ตอนที่แล้วราชันย์เร้นลับ 44 : ชะตา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปราชันย์เร้นลับ 46 : ภาพเหมือน

ราชันย์เร้นลับ 45 : กลับมาสู่


ราชันย์เร้นลับ 45 : กลับมาสู่

 

สมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสอยู่ภายในตึกเดียวกับที่คนร้ายลักพาตัวหลบซ่อน แถมยังเป็นห้องตรงข้าม!

 

อาจฟังดูบังเอิญจนยากจะเชื่อ แต่ไคลน์มั่นใจว่าการตีความของตนไม่ผิดพลาด

 

ชายหนุ่มลุกพรวดจากเตียง มันถอดชุดนอนที่ใส่ประจำออก เชิ้ตขาวซึ่งเป็นชุดทำงานถูกหยิบขึ้นมาสวมพร้อมติดกระดุมจากบนลงล่าง

 

หนึ่งเม็ด สองเม็ด สามเม็ด… ไคลน์ติดกระดุมพลาดจนซ้ายขวาเยื้องไม่เท่ากัน

 

เมื่อไล่ย้อนดู มันพบว่าตนติดผิดตั้งแต่เม็ดแรก ส่งผลให้กระดุมทุกเม็ดที่เหลือผิดพลาดหมด

 

ชายหนุ่มส่ายศีรษะตำหนิตัวเอง ลมหายใจถูกสูดเต็มปอด ไคลน์ถึงกับพึ่งพาการเข้าฌานเพื่อให้จิตใจสงบ

 

เมื่อสวมเชิ้ตขาวเสร็จ มันนำซองปืนรักแร้มาสวมและรัดสาย ก่อนจะก้มหยิบปืนใต้หมอนใส่ซองล็อคไว้แน่นหนา

 

ไม่มีเวลาแม้แต่จะติดโบว์หูกระต่าย ไคลน์รีบคว้าสูทดำตัวนอกสวมทับ มือขวาถือหมวกทรงกึ่งสูง มือซ้ายถือไม้ค้ำเลี่ยมเงิน สองเท้าย่างกรายหยุดหน้าประตูห้องนอน

 

เมื่อสวมและจัดระเบียบหมวกผ้าไหมเรียบร้อย ชายหนุ่มเปิดประตูออกไป เบื้องหน้าเป็นทางเดินยาวชั้นสองของบ้าน

 

ไคลน์หันหลังปิดประตูห้องนอนด้วยเสียงเงียบเชียบ ฝ่าเท้าบรรจงย่องลงบันไดประหนึ่งหัวขโมยช่ำชอง เมื่อถึงชั้นล่าง มันนำปากกาหมึกซึมออกมาเขียนโน้ตแจ้งว่าต้องออกไปทำงานเช้ากว่าปรกติ ต้องขอโทษที่ลืมบอกล่วงหน้า

 

ในวินาทีที่เปิดประตูบ้าน สายลมเย็นด้านนอกโชยปะทะจนจิตใจสงบ

 

ถนนที่ดารารัตน์ทั้งมืดละเงียบสงบปราศจากผู้คนสัญจรไปมา มีเพียงแสงสลัวของโคมไฟแก๊สสาธารณะสองข้างทาง

 

ไคลน์หยิบนาฬิกาพกออกมาปิดฝา เข็มชั่วโมงบนหน้าปัดชี้ไปยังเลขหก หมายถึงยามหกโมงเช้าซึ่งใกล้สว่างเต็มที

 

จันทร์แดงบนท้องฟ้ายังไม่เลือนหายโดยสมบูรณ์ แต่อีกไม่นาน แดดทองอร่ามยามเช้าจะเข้ามาแทนที่

 

ขณะคิดเช่ารถม้าส่วนตัวแสนแพง มันเหลือบเห็นรถม้าสาธารณะแบบไร้รางกำลังวิ่งเข้ามาใกล้

 

“เช้าขนาดนี้มีรถม้าสาธารณะด้วยหรือ?”

 

ไคลน์ค่อนข้างฉงน แต่มันก็เดินไปดักหน้าเพื่อโบกหยุด

 

“สวัสดีตอนเช้าครับมิสเตอร์”

 

คนขับหยุดม้าอย่างชำนาญ

 

พนักงานเก็บค่าโดยสายยื่นมือมาหาพลางอ้าปากหาว

 

“ถนนซุตแลน”

 

ไคลน์หยิบเหรียญหนึ่งเพนนีสองเหรียญจากกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะล้วงหยิบเศษ‘ครึ่งเพนนี’อีกจำนวนหนึ่งเพื่อสมทบให้ครบ

 

“สี่เพนนี”

 

พนักงานเก็บเงินบอกราคาฉะฉาน

 

หลังจากจ่ายเงินและดึงตัวขึ้นไปนั่งในห้องโดยสาร ชายหนุ่มพบว่าเที่ยวขบวนยังคงเปล่าเปลี่ยวไร้ผู้คน นับเป็นความอ้างว้างที่ไม่คุ้นชินท่ามกลางค่ำคืนอับแสง

 

“คุณเป็นคนแรก”

 

คนขับรถม้าหันมายิ้ม

 

ขณะเดียวกัน ม้าสีน้ำตาลสองตัวเร่งฝีเท้าควบผ่านถนนดารารันต์ด้วยความเร็วปานกลาง

 

“ด้วยความสัตย์จริง ผมไม่ยักทราบมาก่อนว่ารถม้าสาธารณะจะมีรอบเช้าขนาดนี้ด้วย”

 

ไคลน์เลือกที่นั่งใกล้คนขับ มันหาเรื่องคุยเรื่อยเปื่อยเพื่อข่มอารมณ์ตื่นเต้นภายในหัว

 

คนขับรถม้ายิ้มจืดชืดก่อนตัดพ้อ

 

“วิ่งตั้งแต่หกโมงเช้าถึงสามทุ่ม แต่ค่าแรงของผมแค่สัปดาห์ละหนึ่งปอนด์”

 

“ไม่มีพักเลยหรือ?”

 

ไคลน์ขมวดคิ้วถาม

 

“หยุดสัปดาห์ละหนึ่งวัน”

 

น้ำเสียงคนขับเริ่มทุ้มต่ำ

 

พนักงานเก็บเงินช่วยเสริม

 

“ช่วงเช้า พวกเราวิ่งตั้งแต่หกโมงถึงสิบเอ็ดโมง จากนั้นก็หยุดพักจนถึงบ่ายแก่ ก่อนจะกลับมาเปลี่ยนกะกับเพื่อนร่วมงานในช่วงหกโมงเย็น ต่อให้เราไม่อยากพัก แต่ม้าก็ต้องได้พักบ้าง”

 

“เมิื่อก่อนไม่มีหรอกนะ ถึงได้เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง คนขับรถม้าต้องทำงานทั้งวันจนไม่มีสติควบคุมม้า รวมถึงม้าที่เหนื่อยล้าจนรถเสียหลัก เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งจนต้องมีกฎหมายผลัดเวรรองรับ… ไม่อย่างนั้น ไอ้พวกนายทุนหน้าเงินคงไม่คิดแยแส!”

 

คนรับรถม้าสบถเดือดดาล

 

ท่ามกลางบรรยากาศเข้าใกล้รุ่งเช้าเข้าไปทุกขณะ รถม้าเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ โดยมีปลายทางเป็นถนนซุตแลน ระหว่างทางจอดแวะรับผู้โดยสารอีกราวเจ็ดถึงแปด

 

เมื่อไคลน์เริ่มผ่อนคลาย มันหยุดบทสนทนาและหลับตาลง สมาธิทบทวนประสบการณ์ที่ได้รับเมื่อวาน หวังว่าจะเก็บตกในสิ่งที่หลงลืมให้ครบถ้วน

 

กระทั่งแสงแดดยามเช้าส่องสว่าง ดวงจันทร์ถูกแทนที่ด้วยดวงอาทิตย์ รถม้านำตัวชายหนุ่มมาส่งถึงที่หมาย ถนนซุตแลน

 

ไคลน์ถอดหมวกพร้อมกับก้มศีรษะ ก่อนจะกระโดดลงห้องโดยสารรถม้าด้วยมาดสุภาพบุรุษสุดเท่

 

เป้าหมายการเดินเท้าคือบ้านเลขที่ 36 ของถนนซุตแลน หลังจากเดินย่ำขั้นบันไดไม่นาน มันก็ถึงบริษัทรักษาความปลอดภัยหนามทมิฬโดยสวัสดิภาพ

 

ประตูปิดสนิท… ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น ปัจจุบันยังไม่ถึงเวลาเปิดทำการ

 

ไคลน์หยิบพวกกุญแจทองเหลืองที่เอวเพื่อควานหากุญแจสำนักงาน เมื่อหาจนพบ ชายหนุ่มหยิบมันเสียบเข้าไปในช่องกลอนก่อนจะบิดไข

 

ทันทีที่ผลักประตูเข้าไป ภาพแรกที่เห็นคือชายผมดำนัยน์ตาเขียวซึ่งร่วมทำภารกิจกับตนเมื่อวาน เลียวนาร์ด·มิเชล มันนั่งสูดกลิ่นบุหรี่ยี่ห้อดัง

 

“ชอบซิการ์มากกว่าแฮะ… หืม? ทำไมวันนี้คุณมาเช้านัก?”

 

เหยี่ยวราตรีกลิ่นอายนักกวีถามไคลน์ด้วยท่าทีเกียจคร้านผ่อนคลาย

 

“หัวหน้าอยู่ไหม?”

 

ไคลน์ไม่ตอบ มันตั้งคำถามแทน

 

เลียวนาร์ดชี้ไปยังฉากกั้น

 

“ในห้องทำงาน… หัวหน้าเป็นผู้ไร้หลับระดับสูง เขาต้องการเวลานอนเพียงวันละสองชั่วโมงเท่านั้น สะดวกสบายชะมัด พวกเจ้าของโรงงานคงชื่นชอบโอสถผู้ไร้หลับมากเป็นพิเศษ”

 

ไคลน์พยักหน้าและเดินผ่านฉากกั้นไป

 

เมื่อถึงหน้าห้อง มันพบว่าประตูเปิดค้างอยู่ และดันน์·สมิทกำลังยืนใกล้กับทางเข้า

 

“มีอะไรอย่างนั้นหรือ?”

 

ดันน์ในชุดกันลมสีดำถามเสียงขรึม

 

“ผมสัมผัสถึงเดจาวูได้ ต้องเป็นสมุดบันทึกไม่ผิดแน่ สมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัส!”

 

ไคลน์พยายามอธิบายให้ชัดเจนและสมเหตุสมผล

 

“อยู่ที่ไหน?”

 

สีหน้าดันน์ยังคงเรียบเฉย แต่สัมผัสอันเฉียบแหลมของไคลน์ระบุว่า อีกฝ่ายออกอาการประหลาดใจอย่างลับๆ

 

“อาคารหลังที่ผมกับเลียวนาร์ดช่วยเหลือตัวประกันเมื่อวาน น่าจะเป็นห้องฝั่งตรงข้าม ผมไม่เอะใจจนกระทั่งกลับบ้านและหลับฝันถึง มันคือฝันบอกเหตุ”

 

ไคลน์อธิบายไม่ปิดบัง

 

“เท่าที่ฟัง… ผมพลาดความดีความชอบครั้งใหญ่เลยนะเนี่ย”

เลียวนาร์ดที่เดินตามไคลน์มา มันกล่าวเสียงคิกคัก

 

ดันน์พยักหน้าก่อนออกคำสั่งเสียงขรึม

 

“ให้โคเฮนรี่เฝ้าคลังอาวุธแทนลุงนีลล์ บอกฟรายกับลุงนีลล์เตรียมออกเดินทาง”

 

เลียวนาร์ดหยุดพฤติกรรมเฉื่อยชาชั่วขณะ มันเดินไปในห้องนันทนาการและแจ้งคำสั่งจากหัวหน้าให้โคเฮนรี่กับฟรายฟัง คนหนึ่งเป็นผู้ไร้หลับ ส่วนอีกคนเป็นผู้เก็บซากศพ

 

ห้านาทีถัดมา รถม้าสองล้อประจำหน่วยเหยี่ยวราตรีแล่นมาจอดบนถนนซุตแลน ก่อนจะนำพาทุกคนฝ่าความแอดอัดยามเช้าบนถนนไปยังจุดเกิดเหตุ

 

เลียวนาร์ดสวมหมวกขนนก เชิ้ต และกั๊ก แต่ไม่ใส่สูท มันนั่งในตำแหน่งคนขับ มือขวาถือแส้ตวัดฟาดม้าเพื่อเร่งความเร็วเป็นระยะ

 

ในห้องโดยสารรถม้ามีสี่บุคคล ไคลน์และลุงนีลล์นั่งติดกัน ส่วนฝั่งตรงข้ามเป็นดันน์และฟราย

 

ผิวหนังของผู้เก็บซากศพมีสีขาวซีดจนน่าเหลือเชื่อ ประหนึ่งไม่เคยถูกแสงแดดแผดเผาแม้แต่วินาทีเดียว หรือไม่ก็เข้าสู่ภาวะขาดเลือดรุนแรงจนเซลล์ผิวปราศจากเม็ดสี

 

หากประเมินจากรูปลักษณ์ ฟรายคงมีอายุราวสามสิบ ผมดำ นัยน์ตาฟ้าคราม ดั้งจมูกสันโด่ง ริมฝีปากบางและเล็ก บรรยากาศรอบตัวเย็นยะเยียบอึมครึม สีหน้าเรียบเฉยราวกับเห็นศพผ่านตานับไม่ถ้วน

“อธิบายสถานการณ์และรายละเอียดให้ทุกคนฟังอีกครั้ง”

ดันน์กล่าวขณะใช้มือจัดปกเสื้อกันลมสีดำ

 

ไคลน์ลูบไล้บุษราคัมที่ห้อยข้อมือซ้ายพลางแสดงสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะเริ่มเล่าเหตุการณ์นับตั้งแต่ทำภารกิจร่วมกับเลียวนาร์ด ไปจนถึงฝันที่เกิดขึ้นกลางดึก

 

ลุงนีลล์ที่นั่งเคียงข้างส่งเสียงคิกคัก

 

“ดูเหมือนชะตาของเจ้าจะเกี่ยวพันกับสมุดบันทึกเล่มนั้นแนบแน่น ไม่คิดเลยว่าจะหาพบในลักษณะเช่นนี้”

 

นั่นสิ… ไม่บังเอิญเกินไปหน่อยหรือ?

 

แต่โชคดีที่ผลการสืบสวนเพิ่มเติมของเลียวนาร์ดระบุว่า กลุ่มคนร้ายลักพาตัวไม่มีองค์กรหรือลัทธิใดหนุนหลัง พวกมันทำเพื่อเงินโดยแท้จริง ไม่อย่างนั้น ไคลน์คงอดคิดไม่ได้ว่า มีผู้วิเศษบางคนกำลังชักใยเหตุการณ์ทั้งหมดจากเงามืด

 

ทุกสิ่งบังเอิญจนน่าตกใจ

 

ดันน์มิได้กล่าวสิ่งใดเพิ่ม เพียงแสดงสีหน้าครุ่นคิดตลอดทาง เช่นเดียวกันกับผู้เก็บซากศพ·ฟราย ใบหน้าของมันเย็นยะเยียบภายใต้เสื้อกันลมสีดำสนิท

 

จนกระทั่งรถม้าหยุดหน้าอาคารที่เกิดเหตุ ความเงียบถูกทำลายเป็นหนแรก

 

“เริ่มปฏิบัติการได้ ไคลน์กับลุงนีลล์ พวกคุณรั้งท้ายแถว ระวังตัวด้วย… ระมัดระวังให้มากที่สุด”

 

ดันน์ลงจากรถม้าพร้อมกับหยิบลูกโม่ประหลาดออกจากซองปืน ลำกล้องยาวและหนาผิดแผกจากปรกติ ก่อนที่มันจะก็ยัดใส่ในประเป๋าเสื้อฝั่งขวาเพื่อไม่ให้เตะตา

 

“ทราบแล้วครับ”

 

ไคลน์พยักหน้าโดยไม่คัดค้าน

หลังจากเลียวนาร์ดจ้างใครบางคนให้ช่วยเฝ้ารถม้า ผู้วิเศษทั้งห้าเดินเรียงแถวขึ้นบันไดอาคารด้วยเสียงเงียบเชียบไปจนถึงชั้นสาม

 

“ห้องนี้หรือ?”

 

เลียวนาร์ดชี้นิ้วไปยังห้องฝั่งตรงข้ามจุดเกิดเหตุเมื่อวาน

 

ไคลน์เคาะหว่างคิ้วเพื่อเข้าสู่เนตรวิญญาณ

 

ในภาวะดังกล่าว สัมผัสวิญญาณจะเฉียบแหลมขึ้นมาก… เมื่อมั่นใจว่าเป็นประตูบานเดียวกับในฝัน ชายหนุ่มพยักหน้ายืนยันหนักแน่น

 

“ใช่”

 

ลุงนีลล์เข้าสู่ภาวะเนตรวิญญาณเช่นกัน มันกวาดสายตามองรอบห้องพร้อมกับกล่าวระมัดระวัง

 

“ไม่มีใครอยู่เลย ไม่มีกระทั่งเศษเสี้ยวพลังเวทมนตร์”

 

ผู้เก็บซากศพ·ฟรายกล่าวเสริมด้วยเสียงแหบพร่า

 

“ไม่มีวิญญาณร้าย”

 

มันสามารถมองเห็นภูติผีตัวเป็นๆ ได้ด้วยตาเปล่า รวมถึงวิญญาณร้ายและวิญญาณอาฆาต โดยไม่ต้องเข้าสู่ภาวะเนตรวิญญาณเหมือนคนอื่น

 

เลียวนาร์ดย่างกรายเข้าไปหยุดยืนหน้าบานประตู และเฉกเช่นเมื่อวาน มันชกจนกลอนหล่นเข้าไปด้านใน

 

เศษไม้กระจัดกระจาย กลอนโลหะหล่นตกกระทบพื้นห้องเกิดเสียงดัง

 

ไคลน์เกิดความรู้สึกประหลาด คล้ายกับผนึกที่มองไม่เห็นถูกคลายออก ทันใดนั้น กลิ่นเหม็นเน่าชวนอาเจียนพลันโชยเตะจมูก

 

“ซากศพ… ซากศพเน่าเปื่อย”

 

ฟรายอธิบายเสียงเย็นยะเยียบราวกับไม่รู้สึกขยะแขยง

ดันน์ใช้มือขวาที่สวมถุงมือหนังดำบรรจงผลักประตูไม้เข้าไป สิ่งแรกที่ทุกคนเห็นคือเตาผิง ถึงปัจจุบันจะเป็นช่วงฤดูร้อนต้นเดือนกรกฎกา แต่อุณหภูมิภายในห้องกลับสูงอย่างผิดวิสัย

ด้านหน้าเตาผิงเป็นเก้าอี้โยกทำจากไม้ บุคคลที่นั่งบนเก้าอี้คือหญิงชราในชุดขาวสลับดำ ศีรษะห้อยก้มต่ำลงด้านหน้า

 

ร่างกายบวมใหญ่ผิดธรรมชาติ ผิวหนังมีสีดำอมเขียวและเต่งตึง ราวกับพร้อมระเบิดกระจายทุกเมื่อเพียงสัมผัสบางเบา นี่คือต้อตอของกลิ่นเหม็นบัดซบที่ไคลน์สัมผัสถึง ตามผิวหนังของเธอมีหนอนแมลงชอนไชร่วมกับปรสิตหลายชนิด เนตรวิญญาณสามารถตรวจจับสิ่งเหล่านี้ได้เพียงจุดแสงขนาดเล็กจนยากสังเกตุเห็นในความมืด

 

แผละ!

 

ดวงตาหญิงชราหลุดจากเบ้าและตกลงพื้น เกลือกกลิ้งสองสามรอบจนเกิดคราบของเหลวสีเหลืองเหนียวเหนอะทางยาว

 

ความสะอิดสะเอียนของไคลน์ถึงขีดจำกัด มันมิอาจทนต่อกลิ่นและภาพชวนอาเจียนอีกต่อไป ชายหนุ่มโน้มตัวลงด้านหน้าพร้อมกับอ้วกจนหมดไส้พุงโดยไม่อายสายตาผู้ใด

 

▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬

ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร - เสาร์

ติดตามผู้แปลได้ที่ : www.facebook.com/bjknovel/

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด