ตอนที่แล้วราชันย์เร้นลับ 5 : พิธีกรรม
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปราชันย์เร้นลับ 7 : นามแฝง

ราชันย์เร้นลับ 6 : ผู้วิเศษ


ราชันย์เร้นลับ 6 : ผู้วิเศษ

 

ไม่เพียงจะพูดภาษาโลเอ็นเหมือนกัน แต่ทั้งสองยังแสดงสีหน้าแบบเดียวกันด้วย

สีหน้าของความตึงเครียดสุดขีด

 

เราอยู่ที่ไหน? และถูกนำตัวมาที่นี่ทำไม?

‘เรื่องนั้น แม้แต่ฉันเองก็อยากทราบเหมือนกัน…’

 

หลังจากสงบสติอารมณ์ หมิงรุ่ยนำคำถามของทั้งสองคนมาวิเคราะห์ตีความในหัว

 

คำถามของอัลเจอร์และออเดรย์มิได้ต้องการคำตอบ แต่เป็นการไต่ถามตามสัญชาตญาณเมื่อร่างกายเกิดภาวะตกตะลึง หวาดกลัว และไม่ปลอดภัย

 

ด้วยเหตุผลบางประการซึ่งหาคำอธิบายไม่ได้ สองบุคคลเบื้องหน้าถูกลากตัวเข้ามาในมิติทะเลหมอกสีเทาอย่างไม่เต็มใจ

ในฐานะตัวต้นเหตุ แม้แต่โจวหมิงรุ่ยยังเกิดภาวะตื่นตระหนกรุนแรง ไม่แปลกที่คนทั้งสองจะแสดงท่าทีกระวนกระวายขนาดนี้

 

‘สำหรับพวกเขา เหตุการณ์ปัจจุบันคงอยู่เหนือสามัญสำนึกอย่างมากแน่… ใช่แล้ว’

 

ในช่วงเวลาไม่กี่อึดใจ โจวหมิงรุ่ยคำนึงถึงความเป็นไปได้สองตัวเลือก ข้อแรก หากมันแสร้งทำเป็นผู้เสียหายเหมือนกับอีกสองคน อาจได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจและร่วมกันหาทางออก แถมยังใช้โอกาสนี้จับตามองการกระทำไปในตัว เผื่อว่าจะได้รับข้อมูลที่น่าสนใจใหม่

 

ข้อสอง แสร้งทำเป็นตัวตนปริศนาต่อไป วิธีนี้จะส่งผลให้อีกฝ่ายเกรงกลัว รวมถึงอาจได้รับข้อมูลที่มีค่ามหาศาล

 

ด้วยระยะเวลาที่จำกัด ไม่เพียงพอให้มันประมวลผลชั่งน้ำหนักหาข้อดีข้อเสียโดยละเอียด หมิงรุ่ยกัดฟันยอมเสี่ยงเลือกข้อสอง

 

แสร้งทำเป็นบุคคลลึกลับให้อีกฝ่ายยำเกรง เพื่อที่ตนจะได้ถือไพ่เหนือกว่าภายในห้วงมิติไร้ก้นบึ้งแห่งนี้

 

หลังจากช่วงเวลาเงียบงันผ่านไปหลายวินาที หมิงรุ่ยเปิดเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ เปี่ยมด้วยความสุขุมเยือกเย็น เพื่อเป็นการทักทายสหายใหม่สองคนที่กำลังเสียขวัญ

 

“ข้าแค่ลองทดสอบดู”

 

ทดสอบ… ทดสอบอะไร?

ออเดรย์·ฮอลล์รีบหันมองทางบุคคลลึกลับทันที รอบกายชายปริศนายังคงห้อมล้อมด้วยหมอกเทาหนาทึบเช่นเดิม สถานการณ์ปัจจุบันช่างน่าฉงน น่าหวาดกลัว และแปลกประหลาดเหนือคำบรรยาย

 

เมื่อครู่ ตนยังนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งภายในห้องนอน แต่เพียงไม่กี่วินาทีก็ถูก ‘ลาก’ เข้ามายังสถานที่ซึ่งมีเพียงทะเลหมอกไหลผ่าน

 

ช่างน่าอัศจรรย์อะไรเช่นนี้!

 

ออเดรย์สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะเผยรอยยิ้มใสซื่อและอ่อนโยน คำถามถูกเปล่งออกจากปากด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

 

“มิสเตอร์… การทดลองอะไรหรือ? แล้วท่านสามารถส่งพวกเรากลับได้ไหม?”

 

อัลเจอร์·วิลสันยังคงเคลือบแคลงในตัวหมิงรุ่ยไม่น้อย แต่ด้วยประสบการณ์ที่มากกว่า มันจึงรักษาท่าทีสุขุมสง่างาม และเลือกที่จะเป็นผู้ชมอย่างเงียบงัน

 

โจวหมิงรุ่ยชำเลืองมองตามต้นเสียงของหญิงสาวที่เอ่ยปากถาม สายตามันมองเห็นเพียงคร่าวๆ ว่าอีกฝ่ายคือสตรีรูปร่างสูง ผมสีทองเงางาม แต่มิอาจมองเห็นรูปลักษณ์ที่ชัดเจนได้

 

มันไม่รีบตอบ หมิงรุ่ยหันไปชำเลืองบุรุษอีกหนึ่งคนที่ยังเงียบงัน เส้นผมของมันยุ่งเหยิงและมีสีน้ำเงินเข้ม หุ่นกำยำสันทัด ไม่จัดว่าอ้วนท้วม

 

หมิงรุ่ยเกิดสมมติฐานใหม่ หากมันมีพลังมากกว่านี้ในอนาคต อาจมองทะลุผ่านหมอกเทาจนเห็นรูปลักษณ์ที่ชัดเจนของทั้งคู่

 

‘ถ้าเข้าไม่ใจผิดไป… เราคือเจ้าบ้าน และสองคนนี้เป็นแขกของห้วงมิติทะเลหมอก’

 

หลังจากเปลี่ยนมุมมอง โจวหมิงรุ่ยเริ่มตระหนักถึงรายละเอียดเล็กน้อยที่มันมองข้าม

 

ทั้งเด็กสาวที่มีเสียงไพเราะและชายหนุ่มกำยำ ตัวตนของพวกมันมิได้กระจ่างชัดเจนเท่าที่ควร บนลำตัวส่องแสงแดงระเรื่อเจือจาง ราวกับเป็น ‘ภาพฉาย’ มากกว่าร่างเนื้อ

 

หากให้เดา คงเป็นดาวสองดวงที่ตนบังเอิญสัมผัสเข้าจนลุกไหม้เมื่อครู่

 

ภาพฉายเกิดจากสายสัมพันธ์ที่มองไม่เห็นระหว่างตัวมันกับคนทั้งสอง และด้วยความเป็นเจ้าบ้าน จึงมีเพียงหมิงรุ่ยเท่านั้นที่ตระหนักในเรื่องนี้

 

ภาพฉายจะหายไปเมื่อสายสัมพันธ์ระหว่างดวงดาวถูกตัดขาด และนั่นจะเป็นการส่งพวกมันกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงตามเดิม…

 

โจวหมิงรุ่ยพยักหน้าอย่างอ่อนโยนขณะหันมองเด็กสาวผมสีทอง มันส่งเสียงหัวเราะในลำคอก่อนตอบกลับ

 

“แน่นอน หากเจ้าปรารถนาที่จะกลับ สามารถแจ้งความประสงค์ได้ทุกเมื่อ แล้วข้าจะส่งกลับให้เอง”

 

เมื่อสัมผัสว่าน้ำเสียงของโจวหมิงรุ่ยปราศจากความมุ่งร้าย ออเดรย์ถอนหายใจยาวเฮือกใหญ่ด้วยสีหน้าโล่งใจ หล่อนเกิดความคิดที่ว่า หากสุดยอดตัวตนที่สามารถบันดาลเรื่องมหัศจรรย์เช่นนี้กำชับรับปาก อีกฝ่ายไม่มีทางคืนคำแน่นอน

 

เมื่อจิตใจเริ่มสงบลง เธอจึงยังไม่อยากกลับ ออเดรย์กวาดสายตามองไปรอบทะเลหมอกที่มีประกายแสงระยิบระยับมากมาย

 

เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความกังวล แต่ก็คาดหวังในเวลาเดียวกัน

 

“นับเป็นประสบการณ์ที่สุดยอดมาก… ฉันเฝ้าฝันมาตลอดให้มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นกับตัวเองในสักวัน เอ่อ… ฉันเป็นคนชอบเรื่องลี้ลับและพลังพิเศษมาก เอ่อ… ที่อยากจะถามก็คือ ฉันจะกลายเป็นผู้วิเศษด้วยวิธีใดได้บ้าง?”

 

ยิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้น ถ้อยคำของออเดรย์จึงตะกุกตะกัก สิ่งที่เธอเฝ้าฝันมาตลอด สิ่งที่เคยทำได้เพียงจินตนาการถึง บัดนี้เกิดขึ้นเบื้องหน้ากับตัวเองแล้ว

 

หลังจากกล่าวจบ ความกังวลและตึงเครียดก่อนหน้าได้เลือนหายโดยสมบูรณ์

 

‘ถามได้ดี! ฉันเองก็อยากทราบเหมือนกัน’

 

โจวหมิงรุ่ยตัดพ้อในใจ มันยังคงเงียบงันเพื่อรักษามาดของบุคคลลึกลับไว้

 

ขณะนั้นเอง หมิงรุ่ยรู้สึกว่าการยืนสนทนาค่อนข้างไม่สะดวก สถานที่จับเข่าคุยเรื่องสำคัญควรโอ่อาหรูหราเหมือนกับมหาราชวัง และตัวมันต้องนั่งหัวโต๊ะประชุมยาวเพื่อทำหน้าที่ประธานใหญ่ เก้าอี้ทุกตัวรอบโต๊ะประชุมต้องสลักด้วยลวดลายเก่าแก่ และตัวมันมีหน้าที่เป็นเพียงผู้เฝ้ามองเท่านั้น

 

หลังจากความคิดจบลง ห้วงมิติสายหมอกเริ่มสั่นสะเทือน ทั้งอัลเจอร์และออเดรย์ต่างแสดงท่าทีตกตะลึง

 

เพียงพริบตา เสาหินทรงกระบอกขนาดใหญ่ผุดขึ้นรอบตัวพวกมันเป็นจำนวนมาก ท้องฟ้าที่เคยเปิดโล่งและมีประกายดาวระยิบระยิบ ได้ถูกเพดานโดมคล้ายหลังคาปกคลุมมิดชิด

 

วิวทิวทัศน์รอบตัวแปรเปลี่ยนเป็นบรมมหาราชวังที่โอ่อาและอลังการ คล้ายกับวังสวรรค์ของเผ่าพันธุ์คนยักษ์ในตำนานก็มิปาน

 

ภายใต้เพดานโดมกว้างขวางโอ่อ่า เบื้องล่างยังคงมีสายหมอกสีเทาไหลเวียนไม่ขาดสาย กึ่งกลางห้องปรากฏโต๊ะทองแดงยาว 22 ที่นั่ง แบ่งเป็นเก้าอี้ฝั่งละสิบตัว รวมหัวท้ายอีกสองตัว

 

บริเวณพนักพิงเก้าอี้ทุกตัวจะส่องแสงสีแดงเข้มเป็นรูปทรงของหมู่ดาวที่โจวหมิงรุ่ยไม่พบเห็นมาก่อน

 

ออเดรย์และอัลเจอร์นั่งหันหน้าเข้าหากัน

พวกมันนั่งลงบนเก้าอี้สองตัวแรกใกล้กลับกับหัวโต๊ะของบุรุษลึกลับ เด็กสาวผมทองยังคงกวาดสายตามองรอบข้างด้วยสีหน้าสุดทึ่ง

 

“สุดยอดไปเลย…”

 

‘ใช่แล้ว มันสุดยอดมาก…’

 

โจวหมิงรุ่ยนั่งลงที่ตำแหน่งหัวโต๊ะ ก่อนจะเหยียดแขนขวาออกไปวางบนขอบโต๊ะด้วยสีหน้าเรียบเฉย

 

อัลเจอร์ชำเลืองมองสภาพแวดล้อมด้วยนัยน์ตาที่ยังคงสั่นระริก หลังจากเงียบงันอยู่พักใหญ่ มันตัดสินใจตอบคำถามของเด็กสาวผมทองแทนโจวหมิงรุ่ย

“คุณมาจากโลเอ็นใช่ไหม?

 

“ถ้าต้องการเป็นผู้วิเศษ ก็ต้องเลือกเข้าร่วมเป็นสาวกของโบสถ์สักแห่ง ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์เทพธิดารัตติกาล โบสถ์เทพแห่งวายุสลาตัน หรือโบสถ์เทพแห่งจักรกลไอน้ำ

 

“คนธรรมดาคงยากที่จะเดินสวนกับผู้วิเศษในชีวิตจริงได้ ต้องเกี่ยวพันกับโบสถ์แห่งเทพไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ต้องมีตำแหน่งที่สูงพอสมควรด้วย ยกตัวอย่างเช่น นักบวชทั่วไปของแต่ละโบสถ์จะชะตากรรมไม่ต่างจากคนทั่วไปมากนัก ถึงอย่างนั้น ผมสามารถบอกคุณได้ว่า มีผู้วิเศษจำนวนไม่น้อยแฝงตัวเป็นเจ้าหน้าที่รัฐทำงานอยู่ในศาล ตุลาการ และหน่วยงานสำเร็จโทษของอาณาจักร พวกมันคอยใช้พลังพิเศษต่อสู้กับภัยมืดมิดที่มนุษย์มองไม่เห็น ทว่า หากเทียบกับช่วงต้นยุคเหล็กแล้ว จำนวนผู้วิเศษลดลงจากอดีตจนน่าใจหาย”

 

โจวหมิงรุ่ยเพ่งสมาธิตั้งใจฟังสุดชีวิต แต่ท่าทีภายนอกยังแสร้งไม่แยแส ประหนึ่งนั่งฟังเด็กสองคนเล่านิทานให้กันและกัน

 

จากความทรงจำอันเลือนลางของนักศึกษาวิชาประวัติศาสตร์อย่างไคลน์ โจวหมิงรุ่ยย่อมทราบว่า ‘ยุคเหล็ก’ หมายถึงยุคปัจจุบัน หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ‘ยุคสมัยที่ห้า’ ซึ่งเริ่มต้นเมื่อ 1349 ปีก่อน

 

ออเดรย์นั่งฟังอัลเจอร์จนจบประโยค ก่อนจะถอนหายใจยาวด้วยสีหน้าผิดหวัง

 

“มิสเตอร์… เรื่องนั้นฉันทราบอยู่แล้ว และทราบลึกยิ่งกว่าที่คุณเล่า รู้ไปถึงตัวตนหน่วยลับของทั้งสามโบสถ์ซึ่งประกอบด้วย เหยี่ยวราตรี ทูตพิพากษา และจิตแห่งจักรกล แต่ฉันไม่ต้องการสูญเสียอิสระภาพของตัวเองโดยการอุทิศตัวรับใช้โบสถ์”

 

อัลเจอร์หัวเราะแห้งในลำคอ ก่อนจะตอบกลับอย่างคลุมเคลือ

 

“การเป็นผู้วิเศษต้องเสียสละบางสิ่ง หากไม่ต้องการเข้าร่วมโบสถ์และอุทิศตัวเพื่อผ่านบททดสอบ คุณก็ต้องเข้าหาตระกูลราชวงศ์ของอาณาจักร หรือไม่ก็ตระกูลขุนนางที่มีประวัติศาสตร์ไม่ต่ำกว่าพันปี ไม่อย่างนั้น หนทางสุดท้ายคือการเข้าร่วมกับองค์กรลับชั่วร้าย แต่วิธีนี้จำเป็นต้องใช้วาสนามากหน่อย”

 

ออเดรย์ทำแก้มป่องตามความเคยชิน ก่อนจะกวาดสายตามองไปมาระหว่าง ‘บุรุษลึกลับ’ กับอัลเจอร์

 

เมื่อมั่นใจว่าไม่มีคำอธิบายเพิ่มเติม

ออเดรย์ถามย้ำ

 

“ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้วจริงหรือ?”

 

อัลเจอร์เงียบงันอยู่นานกว่าครึ่งนาที ก่อนจะชำเลืองสายตาไปยังบุรุษลึกลึกลับที่เอาแต่เฝ้ามองอย่างเงียบงัน

เมื่อมั่นใจว่าโจวหมิงรุ่ยไม่กล่าวสิ่งใดเสริม อัลเจอร์หันไปมองออเดรย์พลางกล่าวอย่างระมัดระวัง

 

“ผมครอบครองสูตรปรุงโอสถลำดับ 9 อยู่สองชนิด”

 

ลำดับ 9? โจวหมิงรุ่ยพึมพำในใจ

 

“จริงหรือ? อันไหนบ้าง?”

ออเดรย์ทราบว่าสูตรปรุงโอสถลำดับ 9 หมายถึงสิ่งใด

 

อัลเจอร์เอนหลังเล็กน้อย ก่อนจะมอบคำตอบให้ออเดรย์อย่างใจเย็น

 

“อย่างที่คุณทราบ มนุษย์ต้องดื่มโอสถเพื่อให้กลายเป็นผู้วิเศษ ซึ่งชื่อของโอสถดั้งเดิมนั้นถูกสลักไว้บน ‘แผ่นศิลาเย้ยเทพ’ แต่หลังจากถูกแปลงเป็นหลายภาษา ทั้งภาษาคนยักษ์ ภาษาเอลฟ์ ภาษาเฮอร์มิสโบราณ ภาษาฟุซัคโบราณ และภาษาเฮอร์มิสปัจจุบัน ชื่อของโอสถมีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัยอยู่เสมอ ชื่อจึงไม่ใช่แก่นคำสัญของพลังวิเศษ สิ่งที่ควรสนใจคือ ‘ธรรมชาติพลัง’ ของโอสถชนิดดังกล่าวมากกว่า

 

“ผมมีสูตรโอสถลำดับ 9 สองชนิด ประเภทแรกชื่อว่า ‘กะลาสี’ มันจะช่วยให้คุณทรงตัวได้ยอดเยี่ยม ต่อให้ยืนบนเรือที่กำลังฝ่าพายุฝน คุณก็สามารถวิ่งเล่นได้เหมือนกับบนพื้นดินปรกติ พละกำลังจะสูงกว่ามนุษย์ปรกติค่อนข้างมาก มีเกล็ดลวงตาที่ซ่อนภายใต้ผิวหนัง สามารถเคลื่อนไหวใต้น้ำได้ว่องไวไม่ต่างสัตว์ทะเล และต่อให้ไม่มีอุปกรณ์ช่วย แต่คุณจะดำน้ำได้นานสิบนาทีโดยไม่พักหายใจ”

 

“สุดยอด… ใช่อันเดียวกันกับ ‘ผู้พิทักษ์สมุทร’ ของโบสถ์เทพแห่งวายุสลาตันรึเปล่า?”

 

“อา… มันเคยมีชื่อนั้นเมื่อในอดีต”

 

อัลเจอร์กล่าวต่อไป

 

“ส่วนโอสถลำดับ 9ชนิดที่สองคือ ‘ผู้ชม’ ผมไม่แน่ใจว่ามันถูกเรียกว่าอย่างไรเมื่อในอดีต แต่เป็นโอสถที่ช่วยให้ครอบครองพลังสังเกตุเหนือมนุษย์ คุณจะตระหนักถึงทุกรายละเอียดเล็กน้อยที่อยู่รอบตัว ตัวอย่างที่เห็นภาพชัดคือโรงละครโอเปร่า ‘ผู้ชม’ หมายถึงคนดูในโรงละคร และเป้าหมายของผู้ชมก็คือนักแสดงบนเวที เจ้าของพลัง ‘ผู้ชม’ จะเฝ้าสังเกตทุกการกระทำของนักแสดง รวมถึงอารมณ์ สีหน้า ท่าทาง และยังสามารถอ่านความคิดอีกฝ่ายได้เล็กน้อย”

 

เมื่ออธิบายถึงจุดนี้ อัลเจอร์รีบตักเตือน

 

“จงจำไว้ให้ดี ไม่ว่าจะสถานที่ใด โรงละครหรือถนนที่แอดอัดด้วยผู้คน แต่ผู้ชมจะเป็นได้เพียงผู้ชมวันยังค่ำ”

 

แววตาออเดรย์เริ่มเปล่งประกาย เธอครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะถามต่อ

 

“งั้นหรือ? หืม… ฉันชักตกหลุมรัก ‘ผู้ชม’ แล้วสิ ต้องทำอย่างไรคุณถึงจะยอมบอกสูตรผสมโอสถ? จะให้ฉันแลกเปลี่ยนด้วยสิ่งไหน?”

 

มุมปากอัลเจอร์กระตุกเล็กน้อย สีหน้าและแววตาคล้ายรอจังหวะนี้อยู่นานแล้ว มันกล่าวออกไปด้วยเสียงทุ้มต่ำ

 

“โลหิตฉลามวิญญาณ อย่างน้อย 100 มิลลิลิตร”

 

ออเดรย์พยักหน้ารับอย่างตื่นเต้น ทว่า เพียงไม่นานก็ถามกลับด้วยสีหน้าสงสัย

 

“เอ่อ… ถ้าเกิดฉันหามาได้ จะต้องส่งให้คุณด้วยวิธีใด? แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่าคุณจะมอบสูตรผสมโอสถเป็นการตอบแทน รวมถึงความถูกต้องของสูตร”

 

อัลเจอร์ตอบกลับอย่างใจเย็น

 

“ผมจะบอกที่อยู่ของตัวเองให้ หลังจากได้รับโลหิตฉลามวิญญาณ คุณมีสองวิธีในการรับสูตรโอสถ หนึ่งคือ ให้ผมส่งจดหมายไปหา และสองคือ ผมจะบอกด้วยปากเปล่าภายในห้วงมิติสายหมอกแห่งนี้

 

“ส่วนเรื่องความมั่นใจ ผมคิดว่าท่านบุรุษลึกลับผู้นี้สามารถเป็นพยานให้ได้”

เมื่อกล่าวจบ มันชำเลืองมองโจวหมิงรุ่ยที่นั่งหลังตรงบนพยักเก้าอี้หัวโต๊ะ

 

“มิสเตอร์… คุณคือผู้วิเศษที่มีพลังเหนือจินตนาการ พวกเราคงไม่กล้าละเมิดข้อตกลงหากคุณยอมเป็นสักขีพยานให้”

 

“จริงด้วย!”

 

แววตาออเดรย์ส่องประกายอีกครั้งพร้อมกับผงกศีรษะอย่างตื่นเต้น ในมุมมองของเธอ บุรุษลึกลับคือสักขีพยาน ‘ที่ไว้ใจได้’

 

ทั้งหล่อนและชายผมยุ่งเหยิงไม่มีวันกล้าปลิ้นปล้อนต่อหน้าบุรุษลึกลับผู้ยิ่งใหญ่แน่!

 

ออเดรย์หมุนตัวพร้อมกับจ้องมองโจวหมิงรุ่ยด้วยสายตาเว้าวอน

 

“มิสเตอร์… ได้โปรดเป็นสักขีพยานให้การแลกเปลี่ยนของพวกเราด้วย”

ทันใดนั้น หล่อนพลันตระหนักถึงความเสียมารยาทที่ตนกระทำลงไป การค้าขายแลกเปลี่ยนเมื่อครู่เกิดขึ้นโดยยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากบุรุษลึกลับด้วยซ้ำ!

 

“เอ่อ… มิสเตอร์… จะให้พวกเราเรียกคุณว่าอย่างไรดี?”

 

อัลเจอร์พนักหน้ารับ มันถามซ้ำด้วยถ้อยคำที่ขึงขังและหนักแน่นกว่า

 

“ใช้แล้วครับ พวกเราต้องเรียกคุณว่าอย่างไร?”

โจวหมิงรุ่ยชะงักชั่วครู่ มันใช้ปลายนิ้วเคาะโต๊ะทองแดงเป็นจังหวะขณะใช้ความคิด

 

นิสัยเก่าที่แก้ไม่หาย

 

ทันใดนั้น ผลการทำนายดวงชะตาเมื่อเช้าพลันแล่นเข้ามาในหัว หมิงรุ่ยเอนหลังตั้งตรงทันที เมื่อขวาถูกดึงกลับ สิบนิ้วประสานใต้คางพร้อมกับเผยรอยยิ้มให้คนทั้งสอง

 

“จงเรียกข้าว่า…”

มันจะชะงักคำพูดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่อไปด้วยน่ำเสียงสุขุม

 

“เดอะฟูล”

 

▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬

ลงวันละตอน ทุกวันจันทร์ - ศุกร์

ติดตามผู้แปลได้ที่ : www.facebook.com/bjknovel/

 

4 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด