ตอนที่แล้วบทที่ 88 ตำรับอาหารซอมบี้
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 90 ผมเย็บถุงเท้าเป็น พอได้ไหม?

บทที่ 89 ความอึดอัดหลังพูดไม่คิด


บทที่ 89 ความอึดอัดหลังพูดไม่คิด

(PS: ขออภัยเพื่อนนักอ่านทุกท่าน ปกตินักเขียนจะตั้งค่าเป็นอัพโหลดอัตโนมัติ แต่วันนี้ดันลืมเสียได้!)

 

ขณะที่ซอมบี้ภายในตึกปฏิบัติการถูกจัดการเกลี้ยงแล้ว หลิงม่อใช้ความสามารถในการควบคุมหุ่นซอมบี้ของเขา ควบคุมซอมบี้ที่เหลือตัวอื่นๆ อย่างสุดความสามารถให้เข้าไปรวมตัวกันในห้องๆ หนึ่ง จากนั้นก็ควบคุมให้ล็อคประตูจากด้านใน เพื่อหลีกเลี่ยงการต่อสู้ที่ไม่จำเป็น

 

เมื่อเทียบกับซอมบี้กลายพันธุ์แล้ว แม้ว่าซอมบี้ทั่วไปจะมีจำนวนมากกว่าก็ตาม แต่ก็ไม่ได้มีสติรู้คิด ทันทีที่จับทางสัญชาตญาณและความเคยชินของมันได้ การรับมือกับมันก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย แม้กระทั่งสำหรับคนธรรมดาทั่วไป เพียงแค่รักษาความสงบเอาไว้ และใช้ไหวพริบด้านต่างๆ ก็ใช่ว่าจะหาทางเอาชีวิตรอดไม่ได้เสียทีเดียว

 

ในทางกลับกัน การเอาชีวิตรอดกับการเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระนั้นคนละเรื่องเลย อย่างหลิงม่อที่รบราฆ่าฟันกับซอมบี้ในวิทยาเขตกึ่งปิดมามากกว่าครึ่งอย่างนี้ คนทั่วไปอย่าว่าแต่ทำ แม้กระทั่งคิดยังไม่กล้าคิดเสียด้วยซ้ำ

 

หลังจากนำก้อนไวรัสให้เย่เลี่ยนกินหนึ่งก้อนแล้ว เขาจงใจนำอีกก้อนแยกเก็บไว้อีกที่หนึ่ง จากนั้นก็นำก้อนไวรัสที่เหลือสามก้อนยัดเก็บเข้าไปในถุงพลาสติก เขาเดาว่าในเวลาไม่นาน ไวรัสเหล่านี้น่าจะหลอมละลายรวมกัน กลายเป็นก้อนไวรัสความบริสุทธิ์ค่อนข้างสูงก้อนหนึ่ง

 

วิวัฒนาการของซอมบี้ บางทีผลอาจจะขึ้นอยู่กับวิวัฒนาการการผสานกันระหว่างก้อนไวรัสก็เป็นได้…

 

หลังจากกลับลงไปด้านล่างตึก หลิงม่อหาโอกาสนำก้อนไวรัสก้อนนั้นให้ซย่าน่ากิน จากนั้นจึงได้ถามหลินล่วนชิวว่า “ใกล้จะถึงโรงพยาบาลแล้ว คุณลองบอกสถานการณ์รอบๆ โรงพยาบาลมาหน่อย พอถึงที่นั่นแล้ว พวกเราจำเป็นต้องหยุดพักสักระยะหนึ่ง”

 

โรงพยาบาลของมหาลัยถึงแม้จะเป็นเหมือนแค่คลินิกขนาดใหญ่ แต่ของที่ไม่สามารถหาได้ในร้านยาทั่วไป บางทีอาจจะมีอยู่ในนั้นก็ได้ นอกจากนั้นถึงแม้ว่าหลิงม่อตกลงพาหลินล่วนชิวไปส่งที่โรงพยาบาลอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะกลับออกมามือเปล่า

 

พูดกันตามจริงแล้วเขากับหลินล่วนชิวไม่ได้มีความสัมพันธ์พิเศษอะไรกันเลย เพียงแต่ต้องพึ่งพาอาศัยกันในด้านต่างๆ เป็นเหมือนเพียงการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ครั้งหนึ่งเท่านั้น แต่ความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่างมนุษย์กับซอมบี้ทั่วไป คือมนุษย์ไม่ได้ใช้สัญชาตญาณในการเคลื่อนไหว แต่มีความรู้สึกเป็นของตัวเอง หลิงม่อเองก็เช่นกัน สำหรับหญิงสาวที่ยืนหยัดด้วยตัวเอง พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะไม่เพิ่มภาระให้คนอื่นอย่างหลินล่วนชิว แน่นอนว่าเขาย่อมถูกชะตาด้วยอยู่แล้ว ดังนั้นแค่เรื่องเล็กน้อยอย่างช่วยเธอทำแผล หลิงม่อไม่ได้คิดมากอะไร แค่ช่วยเท่าที่ทำได้เท่านั้น

 

หลินล่วนชิวแอบมองเย่เลี่ยนด้วยความสงสัย และมองไปทางหลิงม่อด้วย แต่นอกจากมองออกว่าพวกเขาได้ผ่านการต่อสู้กับซอมบี้มาแล้ว ก็ไม่สามารถเดาอะไรเพิ่มได้อีก

 

พอได้ยินคำถามของหลิงม่อ เธอจึงทำได้แค่หยุดเดา แล้วบอกว่า “ก่อนหน้านั้นตอนที่ฉันอยู่ในทีมช่วยเหลือตัวเอง เพราะมีนักศึกษาหลายคนที่ได้รับบาดเจ็บ พวกเราจึงเคยมีความคิดที่จะไปโรงพยาบาลของมหาลัยเหมือนกัน ต่อมาเพราะยากเกินไปเลยยอมแพ้กันเสียก่อน แต่ฉันก็พอรู้เกี่ยวกับสถานการณ์รอบโรงพยาบาลอยู่บ้าง ด้านในมีเพียงหมอเข้าเวรหนึ่งคนและพยาบาลสองคน พอภัยพิบัติระบาดด้านในมีคนไข้หรือไม่นั้นฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจสักเท่าไหร่ แต่ฉันรู้ว่าด้านในพื้นที่ค่อนข้างกว้าง ถึงจะมีซอมบี้โผล่มาบ้างก็จะไม่ส่งผลกระทบอะไรมากนัก อย่างน้อยหากสถานการณ์ดูไม่เข้าท่า เราจะถอยออกมาก็ยังได้”

 

ถึงแม้ปากเธอจะพูดอย่างนี้ ในใจกลับคิดว่า จำนวนซอมบี้ในโรงพยาบาลไม่มีทางมากไปกว่าซอมบี้ที่ตึกปฏิบัติการณ์แห่งนี้แน่นอน ในเมื่อหลิงม่อกับเย่เลี่ยนยังสามารถวิ่งขึ้นตึกไปลุยกับพวกมันมาแล้วหนึ่งตั้ง ถ้าอย่างนั้นสำหรับพวกเขาการเข้าออกโรงพยาบาลคงกลายเป็นเรื่องง่ายแสนง่าย

 

แต่คิดก็ส่วนคิด หลินล่วนชิวยังซื่อสัตย์ต่อจรรยาบรรณในวิชาชีพของเธออย่างสุดใจ ดังนั้นเธอจึงยังคงเตือนอย่างระมัดระวังในตอนท้าย

 

“ถ้าอย่างนั้นจากที่นี่ไป ยังต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่” หลิงม่อก้มหน้าครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วถามขึ้นอีก

 

หลินล่วนชิวครุ่นคิดแล้วบอกว่า “นานสุดคงใช้เวลาแค่ห้านาที แต่ฉันไม่แนะนำให้ไปทางถนนใหญ่ เพราะระหว่างทางต้องผ่านสนามบาสฯ แห่งหนึ่ง ปกติที่นั่นคนเยอะ ตอนนี้ซอมบี้ก็คงเยอะเหมือนกัน เราอ้อมไปทางใกล้ๆ ดีกว่า”

 

“เรื่องนี้คงต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณแล้วล่ะ” หลิงม่อหัวเราะเบาๆ พลางพูดขึ้น

 

แต่พอเขาหันตัวกลับไป ก็ได้ยินหลินล่วนชิวถามเสียงเบากลับมาทันทีว่า “เรื่องนั้น…ที่จริงฉันอยากถามตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่…ฉันยอมรับว่าฉันก็เห็นแก่ตัวอยู่หน่อย อยากตามพวกคุณไปโรงพยาบาล จากนั้นค่อยคิดวิธีเอาชีวิตรอด แต่ปัญหานี้ มันกวนใจฉันจริง ๆ …”

 

“คุณพูดมาเถอะ” หลิงม่อหันกลับมามองเธอ เห็นท่าทีอึดอัดใจของเธอ ก็พลันสงสัยขึ้นมาบ้าง

 

หลินล่วนชิวมองเขาด้วยสายตาชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็เปลี่ยนไปมองเย่เลี่ยน จากนั้นก็ถามขึ้นว่า “ในเมื่อเย่เลี่ยนก็เป็นนักศึกษาของมหาลัยเรา ถึงเธอไม่รู้สถานการณ์ในตอนนี้ของมหาลัย แต่ต้องเดินทางเส้นใดเพื่อไปที่ไหน ก็น่าจะรู้ใช่ไหม แต่…”

 

หลิงม่อใจเต้น “ตึกตัก” แอบคิดว่าซวยแล้ว ตัวเขาคิดแค่เรื่องอยากมีคนนำทาง แต่กลับลืมเรื่องที่เย่เลี่ยนเองก็เป็นนักศึกษาของมหาลัย X เหมือนกัน แล้วเธอก็แสดงท่าทีชัดเจนมากว่าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเส้นทางสักนิด คงหลีกเลี่ยงที่จะดึงดูดความสงสัยจากหลินล่วนชิวได้ยาก

 

แต่ปฏิกิริยาโต้ตอบของหลิงม่อยังคงว่องไว พอเห็นสายตาแปลกใจที่หลินล่วนชิวมองมายังตนเอง หลิงม่อยิ้มเศร้าทีหนึ่ง นัยน์ตาพลันประกายความปวดใจแวบหนึ่ง “เย่เลี่ยนสูญเสียความทรงจำของเธอไปแล้ว”

 

“ความจำเสื่อมหรอ?”

 

ทำไมถึงความจำเสื่อมได้ล่ะ?

 

หลินล่วนชิวตกใจไปชั่วครู่ แต่พอเธออยากจะถามต่อ ก็สังเกตเห็นแววตาของหลิงม่อ จึงปิดปากลงทันที

 

แววตาแบบนี้ของหลิงม่อไม่ใช่แววตาที่แกล้งทำแน่นอน สำหรับซอมบี้ที่ผ่านการกลายพันธุ์มาแล้วอย่างเย่เลี่ยน สถานการณ์เธอในตอนนี้แทบไม่ต่างกับความจำเสื่อม ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่สามารถเปิดเผยตัวตนของเย่เลี่ยนได้นั้น คำอธิบายนี้เป็นคำอธิบายที่เหมาะสมที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

 

“ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจถามไม่คิดแบบนี้…” ในใจหลินล่วนชิวรู้สึกผิดขึ้นมาทันที แอบก่นด่าตัวเองว่าเรื่องเยอะจริงเรา หลังจากที่เธอสงสัยในตัวเย่เลี่ยนกับซย่าน่า ยิ่งหลิงม่อคนนี้เองก็แสดงท่าทีน่าสงสัยอยู่ พฤติกรรมบางอย่างก็ไม่ค่อยสมเหตุสมผล ดังนั้นภายใต้ความสงสัยใคร่รู้ ดันโพล่งถามหนึ่งในอีกหลายคำถามที่ตัวเองอยากรู้ออกไป

 

แต่ในตอนนี้พอเห็นปฏิกิริยาของหลิงม่อแล้ว สายตาที่เธอมองไปยังเย่เลี่ยนก็เปลี่ยนไปในทันที

 

ก่อนหน้านั้นสำหรับผู้หญิงคนนี้ที่รูปร่างหน้าตาดีมาก แต่กลับมีท่าทีเย็นชา ไม่มีแม้แต่ปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ ความจริงหลินล่วนชิวก็รู้สึกกลัวอยู่บ้าง เธอจึงเลือกที่จะปฏิบัติตัวต่อเย่เลี่ยนด้วยท่าทีเหมือนเป็นมิตรในขณะเดียวกันก็รักษาระยะห่างไว้ด้วย แต่ตอนนี้เธอกลับคิดว่า ไม่รู้เย่เลี่ยนต้องผ่านเรื่องราวน่ากลัวอะไรมา ถึงขนาดทำให้ความจำเสื่อม ส่วนหลิงม่อก็เต็มใจเก็บหญิงสาวที่ความจำเสื่อมแบบนี้ไว้ข้างกาย นี่ไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปสามารถทำได้เลยจริงๆ

 

ในโลกที่เต็มไปด้วยอันตรายทุกที่อย่างนี้ สำหรับคนทั่วไปก็เหมือนน้ำแข็งแผ่นบางๆ ยิ่งสำหรับผู้ป่วยความจำเสื่อมด้วยแล้ว…

 

คำพูดไม่คิดของตัวเอง คงไปสะกิดโดนเรื่องปวดใจของหลิงม่อเข้าให้แล้ว…

 

หลินล่วนชิวที่กำลังรู้สึกผิดลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ พูดด้วยท่าทางอึดอัด “ฉันขอโทษจริงๆ”

 

“ไม่เป็นไร” ในใจหลิงม่อรู้สึกเจ็บปวดจริงๆ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ทำได้แค่แนะนำเย่เลี่ยนต่อหน้าคนอื่นว่าเป็นผู้ป่วยความจำเสื่อม แท้ที่จริงไม่มีใครรู้เลยว่าเย่เลี่ยนไม่ใช่แค่ความจำเสื่อมธรรมดา แต่เธอได้สูญเสียตัวตนความเป็นมนุษย์ไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว

 

ยังดีที่อีกหน่อยหากเย่เลี่ยนฟื้นฟูความจำได้ และไม่ต้องกลายเป็นซอมบี้ทนเจ็บปวดทุกข์ทรมานเพราะตัวเขา นี่คงเป็นบทสรุปของตอนจบที่ดีที่สุดสำหรับหลิงม่อแล้ว หากในตอนเริ่มแรกที่ซย่าน่าฟื้นฟูความจำได้ สามารถฟื้นฟูธรรมชาติพื้นฐานของมนุษย์กลับมาได้ด้วย ถึงตอนนั้นหลิงม่อคงต้องคิดไคร่ครวญดีๆ ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะดีต่อเย่เลี่ยนจริง ๆ

 

ทว่าในตอนนี้ เขาสามารถช่วยเย่เลี่ยนฟื้นฟูความจำและพัฒนาสติสัมปชัญญะของเธอได้อย่างวางใจ

 

พอมีสถานการณ์แบบนี้แทรกเข้ามา บรรยากาศเลยดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่

 

หลิงม่อเองก็ไม่ได้คิดจะหยุดพักที่นี่ต่อ หลังจากพักต่อสักครู่จึงพาคนทั้งกลุ่มออกเดินทางต่อ

 

คราวนี้เดินบนถนนใหญ่อยู่ได้ไม่นาน หลินล่วนชิวก็พาทั้งสามอ้อมไปทางสวนดอกไม้เล็กๆ แห่งหนึ่ง เร่งเดินไปตามทางลัดสู่โรงพยาบาลของมหาลัย

 

ผ่านพ้นแนวต้นไม้ใหญ่ริมทางมาครู่หนึ่ง หลิงม่อพบว่าอีกด้านหนึ่งของถนนเป็นสนามบาสฯ อย่างที่คาดไว้จริงๆ รอบๆ สนามมีซอมบี้จำนวนมากเดินไปเดินมา หากดันทุรังฝ่าเข้าไป ไม่รู้ว่าต้องเสียเวลานานแค่ไหนถึงจะผ่านไปได้ ไม่แน่ว่าอาจถึงขั้นมีอันตรายเลยก็ได้

 

-----------------------------------------------------------------------------

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด