ตอนที่แล้วราชันย์เร้นลับ 45 : กลับมาสู่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปราชันย์เร้นลับ 47 : ลุงนีลล์ขัดสน

ราชันย์เร้นลับ 46 : ภาพเหมือน


ราชันย์เร้นลับ 46 : ภาพเหมือน

 

อุแหวะ!

 

แค่ก!

 

ไคลน์ก้มลงอาเจียนอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ แต่มันก็สำรอกไม่นานนัก แถมยังมีปริมาณของเหลวข้นไม่มาก สาเหตุเพราะตอนเช้ายังไม่ได้ทานอะไรติดตัวมา

 

ทันใดนั้น ขวดดีบุกทรงสี่เสี่ยมที่ดูคล้ายกล่องบุหรี่ได้ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าชายหนุ่ม

 

ทันทีที่จุกขวดถูกดึงออก กลิ่นของยาสูบ ยาฆ่าเชื้อ และใบมินท์ผสมผสานอย่างลงตัวพลันหอมโชยออกเตะจมูก ไคลน์รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าผิดธรรมชาติ

 

แม้กลิ่นเหม็นบัดซบยังคงตลบอบอวล แต่มันกลับไม่รู้สึกคลื่นไส้หรือสะอิดสะเอียนอีกแล้ว อาการอ้วกหยุดลงในอีกไม่กี่อึดใจ

 

ชายหนุ่มแหงนหน้ามองตามขวดดีบุก มันได้พบฝ่ามือที่ขาวซีดราวกับไม่ใช่ของมนุษย์ ถัดมาเป็นชายแขนเสื้อกันลมสีดำสนิท

 

เมื่อเงยศีรษะขึ้นอีกนิด ไคลน์ได้พบกับใบหน้าของผู้เก็บซากศพ·ฟราย ผู้มีบรรยากาศเย็นยะเยียบและดำมืดตลอดเวลา

 

“ขอบคุณมาก”

ไคลน์หายจากอาการย่ำแย่เป็นปลิดทิ้ง มันใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างยันเข่าและพยุงตัวขึ้น

 

ฟรายพยักหน้าไม่ยินดียินร้าย

“พอเริ่มชินแล้วจะดีขึ้นเอง”

 

เมื่อกล่าวจบ ผู้เก็บซากศพปิดจุกขวดดีบุกและเดินเข้าห้องไปสัมผัสร่างหญิงชราด้วยมือเปล่า สภาพศพเน่าเปื่อยแล้วหลายวัน ฟรายก้มหน้าตรวจสอบร่างหญิงชราโดยละเอียด

 

ขณะเดียวกัน ดันน์และเลียวนาร์ดแยกย้ายสำรวจรอบรอบห้องโดยสวมถุงมือจับนู้นนี่เรื่อยเปื่อย

 

ลุงนีลล์บีบจมูกแน่นทั้งที่ยังไม่ได้เดินเข้าไปในห้อง สีหน้าของมันบิดเบี้ยวเหยเก

 

“โสโครกชะมัด! ฉันสาบานว่าจะเรียกร้องค่าชดเชยเพิ่มเติมจากภารกิจคราวนี้!”

 

ดันน์เบนความสนใจมายังเตาผิง มันใช้มือขวาที่สวมถุงมือหนังดำลูบไล้ไปตามผนังอิฐด้านใน ก่อนจะหันมาถามไคลน์

 

“คุ้นรึเปล่า?”

 

ไคลน์สูดลมหายใจเข้าลึก มันใช้มือกำนาฬิกาพกสีเงินในกระเป๋าเพื่อให้จิตใจสงบลง

 

ปัจจุบัน ชายหนุ่มอยู่ในภาวะเนตรวิญญาณ การมองเห็นจึงแตกต่างจากภาพตาเปล่าภายในฝัน ไคลน์พยายามกวาดสายตารอบห้องหนึ่งหน เพื่อเรียกความทรงจำจากฝันกลับมาโดยละเอียด

 

เตาผิง, เก้าอี้โยก, โต๊ะไม้, หนังสือพิมพ์, ตะปูขึ้นสนิมบริเวณบานประตู, กระป๋องดีบุกเลี่ยมเงิน…

 

ฉากในฝันทั้งมืดและไม่คมชัด คับคล้ายการชมภาพยนตร์จากแผ่นฟิล์มโบราณบนโลกเก่า เรียกว่าพร่ามัวก็ไม่ผิดนัก แถมยังมีลักษณะฟุ้งกระจายเหมือนกับอยู่บนดินแดนความฝัน

 

ฉากฝันและความจริงเบื้องหน้าเริ่มซ้อนทับอย่างรวดเร็ว อาการเดจาวูหวนกลับมาประทับร่างไคลน์แจ่มชัดอีกหน ทันใดนั้น เสียงมายาไร้ตัวตนพลันกรีดร้องทะลุกำแพงที่มองไม่เห็นแทรกเข้าในหัว

“โฮนาซิส… เฟรเกีย… โฮนาซิส… เฟรเกีย… โฮนาซิส… เฟรเกีย…”

 

“ค่อนข้างคุ้นครับ”

 

ไคลน์ตอบเถรตรง หัวสมองเริ่มทวีความเจ็บแปลบ แต่โชคดีที่มันแตะหว่างคิ้วสองหนได้ทันท่วงทีและหลุดพ้นจากภาวะเนตรวิญญาณ

 

โฮนาซิส… หมายถึงเทือกเขาโฮนาซิสที่ถูกเอ่ยถึงในไดอารีของไคลน์คนก่อนงั้นหรือ?

 

นั่นคือเนื้อหาที่ไคลน์ เวิร์ช และนาย่าช่วยกันถอดรหัสสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัส…

 

เสียงกระซิบโฮนาซิสคล้ายคลึงกับเหตุการณ์เมื่อครั้งดื่มโอสถมาก

 

หรือคำว่า‘โฮนาซิส’จะเป็นเสียงที่คอย‘ล่อลวง’ให้ผู้วิเศษเกิดอาการคลุ้มคลั่ง?

 

ดันน์พยักหน้าเล็กน้อยและเดินไปยังตู้กับข้าวเก่า ถุงมือหนังข้างขวาออกแรงกระชากบานประตูไม้

 

ภายในตู้มีเพียงขนมปังขึ้นราและหนูสีเทาราวเจ็ดตัวที่นอนแห้งตายอย่างสงบ

 

“เลียวนาร์ด ลงไปชั้นล่างและแจ้งกับตำรวจลาดตระเวณถึงสถานการณ์ปัจจุบัน”

ดันน์กำชับ

 

“ครับผม”

 

เลียวนาร์ดหันหลังและเดินไปจากห้อง

 

ถัดมา ดันน์ลงมือสำรวจภายในห้องนอนอีกสองห้องที่เหลือ มันพยายามค้นหาเบาะแสด้วยท่าทีระมัดระวัง

 

หลังจากยืนยันแล้วว่าไม่พบเบาะแสใด รวมถึงการมีตัวตนของสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัส ฟรายลุกขึ้นยืนขึ้นและเช็ดมือด้วยผ้าสีขาวส่วนตัวที่เตรียมมาเอง

 

“ตายนานกว่าห้าวัน ไม่มีบาดแผลภายนอก ไม่มีร่องรอยการลงมือจากผู้วิเศษ สาเหตุการเสียชีวิตต้องชันสูตรอย่างละเอียดอีกครั้ง”

 

“พวกคุณพบอะไรบ้างไหม?”

 

ดันน์หันไปถามทางฝั่งลุงนีลล์และไคลน์

 

ทั้งสองที่ไม่ได้อยู่ในภาวะเนตรวิญญาณต่างส่ายศีรษะพร้อมกัน

 

“นอกจากศพแล้ว ทุกอย่างในห้องปรกติดี แถมยังไม่มีกำแพงใสหลงเหลือภายในห้องก่อนพวกเราจะมาถึง …ก็อย่างที่นายทราบ การจะลงมือทำพิธีกรรมทุกครั้ง จำเป็นต้องพึ่งพากำแพงที่มองไม่เห็นเพื่อให้ไม่ถูกรบกวน”

 

ลุงนีลล์ครุ่นคิดสองสามวินาทีก่อนจะอธิบาย

 

ขณะดันน์กำลังจะกล่าวบางสิ่ง สายตาของมันพลันชำเลืองไปนอกประตู ไคลน์และนีลล์ที่สัมผัสถึงความผิดปรกติต่างหันไปมองบันไดพร้อมกัน

 

ไม่กี่วินาทีถัดมา เสียงฝีเท้าดังเจือจางจากชั้นล่าง เป็นตำรวจลาดตระเวณที่เลียวนาร์ดพาตัวมาทำคดี

 

เจ้าหน้าที่ตำรวจแสดงสีหน้าบิดเบี้ยวหลังได้กลิ่นไม่พึงประสงค์

 

โดยไม่รอช้า ตำรวจคนดังกล่าวรีบให้ความร่วมมือกับ‘เพื่อนร่วมงาน’ซึ่งเป็นหน่วยปฏิบัติการพิเศษที่เจ็ดอย่างกระฉับกระเฉง มันเดินลงไปเคาะประตูห้องชั้นล่างเพื่อไต่ถามถึงข้อมูลบุคคลที่พักอาศัยบนชั้นสาม

หลังจากสอบสวนไม่นานก็ได้ความ ตำรวจยศสองบั้งเงินเดินขึ้นมายังห้องเกิดเหตุ สายตาชำเลืองมองศพบนเก้าอี้โยกเล็กน้อย

 

“เคธี่·สเตฟาน่า·บีเบอร์ อายุระหว่าง 55 ถึง 60 ปี เป็นหม้าย เช่าห้องนี้ร่วมกับบุตรชาย รีเอล·บีเบอร์ มานานกว่าสิบปีแล้ว

“สามีเป็นช่างอัญมณีฝีมือดี บุตรชายอายุราวสามสิบ สืบทอดกิจการต่อจากบิดา ทำเงินได้สัปดาห์ละหนึ่งปอนด์สิบห้าซูล จากปากคำของเพื่อนบ้าน ทั้งสองถูกพบตัวครั้งสุดท้ายราวหนึ่งสัปดาห์ก่อน”

 

ยังไม่ทันที่ตำรวจจะอธิบายต่อ ไคลน์ทราบทันทีว่าตัวการสำคัญเป็นใคร

 

หายไปไหน…

 

รีเอล·บีเบอร์หายไปไหน!

 

มีโอกาสสูงมากที่สมุดบันทึกโบราณจะอยู่กับหมอนั่น!

 

“คุณมีภาพของรีเอล·บีเบอร์ไหม?”

 

ดันน์หันมองตำรวจก่อนจะเอ่ยปากถาม มันกำลังแสร้งทำทีเป็นนายตำรวจระดับสูง

 

แต่อันที่จริง ใช้คำว่าแสร้งคงไม่ถูกนัก เพราะในรายชื่อข้าราชการตำรวจอาณาจักรโลเอ็น ดันน์·สนิทติดยศนายตำรวจระดับสูง!

 

เงินเดือนและเบี้ยเลี้ยงส่วนหนึ่งของดันน์ก็มาจากกรมตำรวจโดยตรง และยังมีอีกส่วนที่มาจากโบสถ์

เจ้าหน้าที่ตำรวจส่ายศีรษะกระสับกระส่าย

 

“ผมให้คำตอบไม่ได้ ต้องกลับไปตรวจสอบที่สถานีก่อน พวกเราไม่ได้มีภาพของชาวเมืองทุกคนเก็บไว้”

 

“เข้าใจแล้ว รบกวนสอบปากคำผู้อยู่อาศัยทุกห้องในอาคารโดยละเอียดด้วย”

 

ดันน์ออกคำสั่งเสียงขรึม

 

ขณะยืนมองเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินจากไป ดันน์รีบปิดประตูมิดชิดก่อนจะหันมองลุงนีลล์

 

“ผมจะให้คุณจัดการที่นี่ แต่ถ้ายังไม่สำเร็จ ผมคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำให้ผู้พักอาศัยทุกคนในตึกหลับ นั่นคือวิธีเดียวที่เราจะได้ภาพรีเอล·บีเบอร์อย่างชัดเจน ผมไม่คิดว่าการสเก็ตช์ภาพคนร้ายจากปากคำพยานจะแม่นยำน่าเชื่อถือสักเท่าไร”

 

ลุงนีลล์พยักหน้า มันหยิบขวดปริศนาขนาดเล็กราวหัวแม่มือออกจากกระเป๋าชุดคลุมดำ ก่อนจะบรรจงสาดของเหลวในขวดตามลำดับอย่างพิถีพิถัน

 

ถัดมาเป็นการกำผงบางสิ่งโปรยรอบตัวเป็นวงกลม

 

น่าประหลาดมาก กลิ่นประหลาดเริ่มโชยไปทั่วห้องแทนที่กลิ่นเหม็นเน่าซากศพ ไคลน์เริ่มสังเกตุเห็นกำแพงใสก่อตัวรอบลุงนีลล์ สนามพลังดังกล่าวราวกับทำหน้าที่กั้นแบ่งระหว่างสภาพแวดล้อมด้านในและด้านนอกให้แยกจากกันโดยสิ้นเชิง

 

บรรยากาศห้องกลับไปมีลักษณะคล้ายคลึงในตอนเพิ่งพบศพอีกครั้ง

 

ลุงนีลล์หรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง ริมฝีปากพึมพำคาถาด้วยเสียงค่อยจนยากจะฟังได้ศัพท์ แต่ถึงอย่างนั้น ไคลน์ก็พอจะจับใจความได้บ้างเล็กน้อย ในบทคาถามีประโยคซ้ำเดิมบ่อยครั้ง จำพวก‘ท่านเทพธิดา ได้โปรดประทานพลังให้พวกเราด้วย’และ‘พวกเราปรารถนาการปกป้องจากรัตติกาล…’

 

ฟุ่บ!

 

สายลมพันผ่านฉับพลันเข้ามาทางหน้าต่าง ผงปริศนาที่ลุงนีลล์โปรยไว้รอบตัวเริ่มฟุ้งกระจาย

 

หัวใจไคลน์เต้นระรัว เส้นขนลุกชูชันทั่วร่าง เป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่ยากอธิบายด้วยถ้อยคำ ชายหนุ่มพบว่า‘กลิ่น’ที่ตนกำลังสูดดมเข้าปอดได้มอบความหวาดกลัวจากก้นบึ้งหัวใจ

 

ความสับสนเพิ่มพูนควบคู่ไปกับความตึงเครียด คล้ายกับในยามที่เรียนคาบวิชาคณิตศาสตร์แล้วไม่เข้าใจที่ครูสอน

 

ทันใดนั้น ดวงตาลุงนีลล์เบิกโพลงด้วยนัยน์ตาดำสนิท

 

มันหยิบปากกาหมึกซึมจากกระเป๋าเสื้อและเริ่มก้มหน้าวาดบางสิ่งลงบนกระดาษด้วยความเร็วสูง เร็วจนร่างกายชายชราสั่นเทิ่มไม่เป็นจังหวะ

 

ไคลน์เพ่งสมาธิจดจ้องไปบนแผ่นกระดาษ เพียงไม่นาน ภาพโครงหน้าและสันจมูกของบุรุษผู้หนึ่งเริ่มปรากฏเป็นรูปเป็นร่าง

 

เมื่อวาดผมสั้นหยักโศกตามธรรมชาติเสร็จ ลุงนีลล์เขียนบางสิ่งกำกับลงไปใต้ภาพเหมือน

 

“ผมดำ นัยน์ตาฟ้าเข้ม ฝั่งซ้ายของช่องปากเป็นฟันเซรามิค”

 

ตึก!

 

ปากกาหมึกซึมถูกวางกระแทงลงบนกระดาษจนเกิดเสียง ร่างกายลุงนีลล์ออกอาการชักกระตุกสองสามหน

 

“นี่คือภาพของรีเอล·บีเบอร์จากเบาะแสที่หลงเหลือภายในห้อง”

 

ลุงนีลล์ส่งเสียงกระซิบขณะเปลือกตาเริ่มเปิดขึ้น ถัดมา มันเดินกลับไปยืนในจุดกึ่งกลางวงกลมพีธีกรรม ก่อนจะหมุนตัวหนึ่งรอบอย่างเชื่องช้าเพื่อสลายกำแพงใสที่มองไม่เห็นให้กลายเป็นสายลม

 

“เทพธิดาจงเจริญ”

 

ลุงนีลล์ทำสัญลักษณ์สี่จุดบนหน้าอกแสดงถึงจันทร์สีชาด

 

ไคลน์เริ่มผ่อนคลาย สมาธิของมันเพ่งมองไปยังภาพเหมือนของรีเอล·บีเบอร์ บุรุษวัยกว่าสามสิบผู้นี้ไม่มีเอกลักษณ์ใดโดดเด่นหรือผิดธรรมชาติ ใบหน้าค่อนข้างราบเรียบอ่อนโยน จุดเดียวที่เตะตาคือบริเวณใต้จมูกเหนือริมฝีปากซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ …อาจเกี่ยวพันกับฟันเซรามิคก็เป็นได้

 

“ผมจะลองค้นหาด้วยเทคนิคแท่งวิญญาณ”

 

ชายหนุ่มหยิบภาพเหมือนของรีเอลขึ้นมาถือ จากนั้นเดินรื้อค้นเสื้อผ้าบุรุษเก่าภายในห้องพักจนพบ

 

วัตถุทั้งสองถูกวางลงบนพื้นห้อง

 

ดันน์ เลียวนาร์ด และลุงนีลล์ ไม่มีใครคิดขัดขวางไคลน์ แต่ละคนทำเพียงยืนจ้องมองชายหนุ่มหยิบไม้ค้ำปักลงพื้นในจุดเหนือเสื้อผ้าเก่า ส่วนฟรายยังคงเงียบงันเช่นเคย

 

นัยต์ตาไคลน์แปรเปลี่ยนจากน้ำตาลเป็นเกือบดำ มันพึมพำคาถาเสียงค่อยก่อนจะปล่อยมือเป็นอิสระจากไม้ค้ำ

 

ไม้ค้ำเลี่ยมเงินตั้งตรงกลางอากาศโดยไม่แยแสกฏแห่งแรงโน้มถ่วง ประหนึ่งปลายแหลมเสียบปักพื้นไว้ก็มิปาน

 

“ที่อยู่ของรีเอล·บีเบอร์”

 

มันทวนซ้ำกับตัวเองเจ็ดรอบ

 

เมื่อเกิดสายลมพัดผ่าน ไม้ค้ำเริ่มเอนตัวลงเล็กน้อย แต่กลับหมุนเปลี่ยนทิศทางกระทันหันเป็นวงกลม หมุนอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งกลับมาตั้งตรงใหม่อีกหนโดยปราศจากแรงกระทำจากภายนอก

 

ไคลน์เดินเข้าไปใช้มือจับไม้ค้ำและท่องคาถาเสียงค่อยก่อนจะปล่อยมือเริ่มทำนาย

 

ไม้ค้ำแสดงอากัปกริยาเหมือนเดิมทุกประการ มันทิ้งตัวเล็กน้อยและหมุนเป็นวงกลมก่อนจะกลับไปตั้งตรงดังเดิม

 

หลังจากเกิดเหตุการณ์เดิมซ้ำขึ้นอีกสองสามหน ไคลน์ตัดสินใจยอมแพ้

 

มีพลังลึกลับขัดขวาง‘การทำนาย’ไว้

 

ดันน์ถอดถุงมือหนังสีดำออกและไปกล่าวกับเลียวนาร์ด

 

“นำภาพเหมือนของรีเอล·บีเบอร์ไปสอบปากคำผู้พักอาศัยเพื่อยืนยันว่าเป็นบุคคลเดียวกัน เมื่อแน่ใจแล้ว ให้รีบออกหมายจับในคดีสังหารมารดาตัวเองทันที”

 

“ครับผม”

 

ไคลน์เก็บไม้ค้ำกลับและโน้มตัวลงไปหยิบภาพเหมือนของรีเอล·บีเบอร์ที่ลุงนีลล์ร่างไว้

 

หลังจากเพื่อนบ้านยืนยันแล้วว่าภาพดังกล่าวคือรีเอล·บีเบอร์ไม่ผิด ดันน์ออกคำสั่งให้เลียวนาร์ดและเจ้าหน้าที่ตำรวจกลับไปจัดการเอกสารที่สถานีให้เรียบร้อย ส่วนตัวมันมุ่งหน้าไปยังบาร์สองสามแห่งในทิงเก็นเพื่อขอความร่วมมือผ่านช่องทางอื่น

 

ด้านไคลน์และลุงนีลล์เดินทางกลับบริษัทรักษาความปลอดภัยหนามทมิฬบนถนนซุตแลน ในตอนที่มาถึง เข็มสั้นบอกชั่วโมงยังขยับไม่ถึงเลขแปด จึงไม่แปลกที่โรแซนจะยังไม่เข้างาน

 

หลังจากปิดประตูสำนักงาน ไคลน์เงยหน้ามองลุงนีลล์ก่อนจะเอ่ยปากถามอย่างใคร่รู้

 

“ทำไมผมถึงต้องส่งสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสให้รีเอล·บีเบอร์์ด้วย?”

 

อาคารที่เกิดเหตุเป็นคนละทิศทางกับบ้านพักของเวิร์ชและถนนกางเขนเหล็กโดยสิ้นเชิง

 

ลุงนีลล์เดินไปนั่งบนโซฟาก่อนจะส่งเสียงคิกคัก

 

“แน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? สมุดเล่มดังกล่าวมีพลังเร้นลับซ่อนอยู่ เจ้าอาจประกอบพิธีกรรมกับเพื่อนโดยไม่รู้ความ ส่งผลให้ไปปลุกตัวตนลึกลับภายในสมุดเข้า

 

“ตัวตนดังกล่าวครอบงำเจ้าให้มอบสมุดบันทึกกับรีเอล·บีเบอร์และลบร่องรอยทั้งหมดทิ้งหลังจากเสร็จพิธี เพื่อไม่ให้ใครตามหามันพบเป็นหนที่สอง

 

“ด้วยเหตุนี้ เจ้าที่เป็นผู้ส่งสมุดจึงมีชีวิตอยู่เป็นคนสุดท้ายและเดินทางออกจากบ้านเวิร์ช ส่วนมิสเตอร์เวอร์และมิสนาย่าลงมือปลิดชีวิตตัวเองในที่เกิดเหตุ… แต่หากถามถึงสาเหตุที่เจ้ายังรอดชีวิต ฉันเองก็ไม่ทราบเหมือนกัน”

 

“เรื่องนั้น… ผมเองก็อยากทราบ”

 

ไคลน์นั่งลงและกล่าวต่อด้วยรอยยิ้มเย็นชืด

“ผมเคยวิเคราะห์ในสมมติฐานแบบเดียวกับคุณมาก่อน แต่สิ่งที่ยังคาใจคือ ทำไมพลังลึกลับในสมุดถึงดลใจให้ผมมอบสมุดบันทึกให้รีเอล·บีเบอร์? ทำไมถึงเป็นหมอนั่น?”

 

ลุงนีลล์ยักไหล่ตอบ

 

“บางที อาจเป็นเพราะดวงชะตารีเอล·บีเบอร์มีการเชื่อมโยงกับสมุดอย่างแนบแน่น หรือไม่ก็ เพราะมันคือทายาทคนสุดท้ายของตระกูลอันทีโกส จะเป็นแบบไหนก็ได้… สรุปโดยสั้นก็คือ พวกเรามีข้อมูลน้อยเกินกว่าจะหาคำอธิบาย… และเรื่องที่สมุดโบราณเล่มดังกล่าวปรากฏตัวในเมืองทิงเก็นก็คงด้วยเหตุผลเดียวกัน”

 

“ผมไม่คิดว่ารีเอล·บีเบอร์จะเป็นทายาทตระกูลอันทีโกนัส”

 

ไคลน์ถอนหายใจอย่างผิดหวัง

 

“น่าเสียดาย ผมน่าจะรู้ตัวเร็วกว่านี้ ก่อนที่รีเอล·บีเบอร์จะไหวตัวทันและหนีไปพร้อมสมุดบันทึก”

 

ลุงนีลล์อมยิ้ม

 

“นั่นอาจเป็นเรื่องแย่สำหรับดันน์ แต่สำหรับตัวเจ้า ฉันกลับมองว่าเป็นเรื่องที่ดีแล้ว”

 

“คุณหมายความว่ายังไง?”

 

ไคลน์ขมวดคิ้วงุนงง

 

▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬

ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร - เสาร์

ติดตามผู้แปลได้ที่ : www.facebook.com/bjknovel/

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด