ตอนที่แล้วเทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0012
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0014

เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0013


ตอนที่ 13 : ศึกประลองระหว่างห้อง

“ตอนนี้คนที่รู้ความลับเรื่องผังวิญญาณพวกนี้มีแต่เรา จะบอกผู้อื่นไม่ได้!” ฉินหยุนสำรวจพิจารณาสร้อยวิญญาณเทวะเก้าตะวันอีกครั้ง “ไข่มุกทั้งเก้าเป็นตัวแทนของวิญญาณเก้าตะวัน พลังจิตของเรายังไม่แข็งแกร่งพอ ที่เราทำได้ตอนนี้เพียงแค่เปิดไข่มุกเม็ดแรกเท่านั้น!”

เพียงไข่มุกเม็ดแรกก็ประกอบด้วยผังอันลึกลับจำนวนมากมายแล้ว ไข่มุกอีกแปดลูกที่เปิดได้ยากยิ่งกว่าจะต้องมีอะไรที่ดีกว่านี้ซุกซ่อนเอาไว้แน่!

เรื่องนี้ยิ่งทำให้ฉินหยุนกระหายความแข็งแกร่งมากขึ้น เขาอยากที่จะเปิดไข่มุกอีกแปดเม็ดและรับรู้ถึงความลับของมัน

“ตอนนี้ต้องเริ่มฝึกวิชาหยางสีดำก่อน! เราต้องแข็งแกร่งโดยเร็วที่สุด!” ฉินหยุนเริ่มทำการจดจำวิชาหยางสีดำที่หยางฉีเย่ว์มอบให้แก่เขา

ในเมื่อมีการฝึกฝนพลังจิต ความทรงจำของเขาจึงเพิ่มพูนขยาย เพียงไม่นานเขาก็จดจำทุกสิ่งเอาไว้ในใจได้หมด

คำอธิบายภายในค่อนข้างละเอียด สมแล้วที่เป็นวิชาซึ่งหยางฉีเย่ว์มอบให้ ฉินหยุนจดจำพวกมันเป็นอย่างดี จากนั้นจึงเริ่มทำความเข้าใจ และค่อยทำความเข้าใจถึงเคล็ดวิชาการฝึกฝน

หลังย่อยข้อมูลได้สักพักหนึ่ง เขาจึงเริ่มโคจรพลังปราณไปตามเส้นทางด้วยการควบคุมผ่านจิต เขากำลังปล่อยให้พลังปราณไหลเวียนผ่านทั่วทั้งร่าง จากแข็งสู่อ่อน จากเร็วสู่ช้า และจากชั่วครู่เป็นเนิ่นนาน จนกระทั่งหยุดสงบลง

ในการฝึกพลังจิตช่วงต้น ประเด็นหลักคือการชักนำพลังธาตุ และเพราะพลังธาตุเต้นไหวราวจังหวะหัวใจ นี่หมายความถึงได้ฝึกฝนวิชาพลังจิตขั้นต้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

หลังพลังธาตุเริ่มการเต้นเป็นจังหวะ มันจึงเป็นการขับเคลื่อนพลังปราณในร่างให้โคจรด้วยความรวดเร็วยิ่งกว่าเก่า เมื่อดำเนินเช่นนี้ต่อไป มันจะสามารถขัดเกลาพลังปราณและทำให้มันมีความแข็งแรงยิ่งขึ้น

หยางฉีเย่ว์กล่าวว่าอาจต้องใช้เวลาอย่างน้อยก็สิบวันกว่าคนผู้หนึ่งจะทำให้พลังธาตุกระเพื่อม และบางคนอาจกระทั่งต้องใช้เวลาถึงสองหรือสามเดือนกว่าจะประสบความสำเร็จถึงขั้นนั้นได้

แต่แล้ว เพียงชั่วข้ามคืน ฉินหยุนกลับสามารถฝึกฝนวิชาหยางสีดำและรู้สึกถึงพลังธาตุในตันเถียนที่กำลังสั่นกระเพื่อม!

เขาไม่ทราบว่าเพราะอะไร แต่ชั่วขณะที่เริ่มการฝึกฝนตามวิชาในตำรา พลังธาตุของเขากลับกระเพื่อมอย่างไม่ทราบสาเหตุ

หลังดึงสติกลับคืนมาได้ เขาจึงเริ่มพิจารณาความรู้สึกของพลังภายในที่เต้นตามจังหวะชีพจรภายในกาย...

ไม่นาน ฉินหยุนพบว่าทุกครั้งที่พลังธาตุสั่นกระเพื่อม พลังปราณของเขาจะยิ่งพรั่งพรูออกมาอย่างรุนแรง มันจะผลักให้พลังปราณไหลเวียนตามเส้นทางโคจรทั่วร่างกาย เมื่อพลังธาตุสั่นกระเพื่อม มันจะทำการดูดซับพลังเก้าตะวันปริมาณมหาศาลสู่ร่างกาย

พลังเก้าตะวันเมื่อเข้าสู่ร่างกาย มันไหลเวียนรวดเร็วผ่านทั้งร่าง จากนั้นจึงค่อยไปสู่การควบแน่นขึ้นเรื่อย ๆ แก่พลังธาตุ

หลังจากผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง ร่างของฉินหยุนพลันเปียกชุ่มด้วยไอหมอกพลังปราณ พลังวิญญาณเก้าตะวันล้อมกายเขาเอาไว้หนาแน่นก่อนจะไหลเข้าสู่ร่าง นี่เหมือนคลื่นน้ำที่พัดพาเข้าหาฝั่ง พลังปราณทะลักในร่างกายพร้อมหล่อเลี้ยงเลือดเนื้อส่วนต่าง ๆ

ยิ่งดูดซับพลังปราณมากเพียงใด เขาก็ยิ่งกักเก็บปราณเอาไว้ได้มากเท่านั้น

“วิชาฝึกฝนพลังจิตระดับสูงก็นับว่าทรงพลังมากแล้ว หากมันเป็นวิชาระดับที่เหนือกว่านี้ผสานร่วมกับสร้อยวิญญาณเทวะเก้าตะวันเล่า? นั่นไม่เรียกท้าทายสวรรค์เลยหรืออย่างไร?” ฉินหยุนกำหมัดแน่น “เพียงแค่วิชาฝึกฝนที่ดีก็สามารถส่งผลดีแก่สร้อยวิญญาณเทวะเก้าตะวันและวิญญาณยุทธ์ระดับทองม่วงได้แล้ว”

วิญญาณยุทธ์อยู่ภายในพลังธาตุ ยิ่งมีพลังธาตุแข็งแกร่ง วิญญาณยุทธ์ก็จะยิ่งแข็งแกร่ง รวมถึงพลังปราณด้วย ทั้งสามคือสิ่งที่ทำงานร่วมกันและหนุนเสริมซึ่งกันและกัน!

ฉินหยุนเริ่มใช้วิญญาณยุทธ์ไฟระดับทองม่วงเพื่อฝึกฝนพลังธาตุให้ทรงพลังยิ่งขึ้นต่อไป

* * *

เช้าวันถัดมา ฉินหยุนตื่นขึ้นเหมือนอย่างปกติ หลังลืมตาตื่น เขาจึงพบว่าร่างกายของตนอยู่ในสภาพดีพร้อม พลังปราณก็เพิ่มขึ้นมหาศาลด้วยเช่นกัน

โดยทันที เขาเริ่มสำรวจตันเถียนตนเอง จึงพบว่ามันถูกล้อมเอาไว้ด้วยหมอกสีขาวหนาแน่น พลังธาตุของเขาตอนนี้ยิ่งมายิ่งสุกสว่าง มันเสมือนไข่มุกที่ส่องแสงได้ด้วยตัวของมันเอง

“มาลองปล่อยพลังไฟดูกันดีกว่า”

หลังควบคุมพลังปราณผ่านทางวิญญาณยุทธ์ไฟระดับทองม่วง พลังปราณของเขาก็คล้ายจุดติดไฟขึ้นมา ด้วยความรวดเร็ว เขาบังคับให้เปลวเพลิงเผาไหม้ปรากฏออกจากฝ่ามือได้

“ได้ผล!” เขามองที่เปลวเพลิงแผ่วเบาบางในฝ่ามือทั้งยังหัวเราะ “บางทีอาจเป็นพลังปราณของเราเองที่ยังไม่พอ ไม่เช่นนั้นมันจะต้องกลายเป็นไฟสีม่วงแล้ว!”

ฉินหยุนคาดหวังว่าในภายหน้าตนจะสามารถปลดปล่อยเปลวเพลิงสีม่วงออกมาได้

สำหรับทางด้านวิญญาณยุทธ์สั่นไหวสีดำ เขาไม่ทราบว่าควรทำอย่างไรดี สิ่งหนึ่งที่มั่นใจคือวิญญาณยุทธ์สั่นไหวดังกล่าวจะต้องนำพามาซึ่งพลังอันแข็งแกร่งแน่

“คนอื่นยังไม่กลับมาเลยแฮะ นี่ผ่านมาทั้งคืนแล้วนะเนี่ย พวกเขาไปทำอะไรกัน? ช่างเถอะ ไปเข้าร่วมงานประลองเด็กใหม่ก่อนดีกว่า!” หลังชำระกายเรียบร้อยจึงค่อยหาอะไรกิน จากนั้นเขาจึงเร่งรีบมุ่งหน้าไปที่ห้องเรียน เมื่อวานหยางฉีเย่ว์แจ้งไว้แล้ว ว่าให้ไปรวมตัวกันที่ชั้นเรียนก่อนเป็นที่แรก

* * *

เด็กใหม่ของสถาบันยุทธ์ฮัวหลิงปีนี้คัดมาแต่คนที่เปี่ยมล้นด้วยพรสวรรค์ ความจริงที่ว่าบุตรแห่งตระกูลเจียงซึ่งเป็นศิษย์ใหม่ได้ครอบครองวิญญาณยุทธ์ในตำนานนั้นเป็นข่าวชวนตื่นตะลึงถึงที่สุดในรอบปี

นอกจากนี้ยังมีวิญญาณยุทธ์หายากอย่างดาบและพยัคฆ์ พวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นศิษย์จากตระกูลดังกันทั้งสิ้น

สำหรับวิญญาณยุทธ์ไฟระดับทองม่วงของฉินหยุน หลายคนก็อึ้งทึ่ง บ้างก็คล้ายแทบพลิกโต๊ะกล่าวหาว่าโคมลอย ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นหัวข้อสนทนาร้อนแรงในบรรดานักเรียนของสถาบันเช่นกัน

ฉินหยุนรีบมุ่งหน้าไปยังห้องเรียนก่อน ทว่าเขากลับเป็นคนเดียวที่อยู่ที่นี่!

หยางฉีเย่ว์ยืนเด่นตรงแท่นบรรยายของนาง ด้วยใบหน้างดงามที่เย็นชา ราวกับนางกำลังข่มความโกรธภายในไว้

ชั่วขณะที่ฉินหยุนเข้ามาในห้อง เขารู้สึกได้ถึงความโกรธอันไร้รูปร่างของหยางฉีเย่ว์สะกดลงที่ตัวเขา มันทำเอาเขาหวาดกลัว จนต้องเอ่ยถามเสียงอ่อนนุ่ม “อาจารย์... ข้ามาสายหรือ?”

ใบหน้าของหยางฉีเย่ว์ไร้อารมณ์ขณะกล่าวเย็นเยือก “นับจากนี้ เจ้าคือนักเรียนคนเดียวในชั้นเรียนของข้า!”

“เอ่อ... เกิดอะไรขึ้นกัน? พวกเขา... หรือว่า... ตายกันหมดแล้ว?” ฉินหยุนเอ่ยถามอย่างแตกตื่น เขาคิดเช่นนี้เพราะหอพักของตนก็เหลือเพียงตนอยู่ลำพังตั้งแต่เมื่อคืน

“พวกนั้นขอเปลี่ยนชั้นเรียนเมื่อคืนนี้!”

สีหน้าของหยางฉีเย่ว์ไม่สู้ดีนัก นักเรียนที่นางคัดเลือกมาล้วนมีฝีมือดีกันทั้งสิ้น แต่แล้วพวกเขากลับทำเรื่องโยกย้ายพร้อมกันเสียอย่างนั้น

ฉินหยุนนึกย้อนถึงเรื่องราวเมื่อคืนและเร่งร้อนเอ่ยถาม “อาจารย์... ข้าเห็นว่าเมื่อคืนพวกเขาโดนเรียกตัวออกไป และตลอดทั้งคืนก็ไม่ได้กลับมาอีก”

หยางฉีเย่ว์สะกดข่มความโกรธไว้ แต่สีหน้านั้นยังคงเย็นเยียบ นางกล่าว “ฉินหยุน เจ้าอย่าได้กังวล ต่อให้มีเพียงเจ้า ข้าก็จะสอนเจ้าอย่างแน่นอน”

ฉินหยุนพยักหน้ารับเล็กน้อย เขาสงสัยว่าเรื่องอะไรกันถึงมีการโยกย้ายใหญ่โตเพียงนี้ หรือนี่อาจเป็นเพราะจักรพรรดินีอยู่เบื้องหลัง

นักเรียนส่วนใหญ่ในชั้นเรียนล้วนมาจากตระกูลขุนนางดังของจักรวรรดิเทียนฉิน ด้วยความเป็นจักรพรรดินี เพียงใช้มือเดียวนางก็สามารถบังฟ้าเอาไว้ได้มิดแล้ว

“มาเถอะ ไปที่ลานฝึกวิชายุทธ์เพื่อเข้าร่วมศึกประลองเด็กใหม่กัน!” หยางฉีเย่ว์คล้ายระบายโทสะผ่านน้ำหนักเท้าเดินออกจากห้องเรียนไป ความภาคภูมิของนางถูกยั่วยุ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่มีโทสะ

ที่บริเวณตรงกลางของสถาบันยุทธ์ฮัวหลิง คือลานสำหรับฝึกวิชายุทธ์ที่กว้างขวาง

นักเรียนใหม่ราวสี่ร้อยคนต่างมาที่นี่เพื่อฟังปฐมนิเทศ ด้วยห้องเรียนเป็นตัวกำหนด พวกเขาตั้งแถวขบวนและรอคอยให้การประชุมเริ่มต้น

เหล่านักเรียนที่ขอเปลี่ยนชั้นเรียนไม่กล้าแม้กระทั่งหันมองทางหยางฉีเย่ว์เมื่อเห็นนางเดินเข้ามา สายตาพวกเขาหลบเลี่ยงชัดเจน เหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงเปลี่ยนห้องเรียนก็เพราะแรงกดดันจากตระกูล

มีนักเรียนชั้นปีสูงกว่าหลายคนกำลังเฝ้าชมเรื่องราวที่บริเวณมุมขอบของลาน ราวกับพวกเขากำลังรอให้การแสดงน่าสนุกสนานบังเกิดขึ้น ใบหน้าของพวกเขาล้วนเปี่ยมด้วยความคาดหวัง

หลังการประลองเด็กใหม่เริ่มขึ้น ผู้อำนวยการจางได้ขึ้นพูดเรื่องราวเกี่ยวข้องกับสถาบันมากมาย จากนั้นจึงค่อยประกาศจบพิธีปฐมนิเทศเด็กใหม่

สถาบันยุทธ์ฮัวหลิงได้เริ่มต้นการเรียนการสอนในภาคเรียนนี้อย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว

ถึงตอนนี้ ห้องเรียนมีการแบ่งอย่างชัดเจน เด็กใหม่มีกันทั้งสิ้นสิบหกห้องเรียน และห้องเรียนของหยางฉีเย่ว์คือห้องที่เก้าและมีจำนวนคนน้อยที่สุด เพราะมีนักเรียนอยู่เพียงหนึ่ง ฉินหยุน!

ถึงตอนนี้ ผู้อำนวยการจางพลันตะโกนขึ้นที่บนเวทีว่า “นับจากนี้ขอเริ่มการประลองระหว่างห้องเรียน อาจารย์ประจำชั้นเรียนให้ขึ้นมาเพื่อสุ่มเลขตัดสินว่าใครจะเป็นคู่ต่อสู้”

ประลองระหว่างห้องเรียน?

ฉินหยุนเร่งดึงสติตนเองกลับมาทันที เขาเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดหยางฉีเย่ว์ถึงโกรธเคือง!

ในวันนี้คือการประลองระหว่างห้องเรียน เป็นการประลองของคนหมู่มากให้ทำงานร่วมกันเพื่อได้รับชัยชนะ และตอนนี้ เขาคือนักเรียนเพียงคนเดียวของห้องเรียนทั้งห้อง!

ฉินหยุนหันมองอาจารย์อื่นของห้องเรียนเด็กใหม่ พวกเขาแต่ละคนคล้ายเผยความเสียใจต่อโชคร้ายครั้งนี้อย่างไม่ปิดบัง เป็นผลให้เขาเข้าใจว่าเพราะอะไรหยางฉีเย่ว์ถึงมีโทสะสุมอัดแน่น พวกเขาล้วนคาดการณ์อย่างไม่น่าผิดพลาดได้แล้ว ว่าห้องเรียนที่เก้าจะต้องแพ้ในการประลองระหว่างห้องเรียนอย่างแน่นอน

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด