ตอนที่แล้วราชันย์เร้นลับ 6 : ผู้วิเศษ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปราชันย์เร้นลับ 8 : ยุคสมัยใหม่

ราชันย์เร้นลับ 7 : นามแฝง


ราชันย์เร้นลับ 7 : นามแฝง

 

“จงเรียกข้าว่า… เดอะฟูล”

 

ชื่อที่เรียบง่ายถูกเปล่งกังวาลทั่วห้วงมิติสายหมอกสีเทา แต่เพียงไม่นานก็เลือนลับหายไป

 

ทว่า เสียงกลับยังดังสะท้อนภายในใจอัลเจอร์และออเดรย์อีกหลายระลอก

 

พวกมันไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะใช้นามแฝงเพื่อปกปิดตัวตน แต่เมื่อลองคิดดูให้ดี การเรียกด้วยนามแฝงคงเหมาะสมกับ ‘บุคคลลึกลับ’ มากกว่า

หลังจากเงียบงันครู่หนึ่ง ออเดรย์ลุกยืนขึ้นพลางดึงชายกระโปรง ก่อนจะถอนสายบัวให้โจวหมิงรุ่ยอย่างนอบน้อม

 

“มิสเตอร์ฟูลที่เคารพ ได้โปรดเป็นสักขีพยานในการแลกเปลี่ยนของพวกเราด้วยค่ะ”

 

“ไม่มีปัญหา”

 

หมิงรุ่ยตอบสั้นห้วนแต่สง่าผ่าเผย มันพยายามรักษาภาพลักษณ์ผู้ยิ่งใหญ่ไว้

 

“เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ”

อัลเจอร์ยืนขึ้นพร้อมกับแบมือขวาแนบหน้าอก จากนั้นก็ก้มศีรษะลงเล็กน้อย

 

โจวหมิงรุ่ยผายมือขวาลงพลางอมยิ้ม

 

“เชิญต่อได้”

 

อัลเจอร์พยักหน้าก่อนจะนั่งลง มันหันไปกล่าวกับออเดรย์ต่อ

 

“หลังจากคุณหาโลหิตฉลามวิญญาณได้แล้ว ให้ใครสักคนนำไปส่งที่บาร์นักรบท้องทะเล ท่าเรือพริสต์ ถนนนกกระทุง รัฐกุหลาบขาว บอกเจ้าของร้านที่ชื่อวิลเลี่ยมว่า นี่คือสิ่งที่ ‘กัปตัน’ ต้องการ

 

“หลังจากผมยืนยันแล้วว่าเป็นของจริง คุณต้องการให้ส่งสูตรให้ตามที่อยู่ หรือจะให้บอกปากเปล่าภายในมิติแห่งนี้?”

ออเดรย์ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม

 

“ขอเป็นวิธีที่ปลอดภัยดีกว่า ให้คุณบอกปากเปล่าภายในมิติแห่งนี้ ถือเป็นการทดสอบความทรงจำของฉันด้วย”

 

ในมือมิสเตอร์ฟูลยอมเป็นสักขีพยานแลกเปลี่ยน หมายความว่าต้องมี ‘การรวมตัว’ คราวหน้าเกิดขึ้นอีกแน่

 

ด้วยความคิดเช่นนี้ ออเดรย์หันมองไปทางโจวหมิงรุ่ยด้วยดวงตาเปล่งประกาย น้ำเสียงเจือความตื่นเต้นหลายส่วน

 

“มิสเตอร์ฟูลคะ… ช่วย ‘ทดสอบ’ แบบนี้อีกสักสองสามครั้งได้รึเปล่า?”

 

อัลเจอร์พยักหน้ารับเห็นด้วย

มันรีบโน้มน้าว

 

“มิสเตอร์ฟูล คุณไม่คิดว่า ‘การรวมตัว’ เช่นนี้น่าสนใจหรอกหรือ? แม้คุณจะเป็นผู้วิเศษที่ครอบครองพลังเหนือจินตนาการ แต่อาจมีสักเรื่องสองเรื่องที่ไม่เคยทราบมาก่อน…  สตรีผู้นี้คือบุตรสาวของขุนนางตระกูลใหญ่ ส่วนผมก็มีทั้งประสบการณ์ วิสัยทัศน์ และทรัพยากรที่คุณอาจสนใจ หรือบางที อาจมีสักวันที่พวกเราพอจะช่วยคุณแก้ปัญหากวนใจเล็กน้อยได้”

 

ในมุมมองอัลเจอร์ การที่อีกฝ่าย ‘ลาก’ ตนเข้ามาในห้วงมิติโดยมิอาจขัดขืน หมายความว่า มิสเตอร์ฟูลมีอำนาจกุมชะตาชีวิตมันได้ทุกลมหายใจ ในสถานการณ์เสียเปรียบ การผูกมิตรย่อมเป็นทางเลือกที่ฉลาดกว่า

 

หากสนิทกันไว้ นอกจากจะไม่มีผลเสีย อาจมีผลดี เพราะแต่ละคนมาจากพื้นฐานครอบครัวและปูมหลังที่แตกต่างกัน สิ่งที่อีกคนหนึ่งขาดไป อีกคนอาจเติมเต็มให้กันได้

 

การแลกเปลี่ยนเมื่อครู่เป็นเพียงตัวอย่างพื้นฐาน หากต้องการอธิบายให้เห็นภาพ…

 

ยกตัวอย่างเช่น การจะลงมือ ‘ฆ่า’ ใครสักคน ถ้าให้สมาชิกภายในนี้ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับเหยื่อเป็นฝ่ายลงมือแทน ตำรวจไม่มีทางสืบสาวหาคนร้ายตัวจริงได้แน่

ทว่า เมื่ออัลเจอร์กล่าวจบและหันไปมองเด็กสาวผู้ร่าเริง ใบหน้าของเธอกลับกำลังเหม่อลอย…

 

‘นี่เราออกท่าทางมากไปงั้นหรือ?’

 

ออเดรย์จ้องมองอัลเกอร์พลางอ้าปากค้างชั่วขณะ นั่นไม่ใช่ความหวาดกลัว แต่เป็นความตื่นเต้นดีใจที่จะได้ทำเรื่องมหัศจรรย์ร่วมกับผู้อื่น

 

เพียงไม่นาน เธอดึงสติกลับมาและรีบพยักหน้าซ้ำหลายครั้ง

 

“มิสเตอร์ฟูล ฉันเองก็เห็นด้วย! หากมีเรื่องเล็กน้อยที่คุณไม่ต้องการเปลืองแรงลงมือทำด้วยตัวเอง คุณสามารถไหว้วานให้เราจัดการแทนได้ แต่ต้องอยู่ในขอบเขตความสามารถด้วยนะคะ”

 

นับตั้งแต่อัลเจอร์เสนอแนะ โจวหมิงรุ่ยก็ชั่งน้ำหนักผลดีผลเสียในใจมาตลอด

 

ยิ่งรวมตัวกันบ่อยครั้ง ตนก็จะยิ่งได้รับข้อมูลที่จำเป็นมากขึ้น ไม่ว่าจะเรื่องผู้วิเศษหรือความลับโลกใบนี้ อาจรวมถึงวิธีเดินทางกลับโลกเก่า

 

ตัวอย่างเช่น การพบปะกันครั้งหน้า เมื่อทั้งสองคนแลกเปลี่ยนเสร็จสิ้นและชายกำยำบอกสูตรโอสถ ‘ผู้ชม’ แบบปากเปล่า ตนก็มีสิทธิ์ได้รับฟังสูตรดังกล่าวด้วยเช่นกัน อาจมีบางวันที่ข้อมูลโอสถขวดนี้เกิดประโยชน์

 

แต่ขณะเดียวกัน ยิ่งรวมตัวบ่อยครั้ง ความลับของตัวมันก็อาจถูกเผยได้ง่ายขึ้น

 

นั่นสินะ ไม่ว่าจะโลกเก่าหรือใหม่ก็เหมือนกันหมด… ของฟรีก็ไม่มีในโลก

 

โจวหมิ่งรุ่ยเหยียดแขนขวาออกไปเคาะโต๊ะอย่างนุ่มนวล เมื่อคำนึงว่าตนคือเจ้าของมิติสายหมอก โอกาสที่ความลับจะแตกจึงมีไม่มากนัก หรืออีกนัยหนึ่ง ข้อดีมีมากกว่าข้อเสีย

เมื่อโจวหมิงรุ่ยตัดสินใจได้ มันหยุดเคาะโต๊ะพลางอมยิ้มให้กับบุคคลทั้งสองที่กำลังแสดงสีหน้าคาดหวังปนกระสับกระสาย

“ข้าชื่นชอบในความเท่าเทียม

 

“เมื่อมีคนช่วยเหลือ ผู้นั้นก็ต้องได้รับการตอบแทน

 

“ทุกวันจันทร์บ่ายสาม พยายามทำตัวให้ว่างเข้าไว้ ขอเวลาข้าทดสอบพลังอีกสักสองสามครั้ง หากค้นพบหลักการของห้วงมิติ บางทีอาจมีวิธีให้พวกเจ้าแจ้งล่วงหน้าเมื่อไม่สะดวกที่จะเข้าร่วม”

 

ทั้งอัลเจอร์และออเดรย์ต่างพยักหน้าพร้อมเพรียง

 

ออเดรย์คือบุตรสาวขุนนางวัยสิบเจ็ดปี เธอถูกเลี้ยงดูเยี่ยงไข่ในหินมาตลอด จึงมีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะเรียนรู้สิ่งแปลกใหม่จากโลกภายนอก

 

ดังนั้น เมื่อทราบว่า ‘ผู้ยิ่งใหญ่’ จะจัดการรวมตัวลี้ลับให้ทุกสัปดาห์ เด็กสาวผู้ไร้เดียงสาจึงกำหมัดแน่นอย่างมีความสุข

ออเดรย์ไม่เปิดโอกาสให้อัลเจอร์พูด เธอรีบเสนอแนะเรื่องถัดไปด้วยดวงตาเปล่งประกาย

 

“พวกเราทุกคนใช้ชื่นแทนกันเถอะ! จะให้บอกชื่อจริงคงไม่เหมาะสักเท่าไร”

 

‘เราอาจปกปิดมิสเตอร์ฟูลไม่ได้ แต่ชายกำยำคนนี้มีท่าทางอันตรายเล็กน้อย… เราจะให้เขาทราบตัวตนไม่ได้เด็ดขาด!’

 

“เป็นความคิดที่ดี”

 

โจวหมิงรุ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย

 

สมองออเดรย์พลันประมวลอย่างหนัก หลากหลายไอเดียผุดขึ้นในหัว จนกระทั่ง…

 

“ในเมื่อคุณคือมิสเตอร์ฟูลจากไพ่ทาโร่ต์ ถ้าอย่างนั้น การรวมตัวลับของพวกเราก็ควรเป็นไปในทางเดียวกัน ฉันจะเลือกชื่อจากไพ่ทาโร่ต์บ้าง”

 

ออเดรย์กำลังครุ่นคิดอย่างตื่นเต้น

 

“ตัดสินใจได้แล้ว! ฉันจะชื่อ ‘จัสติส’!”

 

หนึ่งใน 22 ไพ่สำรับหลักของทาไร่ต์

 

“แล้วคุณล่ะ? มิสเตอร์…”

 

สาวน้อยอมยิ้มพลางหันไปมอง ‘คู่ค้า’ รูปร่างกำยำที่นั่งฝั่งตรงข้าม

 

อัลเจอร์ขมวดคิ้วครู่หนึ่งก่อนจะตอบ

 

“เดอะแฮงแมน”

 

เป็นหนึ่งใน 22 ไพ่สำรับหลักเช่นกัน

 

“เอาล่ะ พวกเราจะเรียกการรวมตัวที่นี่ว่า ‘ชุมนุมไพ่ท่าโรต์’!”

 

ออเดรย์กล่าวอย่างตื่นเต้น จนกระทั่งผ่านไปหนึ่งอึดใจ เธอเพิ่งตระหนักได้ว่ากิริยาของตนออกนอกหน้าเกินไปสักหน่อย จึงหันไปถามโจวหมิงรุ่ยที่มีหมอกเทารายล้อมเข้มข้น

 

“ใช้ชื่อนี้ได้รึเปล่าคะ? มิสเตอร์ฟูล”

 

โจวหมิงรุ่ยส่ายศีรษะเล็กน้อย

 

“เรื่องเล็กแค่นี้ พวกเจ้าตกลงกันเองเลย”

 

“ขอบคุณมากค่ะ!”

 

ออเดรย์รีบหันไปกล่าวกับอัลเจอร์ด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข

 

“มีสเตอร์แฮงแมน คุณช่วยทวนที่อยู่ให้ฟังอีกครั้งได้ไหม? ฉันกลัวว่าความทรงจำของตัวเองจะทรยศ”

 

“ไม่มีปัญหา”

 

อัลเจอร์ชอบใจที่ออร์เดรยแสดงสีหน้าจริงจังขณะทวนที่อยู่ของตนซ้ำไปมา

 

หลังจากท่องในใจสามครั้ง สาวน้อยกล่าวอีกครั้งอย่างร่าเริง

 

“ฉันได้ยินมาว่า ไพ่ทาโร่ต์เป็นเกมทำนายดวงชะตาที่มหาจักรพรรดิโรซายล์คิดค้นขึ้น หรืออีกนัยหนึ่งคือ มันแฝงพลังทำนายอนาคตไว้อย่างนั้นหรือ?”

 

“ผิดแล้ว โดยส่วนมาก พลังทำนายดวงชะตาจะมีรากฐานมาจากตัวผู้ถูกทำนายเอง มนุษย์ทุกคนเกี่ยวพันกับโลกวิญญาณทั้งทางตรงและทางอ้อม หลายคนสามารถสื่อสารกับดวงจิตที่สูงกว่าตัวเองได้ ทว่า มนุษย์ทั่วไปมักไม่เอะใจถึงเรื่องนี้ ส่วนใหญ่ไม่ตระหนักถึง ‘สัญญาณ’ ของข้อมูลดวงชะตาที่ตัวเองได้รับ ส่งผลให้ต้องใช้อุปกรณ์เป็นสื่อกลางสำหรับอ่านสัญญาณดังกล่าว ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือความฝัน และนักทำนายฝัน”

 

อัลเจอร์เหลือบมองหมิงรุ่ยเล็กน้อย

เมื่อไม่เห็นท่าทีตอบสนอง มันจึงเล่าต่อ

 

“ด้วยเหตุนี้ ไพ่ทาโร่ต์จึงทำหน้าที่เป็นอุปกรณ์สื่อกลางสำหรับรับข้อมูลดวงชะตา เพื่อให้มนุษย์ตีความอนาคตตัวเองได้ง่ายขึ้น”

 

แม้ภายนอกจะทำเป็นไม่แยแส แต่ภายในใจหมิงรุ่ยกลับคิดตามจนหัวแทบระเบิด สมองที่เคยโปร่งโล่งพลันปวดแปลบรุนแรง

 

“อันนั้นก็ใช่ค่ะ”

ออเดรย์พยักหน้าเห็นด้วย แต่จากนั้นก็เริ่มอธิบายคำถามของตัวเองใหม่ให้ละเอียดกว่าเดิม

“ฉันไม่ได้หมายถึงไพ่ทาโร่ต์ชุดหลัง… เคยได้ยินมาว่า แท้จริงแล้ว จักรพรรดิโรซายล์ได้สร้างไพ่กระดาษจำนวน 22 ใบเป็นชุดต้นแบบ มันคือสำรับไพ่ที่เต็มไปด้วยความลับและปริศนามากมาย แต่ละใบแทนสัญลักษณ์ของพลังอันยิ่งใหญ่… ทว่า ในภายหลัง ไพ่ดังกล่าวถูกดัดแปลงเป็นเกมไพ่ทาโร่ต์สำหรับทำนายโชคชะตาที่ไม่มีพิษมีภัย ข้อมูลนี้ถูกต้องรึเปล่าคะ?”

 

เธอหันมองโจวหมิงรุ่ย เด็กสาวย่อมต้องการฟังความเห็นจากมิสเตอร์ฟูลผู้ยิ่งใหญ่

 

แต่หมิงรุ่ยกลับทำเพียงอมยิ้มและหันไปหามิสเตอร์แฮงแมน ประหนึ่งกำลังลองภูมิความรู้จากมัน

 

อัลเจอร์ผงะเล็กน้อย หลังของมันพลันเชิดตั้งตรงตามสัญชาตญาณ ก่อนจะหันไปมอบคำตอบให้ออเดรย์ด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก

 

“ถูกต้อง… ว่ากันว่า จักรพรรดิโรซายล์เคยเห็นแผ่นศิลาเย้ยเทพด้วยตาตัวเอง จึงสร้างไพ่กระดาษขึ้นมา 22 ใบ เพื่อแทน 22 เส้นทางแห่งการกลายเป็นเทพ”

 

“22 เส้นทางแห่งการกลายเป็นเทพ…”

 

ออเดรย์ทวนซ้ำด้วยสีหน้าครุ่นคิด

 

ขณะเดียวกัน หัวสมองโจวหมิงรุ่ยเริ่มทวีความเจ็บแปลบเกินขีดจำกัด มันรู้สึกคล้ายกับการเชื่อมต่อระหว่างดวงดาวเริ่มเจือจางลง

“วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน”

 

มันกล่าวเสียงทุ้มหลังจากตัดสินใจปุบปับฉับพลัน

 

“สุดแล้วแต่ท่าน”

 

อัลเจอร์ก้มศีรษะอย่างนอบน้อม

 

“สุดแล้วแต่ท่านค่ะ”

ออเดรย์ทำท่าทางแบบเดียวกับมิสเตอร์แฮงแมน แต่ภายในของเธอยังคงมีคำถามอยากรู้อยากเห็นอีกมาก จึงนึกเสียดายที่ชุมนุมทาโร่ต์จบลงเร็วเกินไป

 

ก่อนที่โจวหมิงรุ่ยจะตัดการเชื่อมต่อ มันอมยิ้มพลางกล่าว

 

“แล้วพบกันใหม่ในการรวมตัวครั้งหน้า”

 

ดวงดาวส่องแสงเป็นครั้งสุดท้าย

หลังจากหมิงรุ่ยเอื้อมมือไปสัมผัส ดาวแดงเริ่มละลายหายไปราวกับหยดน้ำ

 

ในวินาทีที่ออเดรย์และอัลเจอร์ได้ยินเสียงมิสเตอร์ฟูลกล่าวคำอำลา ภาพการมองเห็นพวกมันพลันพร่ามัวก่อนจะมืดสนิท

 

ผ่านไปหนึ่งวินาที ‘ภาพฉาย’ ของทั้งแฮงแมนและจัสติสได้สลายไป เหลือไว้เพียงทะเลหมอกอันว่างเปล่าภายในห้องประชุมโอ่อ่า

 

ศีรษะโจวหมิงรุ่ยเริ่มปวดแปลบทรมาน ภาพการมองเห็นสองข้างทางหมุนเคว้งเกรี้ยวกราด เพียงไม่นาน ความมืดก็เข้าปกคลุมโดยสมบูรณ์

 

จากนั้นไม่กี่อึดใจ หมิงรุ่ยลืมตาขึ้นอีกครั้งภายในห้องของตัวเองที่มีแสงแดดส่องจ้า

 

มันยังคงยืนอยู่ใจกลางห้องทำพิธี

 

“เหมือนกับฝันไปเลย… มิติสายหมอกคืออะไรกันแน่… เป็นพลังของใคร หรือสิ่งใดที่เนรมิตรให้เกิดมิติดังกล่าวขึ้นมา…”

 

มันพึมพำกับตัวเองก่อนถอนหายใจอย่างโล่งอก หมิงรุ่ยพยุงตัวเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ด้วยร่างกายที่หนักอึ้งประหนึ่งถูกตะกั่วถ่วงขา

นาฬิกาห้อยคอทรงใบองุ่นที่วางไว้บนโต๊ะถูกหยิบขึ้นมาตรวจสอบเวลา มันต้องทราบให้ได้ว่าโลกภายนอกผ่านไปแล้วกี่นาที

 

“เวลาเดินเร็วเท่ากัน…”

 

มันประมาณอย่างคร่าว

 

หลังจากวางนาฬิกาลง หมิงรุ่ยฝืนร่างกายตัวเองไม่ไหวอีกต่อไป อาการปวดหัวรุนแรงจวนเจียนสลบ มันเลื่อนมือขึ้นมาบีบนวดขมับเผื่อว่าจะดีขึ้น

 

หลังจากผ่านไปสักพัก หมิงรุ่ยส่งเสียงถอนหายใจยาวพร้อมกับกล่าวเป็นภาษาจีนกลาง

 

“ดูเหมือนว่า เราคงไม่ได้กลับบ้านภายในเร็ววันนี้…”

 

ความไม่รู้คือบ่อเกิดความหวาดกลัว หลังจากได้เผชิญเหตุการณ์ประหลาด ได้เรียนรู้เกี่ยวกับผู้วิเศษและโอสถ โจวหมิงรุ่ยไม่กล้าทดสอบทำพิธีเปลี่ยนดวงชะตาในภาษาฟุซัคหรือโลเอ็นอีก

 

จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไม่มีใครตอบได้

อาจเลวร้ายยิ่งกว่าเมื่อครู่หลายเท่า หรืออาจต้องทรมาณราวกับตกนรก

 

“ไว้ค่อยทดสอบใหม่หลังจากเรามีความรู้เกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติมากกว่านี้”

 

อย่างน้อย สิ่งที่เรียกว่าชุมนุมไพ่ทาโร่ต์ก็ถือเป็นผลลัพธ์ด้านบวก

 

หลังจากใช้สมาธิครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง หมิงรุ่ยพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด ผิดหวัง และเศร้าหมอง

 

“นับแต่นี้ไป… เราคือไคลน์แล้วสินะ”

 

 

ไคลน์พยายามรวบรวมสติเพื่อหาหนทางดำเนินชีวิตต่อไป พร้อมกับหาวิธีขจัดอารมณ์ด้านลบในใจ

 

บางที มันอาจกลายเป็นผู้วิเศษได้จากสูตรโอสถ ‘ผู้ชม’ ที่แฮงแมนขายให้จัสติส…

 

การ ‘ชุมนุม’ ที่เพิ่งเกิดขึ้นนั้นน่าทึ่งมากหากมองในมุมยุคสมัยปัจจุบัน ผู้คนจากแต่ละส่วนของโลกถอดจิตมาคุยกันแบบเห็นหน้าตาในระยะใกล้ ถกเถียงประเด็นความรู้ ค้าขายแลกเปลี่ยน รวมถึงเติมเต็มจุดด้อยของกันและกัน

 

เอ่อ… มันเหมือนกับ…

 

ไคลน์เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะคนเดียวราวกับคนบ้า มันใช้ปลายนิ้วนวดขมับพลางพึมพำกับตัวเองเสียงค่อย

 

“เหมือนกับโซเชียลเน็ตเวิร์ครูปแบบนึงเลยไม่ใช่รึไง…”

▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬

ลงวันละตอน ทุกวันจันทร์ - ศุกร์

ติดตามผู้แปลได้ที่ : www.facebook.com/bjknovel/

 

3.5 2 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด