปอธิบายอะไรเกี่ยวกับการเข้าใจผิดของฮูชิงซ่งแต่ตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า
“ล้อเล่นหน่า จะให้ครูฮั่นหรือนายมาจ่ายค่าอาหารมื้อนี้ได้อย่างไรกัน กินให้อิ่มไปเลย”
“เอาล่ะ ในกรณีที่นายไม่มีเงินก็สามารถบอกฉันได้ทุกเมื่อเลยนะ”
ฮูชิงซ่งเองก็ได้พูดออกมาตรงๆพร้อมกับไม่ได้พูดอะไรต่อไป
ในไม่กี่ปีมานี้ตระกูลของเขาร่ำรวยขึ้นอย่างมากแต่การมากินที่ร้านอาหารที่หรูหราขนาดนี้เป็นครั้งแรกดังนั้นเขาจึงลังเลเล็กน้อย
ห้องวีไอพีที่ชั้น4
เหมี่ยวเหวินถังและเพื่อนๆกำลังดื่มกัน พวกเขาเป็นถึงบอสของบริษัทชั้นนำดังนั้นเวลาพูดกันจึงไม่ได้เอะอะเหมือนพ่อค้าในตลาดแต่จะรักษาท่าทางเอาไว้ พวกเขาพูดคุยและหัวเราะกันเล็กน้อยก่อนที่จะคุยเรื่องธุรกิจกัน
“ก๊อก ก๊อก....”
เสียงเคาะประตูได้ดังขึ้นซึ่งมันขัดจังหวะการพูดคุยของพวกเขาทั้ง4คน หลังจากนั้นประตูก็ได้ถูกเปิดออกและพบกับใบหน้าของฉีหนานที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มพร้อมกับไวน์ชั้นเลิศในมือของเธอ
“คงไม่รบกวนใช่ไหม ?”
ฉีหนานเองก็ได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
นักธุรกิจต่างๆเองที่เห็นการมาถึงของฉีหนานนั้นก็ได้มองไปที่กันและกันอย่างงงงวยและประหลาดใจส่วนเหมี่ยวเหวินถังเองก็ได้ถามออกมาว่า
“คุณคือ ?”
ฉีหนานได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า
“ฉัน ฉีหนาน เป็นรองผู้จัดการห้องอาหารร้อยงานฉลองและตามธรรมเนียมของห้องอาหารของเรานั้นหากว่ามีแขกผู้ทรงเกียรติมากินดื่มที่ห้องอาหารของเรานั้นผู้ที่มีอำนาจของทางร้านก็ต้องมาต้อนรับแต่บอสเหมี่ยวเป็นถึงแขกผู้ทรงเกียรติในหมู่แขกผู้ทรงเกียรติ”
เรื่องต้อนรับนี่เหมี่ยวเหวินถังพอเข้าใจ
แต่.......
เหมี่ยวเหวินถังได้ลุกออกไปจับมือกับฉีหนานก่อนที่จะถามออกมาด้วยความสับสนว่า
“หัวหน้าฉี อะไรคือแขกผู้ทรงเกียรติในหมู่แขกผู้ทรงเกียรติ ? มันหมายความว่าไง ? ฉันจำได้แค่ว่าห้องอาหารนี้มีแค่แขกผู้ทรงเกียรติเท่านั้น”
ฉีหนานได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า
“เราได้รับข่าวมาจากเกาะจิงเหมินว่าคุณและบอสเซ่าหมิงเจิ้งนั้นเป็นแขกผู้ทรงเกียรติในหมู่แขกผู้ทรงเกียรติของห้องอาหารเราเพราะพวกคุณเป็นเพื่อนของบอสเรา”
เหมี่ยวเหวินถังได้พูดออกมาด้วยความประหลาดใจว่า
“บอสคุณ ? หมายถึงกู่เสี่ยวเสวี่ย ?”
ฉีหนานได้ส่ายศีรษะพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มว่า
“บอสคนใหม่ของเรามีชื่อว่าถังซิ่ว”
“ถังซิ่ว ?”
ท่าทางของเหมี่ยวเหวินถังเปลี่ยนไปทันทีพร้อมกับความไม่อยากจะเชื่อ เขารู้ดีว่าห้องอาหารร้อยงานฉลองคืออะไร ความแข็งแกร่งของกู่เสี่ยวเสวี่ยซึ่งทำให้เขาไม่สามารถหยั่งถึงได้แต่ถังซิ่วที่สามารถฝ่าค่ายกลเข้าไปได้ถึงกับขึ้นเป็นบอสเลย ?
ทันใดนั้น
เหมี่ยวเหวินถังก็รู้ได้ทันทีว่าเขารู้เรื่องเกี่ยวกับถังซิ่วน้อยมากและเข้าใจได้แล้วว่าทำไมเขาถึงได้เป็นแขกผู้ทรงเกียรติในหมู่แขกผู้ทรงเกียรติ
ฉีหนานได้เปิดขวดไวน์ออกพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มว่า
“บอสเหมี่ยว ฉันนับถือคุณและขอดื่มให้แด่คุณสามแก้วและหวังว่าจะมีความสุขกับห้องอาหารของเรา”
“ดี”
“ดื่ม”
หลังจากที่ดื่มเข้าไปทั้งสามแก้วแล้วเหมี่ยวเหวินถังเองก็ได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มฝืนๆว่า
“ไม่คิดเลยว่าเพื่อนถังจะได้เป็นบอสของห้องอาหารแห่งนี้ ฉันรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเขาแข็งแกร่งและลึกลับแต่ดูเหมือนว่าฉันจะประเมินเขาต่ำไปอยู่ดี ไม่อยากจะคิดเลยว่าในอนาคตเขาจะไปได้ถึงไหน”
ฉีหนานเองก็ได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า
“บอสของเราเป็นเหมือนดั่งมังกรในหมู่ชายอยู่แล้ว ไม่สามารถวัดความสำเร็จในอนาคตของเขาได้แน่นอน”
ซางเยวี่ยหมิงซึ่งเป็นบอสของซิงหยากรุ๊ปจากเซี่ยงไฮ้ที่มีสินทรัพย์รวมกันกว่าหมื่นล้านและรองประธานบริษัทโฆษณาจากเซี่ยงไฮ้ผู้ซึ่งมีสถานะสูงส่ง เขาได้ถามออกไปด้วยใบหน้าที่ประหลาดใจว่า
“หัวหน้าฉี เราเองก็ได้อยู่ที่เซี่ยงไฮ้มานานแล้วแต่ไม่รู้อะไรมากมายเกี่ยวกับห้องอาหารนี้เลยคุณบอกหน่อยได้ไหมว่าแขกผู้ทรงเกียรติเป็นอย่างไร ?”
ฉีหนานเองก็ได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า
“ฉันว่าให้บอสเหมี่ยวเป็นคนอธิบายน่าจะดีกว่า ! ฉันยังมีเรื่องที่ต้องไปจัดการดังนั้นคงไม่รบกวนการสนทนาของพวกคุณแล้ว ขอตัวค่ะ”
เมื่อพูดจบ ฉีหนานเองก็หันหน้าเดินออกไปด้วยรอยยิ้ม
ซางเยวี่ยหมิงเองก็ได้มองไปที่เหมี่ยวเหวินถังพร้อมถามออกมาว่า
“ไหนเพื่อเหมี่ยวลองว่ามาหน่อยสิ”
เหมี่ยวเหวินถังได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า
“พวกนายรู้แค่ว่าฉันเป็นนักธุรกิจใช่ไหมแต่จริงๆแล้วฉันเป็นผู้ฝึกวิทยายุทธด้วย แม้ว่าห้องอาหารร้อยงานฉลองที่เกาะจิงเหมินจะทำตัวไม่โดดเด่นนักแต่มีรากฐานที่แข็งแกร่งและไม่สามารถหยั่งถึงได้ ที่นั่นมีค่ายกลถูกจัดวางเอาไว้และมีชื่อว่าค่ายกลพันโคจร มัน.......”
หลังจากผ่านไปไม่กี่นาที
พวกเขาทั้งหมดก็เข้าใจได้เกี่ยวกับเรื่องทุกอย่างจากปากของเหมี่ยวเหวินถัง ตอนนี้พวกเขารู้สึกสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของห้องอาหารแห่งนี้เป็นอย่างมาก พวกเขารู้สึกสนใจจริงๆ
เหมี่ยวเหวินถังได้มองไปที่ท่าทางของคนทั้งสามก่อนที่จะพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า
“จำไว้ว่าอย่าได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปโดยเด็ดขาดแม้ว่าเรื่องนี้จะไม่ใช่ความลับแต่บางทีก็อาจจะทำให้เราเสียชีวิตได้”
ซางเยวี่ยหมิงเองก็ได้ถามออกมาว่า
“ไม่ต้องเป็นห่วง เราเข้าใจดี อย่างไรก็ตามบอสของห้องอาหารแห่งนี้ ถังซิ่วคนนั้นคือใครกัน ? จากที่ได้ยินเมื่อครู่แล้วเขาน่าจะมีความสัมพันธ์กับนายใช่ไหม ?”
เหมี่ยวเหวินถังเองก็ได้พูดออกมาอย่างจริงจังและตรงไปตรงมาว่า
“เขาเป็นเพื่อนของฉันและเรารู้จักกันบนเกาะจิงเหมิน หลังจากนั้นเราก็ได้สร้างสายสัมพันธ์กัน หากพูดกันตามตรงคือเขาช่วยชีวิตฉันไว้ พวกเรารู้จักกันมากว่า20ปีแล้ว ฉันไม่มีทางโกหกพวกนายหรอก”
ซางเยวี่ยหมิงเองก็ได้พูดว่า
“นายพูดต่อสิ”
เหมี่ยวเหวินถังพูดว่า
“ถังซิ่วนั้นแข็งแกร่งมากส่วนเรื่องที่แข็งแกร่งขนาดไหนคือฉันเองก็ยังกลัวเขาเช่นกัน เขาเป็นคนที่ลึกลับซึ่งแต่ละครั้งที่ได้คลุกคลีกันก็จะทำให้ฉันตกตะลึงเสมอ ฉันรู้ว่าเขาเข้าเป็นนักศึกษาปีหนึ่งที่มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้และหวังว่าเจ้าถิ่นอย่างพวกนายจะไม่ไปล่วงเกินเขาไม่เช่นนั้นชะตากรรมของพวกนายจะต้องจบอย่างน่าอนาถแน่นอน”
ซางเยวี่ยหมิงเองก็ได้หัวเราะออกมาพร้อมพูดว่า
“นี่เพื่อนเหมี่ยว นายพูดเล่นใช่ไหม ? ถังซิ่วที่นายพูดถึงเป็นแค่เด็กนักศึกษาปีหนึ่งงั้นหรอ ?”
กู่ชางหมิน บอสของบริษัทบันเทิงดิ่งเชินได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า
“นายพูดเล่นใช่ไหมเพื่อน ? เด็กนักศึกษาจะไปแข็งแกร่งได้ขนาดไหนกัน คนที่แข็งแกร่งจริงๆก็คงจะเป็นผู้อาวุโสของเขา ?”
เหมี่ยวเหวินถังได้มองไปที่พวกเขาโดยที่ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี อย่างไรก็ตามเขาได้มองไปที่เพื่อนเก่าอีกคน จินซิงกุย ซึ่งเป็นบอสของบริษัทอสังหาฯจินดาด้วยความประหลาดใจเพราะใบหน้าของเขามืดมนและตื่นตระหนก
ทันใดนั้น จินซิงกุยเองก็ได้พูดขึ้นว่า
“เพื่อนเหมี่ยว ในเมื่อนายกับถังซิ่วเป็นเพื่อนกันดังนั้นแนะนำเขาให้ฉันรู้จักบ้างได้ไหม ? นายวางใจได้เลยว่าฉันจะไม่ให้นายเหนื่อยเปล่าแน่นอน หลังจากที่กลับไปที่บ้านแล้วฉันจะให้หยกกิเลนกับนายเอง”
เหมี่ยวเหวินถังได้โบกมือพร้อมพูดว่า
“แม้ว่าฉันจะอิจฉาเรื่องหยกกิเลนของนายก็จริงแต่ไม่สามารถรับมันเป็นของตอบแทนเรื่องนี้ได้ เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งหลายปีและหลังจากนี้หากว่ามีโอกาสฉันก็จะพานายไปแนะนำกับเขา”
“ขอบคุณมากๆ”
จินซิงกุยได้พูดอย่างตรงไปตรงมา
ซางเยวี่ยหมิงได้ชะงักไปพร้อมกับกู่ชางหมินเองก็ถามออกมาด้วยใบหน้าที่สงสัยว่า
“เพื่อนจิน นาย.......”
จินซิงกุยเองก็ได้ฝืนยิ้มออกมาแล้วพูดว่า
“อย่าได้ถามฉันเลย ฉันไม่กล้าบอกพวกนายหรอกแต่พวกนายทั้งสองควรจะจำคำพูดของเพื่อนเหมี่ยวเอาไว้ว่าหากวันไหน........คนในตระกูลของนายกล้าไปล่วงเกินถังซิ่วก็รับรองได้เลยว่าตระกูลของนายจะต้องย่อยยับอย่างแน่นอน”
ซางเยวี่ยหมิงและกู่ชางหมินเองก็ได้มองไปที่กันและกันด้วยความตกตะลึง พวกเขาจะไม่เชื่อเลยหากว่าแค่เหมี่ยวเหวินถังเป็นคนพูดทว่าเมื่อรวมจินซิงกุยไปด้วยแล้วพวกเขาก็จำต้องเชื่อ
หรือว่า
เด็กหนุ่มคนนั้นมันน่ากลัวขนาดนั้นเลย ?
พวกเขาได้เงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะพยักหน้า
เหมี่ยวเหวินถังเองก็รู้สึกสงสัยเรื่องที่จินซิงกุยรู้เกี่ยวกับถังซิ่วเป็นอย่างมาก เขาตัดสินใจแล้วว่าจะต้องถามจากปากจินซิงกุยให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“มาเถอะ เรามาดื่มกัน”
เหมี่ยวเหวินถังได้ระงับความอยากรู้เอาไว้พร้อมกับยกแก้วขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม