ตอนที่แล้วราชันย์เร้นลับ 3 : เมลิสซ่า
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปราชันย์เร้นลับ 5 : พิธีกรรม

ราชันย์เร้นลับ 4 : ทำนายดวงชะตา


 

ราชันย์เร้นลับ 4 : ทำนายดวงชะตา

 

เมื่อกลับมานั่งเก้าอี้ตัวเดิม โจวหมิงรุ่ยได้ยินเสียงระฆังโบสถ์กังวาลจากระยะไกลเป็นหนที่สองของวัน ระฆังตีดังทั้งหมดเจ็ดครั้ง มันลุกยืนขึ้นและเดินไปยังตู้เสื้อผ้าเพื่อแต่งตัว

 

เสื้อกั๊กดำสีเดียวกับสูท กางแกงขายาวสีดำสนิทรัดรูป หมวกทรงกึ่งสูง เมื่อผนวกเข้ากับกลิ่นอายบัณฑิตรอบตัว โจวหมิงรุ่ยรู้สึกราวกับตนคือสุภาพบุรุษขุนนางแห่งยุควิคตอเรียยังไงยังงั้น

 

เสียพึมพำหลุดจากปากพร้อมกับอมยิ้ม

 

“เราจะไม่สอบสัมภาษณ์เข้าทำงาน สิ่งเดียวที่ต้องทำคือพิธีกรรมเปลี่ยนดวงชะตา…”

 

จิตใต้สำนึกของไคลน์นั้นกังวัลกับการสอบสัมภาษณ์มาก โจวหมิงรุ่ยจึงซึบซับอิทธิพลการแต่งกายมาโดยไม่รู้ตัว

 

หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึก มันตัดสินใจถอดสูทกับเสื้อกั๊กออก เปลี่ยนไปใส่โค้ทสีเหลืองอมน้ำตาลแทน และยังเปลี่ยนหมวกทรงกึ่งสูงเป็นหมวกปีกกว้างสีเดียวกับเสื้อ

 

เมื่อจัดการเครื่องแต่งกายเสร็จ เป้าหมายต่อไปคือพรมสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่วางบนพื้นข้างเตียง หลังจากยกพรมขึ้น โจวหมิงรุ่ยใช้มือควานหารูเล็กจากช่องลับ จนได้พบสิ่งที่ถูกซ่อนไว้ด้านใน

 

มันชักมือขวากลับ วัตถุที่ติดมาด้วยคือธนบัตรซึ่งถูกม้วนเป็นทรงกระบอกจำนวนแปดใบ ทั้งหมดมีสีเทาอมเขียวเจือจาง

 

นี่คือเงินเก็บทั้งหมดในปัจจุบันของเบ็นสัน และยังเป็นค่าครองชีพในอีกสามวันข้างหน้าของไคลน์และเมลิสซ่าด้วย สองจากแปดใบเป็นธนบัตร 5 ซูล ส่วนที่เหลืออีกสามใบเป็นธนบัตร 1 ซูล

 

ซูลคือเงินสกุลอาณาจักรโลเอ็น มีมูลค่ามากเป็นลำดับสองรองจากปอนด์ทอง เดิมทีแล้ว หน่วยซูลมีต้นตอมาจากเหรียญเงินโบราณ หนึ่งซูลจะเท่าทับ 12 เพนนีทองแดง

 

ธนบัตรซูลจะมีอยู่สองประเภท คือ 5 ซูล และ 1 ซูล

ส่วนหน่วยเงินมูลค่าสูงสุดในอาณาจักรคือ ‘ปอนด์ทอง’ ธนบัตรอาจมีลักษณะคล้ายคลึงกับกระดาษทั่วไป แต่จะสอดแทรกด้วยลวดลายสีทองเอาไว้หลายจุด

 

หนึ่งปอนด์ทองจะมีค่าเท่ากับ 20 ซูล

ธนบัตรปอนด์ทองมีสามประเภท ประกอบด้วยธนบัตร 1, 5 และ 10 ปอนด์ทอง

 

โจวหมิงรุ่ยคลี่ธนบัตรออกพร้อมกับดมกลิ่นหมึกที่ติดเจือจาง

 

นี่สินะ... กลิ่นเงิน

อาจเป็นจิตใต้สำนึกจากไคลน์ที่ปรารถนาเงินทองอย่างแรงกล้า โจวหมิงรุ่ยตกหลุ่มรักธนบัตรเหล่านี้ตั้งแต่แรกพบ

 

ดูการออกแบบนี่สิ… แม้แต่กษัตริย์จอร์จที่สาม ซึ่งแต่เดิมเป็นคนดุและไว้หนวดเข้ม กลับยังน่ารักน่าเอ็นดูอย่างเหลือเชื่อเมื่อปรากฏตัวในเงินตรา...

ดูลายน้ำนี่สิ… มันช่างงดงามเหนือคำบรรยายหากนำไปส่องกับแสงแดด แถมการออกแบบยังปราณีตวิจิตร ป้องกันการปลอมแปลงได้ดีเยี่ยม แตกต่างจากธนบัตรราคาถูกโดยสิ้นเชิง

 

โจวหมิงรุ่ยเชยชมเงินนานเกือบนาที ก่อนจะดึงธนบัตรหนึ่งซูลสองใบออกมาถือไว้ ส่วนที่เหลือเก็บใส่ไว้ในช่องลับตามเดิม

จุดซ่อนเงินถูกพรมเช็ดเท้าปกปิดไว้มิดชิด หลังจากนั้น หมิงรุ่ยพับธนบัตรหนึ่งซูลสองใบปราณีตและเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ทสีเหลืองอมน้ำตาล มันไม่ต้องการให้ธนบัตรกับเศษเหรียญเพนนีในกระเป๋ากางเกงปะปนกัน

 

เมื่อเตรียมตัวเสร็จ กุญแจห้องถูกนำมาใส่ในกระเป๋าเสื้อข้างขวา หมิงรุ่ยหันไปคว้าถุงกระดาษสีน้ำตาลตัวและเดินตรงไปยังประตูหน้าห้อง

 

เสียงฝีเท้าซอยถี่ในตอนแรก แต่เพียงไม่นานก็ช้าลง จนกระทั่งหยุดนิ่งสนิทหน้าประตู

โจวหมิงรุ่ยครุ่นคิดหลายเรื่องขณะยืนเหม่อหน้าประตู คิ้วเริ่มขมวดชนกัน

 

มันไม่กล้าออกไปนอกห้อง…

 

การฆ่าตัวตายของไคลน์เต็มไปด้วยปริศนา หากเดินเพ่นผ่านภายนอก ตนจะไม่ถูก ‘อุบัติเหตุ’ เล่นงานเข้าหรือ?

 

หลังจากไตร่ตรองถี่ถ้วน หมิงรุ่ยเดินกลับเข้าห้องตัวเอง ลิ้นชักถูกดึงออก มันหยิบปืนลูกโม่สีทองเหลืองแววาวขึ้นมาถือ

 

นี่เป็นเพียงอาวุธชนิดเดียวที่ตนนึกออก และยังเป็นเครื่องรางที่อุ่นใจหากพกติดตัวไว้ พลังทำลายของมันเหลือเฟือเกินกว่าจะเรียกว่าป้องกันตัว

 

ถึงจะไม่เคยฝึกยิง แต่เพียงยกขู่เจ้านี่ให้อีกฝ่ายฉี่ราดก็เพียงพอแล้ว

หมิงรุ่ยลูบคลำปืนอย่างทะนุถนอม ก่อนจะนำไปยัดไว้ในกระเป๋าเสื้อด้านซ้าย ซึ่งเป็นช่องเดียวกับธนบัตรทั้งสองใบ ฝ่ามือรองธนบัตรไว้ ส่วนนิ้วชี้วางรอใกล้โกร่งไกปืน เผื่อมีเหตุไม่คาดฝันให้ต้องใช้งาน

 

นับเป็นการเตรียมตัวและซุกซ่อนอันสมบูรณ์แบบ แต่หลังจากรู้สึกปลอดภัยได้ไม่นาน สัญชาตญาณ ‘รู้ทุกเรื่องอย่างละนิด’ ได้สร้างความกังวลใหม่ภายในใจ

 

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าปืนลั่น?

 

เมื่อจินตนาการถึงความฉิบหายที่อาจมาเยือน โจวหมิงรุ่ยไม่รีรอ มันรีบปลดโม่ปืนออกพร้อมกับตบมาฝั่งซ้าย จากนั้นก็หยิบกระสุนออกหนึ่งนัด รังเพลิงเปล่าถูกเลื่อนให้ตรงกับนัดแรกที่จะถูกยิง

 

โม่ปืนถูกตบกลับอีกครั้ง

ด้วยเหตุนี้ ต่อให้เกิดปืนลั่น แต่ก็จะลั่นในนัดเปล่า

ปืนถูกยัดใส่กลับกระเป๋าเสื้อช่องเดิม หมิงรุ่ยนำมือซ้ายสอดใส่กระเป๋าไว้เช่นนั้นโดยไม่ดึงออกมา มือขวาจัดระเบียบหมวกปีกกว้างเป็นครั้งสุดท้าย

 

ประตูใหญ่ห้องรวมถูกเปิดออก การผจญภัยสู่โลกภายนอกครั้งแรกของโจวหมิงรุ่ยได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ

ทางเดินยังไม่สว่างมากนักแม้จะเป็นยามเช้า ภายในในอาคารไม่มีโคมไฟมากเท่าที่ควร หน้าต่างมีเพียงไม่กี่บาน คงยากที่แสงจะลอดผ่านเข้ามาถึง โจวหมิงรุ่ยไม่รีรอ มันรีบล็อคห้องและเดินลงไปชั้นล่างเพื่ออ้าแขนรับแสงแดดยามเช้า

 

ถึงจะย่างเข้าใกล้เดือนกรกฎาคม แต่สำหรับเมืองนี้ยังถือเป็นฤดูร้อน

 

เมืองทิงเก็นอยู่ค่อนขึ้นมาทางทิศเหนือของอาณาจักรโลเอ็น สภาพอากาศที่นี่จึงพิเศษกว่าเมืองอื่นเล็กน้อย อุณภูมิสูงสุดไม่มากไปกว่า30 องศาเซลเซียสของโลกเก่า ซึ่งนับเป็นอากาศที่เย็นสบาย โดยเฉพาะในยามเช้าที่มีลมเอื่อยเย็นยะเยียบโชยปะทะใบหน้า

 

ทว่า ถนนหนทางกลับสกปรกกว่าที่คิด แอ่งน้ำเน่าและเศษขยะกระจัดกระจายเรียงราย จากความทรงจำของไคลน์ นี่คือภาพที่พบเห็นได้ทั่วไปในเมืองยากจน เพราะเหนือสิ่งอื่นใด ทุกคนต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตให้รอดในแต่ละวัน ไม่มีเวลาคิดถึงส่วนรวมมากนัก

 

โดยเฉพาะภายในเมืองแร้นแค้นแสนแออัด

 

“เข้ามาลองเร็วเข้า! ปลาย่างอร่อยมาก!”

 

“ซุปหอยนางรมสดใหม่ร้อนๆ การได้ซดในยามเช้าจะทำให้วันทั้งวันเหมือนกับสวรรค์!”

 

“ปลาสดมากจากท่าเรื่อ เพียงห้าเพนนีต่อหนึ่งชิ้นเท่านั้น!”

 

“มัฟฟินและซุปปลาไหลมีรสชาติกลมกล่อมเข้ากันอย่างน่าเหลื่อเชื่อ!”

 

“เปลือกหอยจ้า! เปลือกหอย!”

“ผักสดเก็บจากฟาร์มนอกเมือง ถูกและสดสะอาด!”

 

 

พ่อค้าแม่ค้าแผงลอยยืนกระจายขายของเต็มสองฝั่งถนน สินค้ามีหลากหลายชนิด ทั้งผักสด ผลไม้ รวมถึงอาหารร้อน พวกมันส่งเสียงตะโกนโน้มน้าวผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาในชั่วโมงเร่งด่วน

บ้างหยุดเพื่อหาอะไรทานรองท้อง บ้างก็โบกไม้โบกด้วยด้วยสีหน้าเคร่งเครียดประหนึ่งยังหางานทำในวันนี้ไม่ได้

 

โจวหมิงรุ่ยลองสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดหนึ่งฟอดใหญ่ บรรยากาศแฝงไว้ด้วยกลิ่นหอมฟุ้งของอาหาร ปะปนกับกลิ่นเหม็นหืนจากของเสีย

 

มือซ้ายกำธนบัตรและปืนลูกโม่แน่นถนัด ศีรษะก้มลงเล็กน้อย มือขวากดปีกหมวกต่ำลง ลำตัวเอนด้านหน้าพร้อมกับรีบเดินแหวกฝูงชนให้พ้นเขตแออัด

 

หัวขโมยมักลอบแฝงตัวในเขตชุมชนเสมอ แถมถนนเส้นนี้ยังมีกลุ่มคนตกงานและยากจนเดินขวักไขว่ รวมถึงเด็กเล็กที่ถูกพ่อแม่บังคับให้แร่ขอทาน

 

โจวหมิงรุ่ยกัดฟันจ้ำเท้าจนพ้นจุดที่ผู้คนเดินเบียดเสียด เมื่อรอบข้างบางตาลง มันตัดสินใจเงยหน้าขึ้น หลังเหยียดตั้งตรง สายตากวาดมองสองข้างทาง

 

เสียงหีบเพลงถูกบรรเลงอย่างไพเราะ ท่วงทำนองเพลงเป็นไปอย่างเบาสบาย แต่บางครั้งก็อัดแน่นด้วยห้วงอารมณ์เศร้าหมอง

 

ไม่ห่างจากหมิงรุ่ยคือกลุ่มเด็กเล็กที่สวมชุดเก่าและขาดรุ่งริ่ง สีหน้าพวกมันซีดเซียวเนื่องจากขาดสารอาหาร

 

เด็กเหล่านี้ยืนฟังเพลงพลางเต้นรำด้วยท่าทางที่ตัวเองคิดค้น แน่นอนว่าไม่เข้าจังหวะเลยสักนิด แต่สีหน้ากลับยินดีปรีดาประหนึ่งเทวดาและนางฟ้าตัวน้อยจากสรวงสวรรค์

สตรีใบหน้าไร้อารมณ์เดินผ่านหมิงรุ่ยไป กระโปรงที่เธอสวมมีสภาพสกปรกมอมแมม ผิวพรรณตามร่างกายหยาบกร้าน

 

แววตาของหญิงสาวจ้องมองรอบข้างอย่างเฉื่อยฉาไร้อารมณ์ตอบสนอง จนกระทั่งเหลือบไปเห็นกลุ่มเด็กเต้นรำ มุมปากเธอพลันกระตุกเล็กน้อย ราวกับได้เห็นตัวเองย้อนกลับไปสามราวสิบปีก่อน

 

โจวหมิงรุยเดินแซงเธอไปพร้อมกับเลี้ยวตัดเข้าถนนอีกเส้น ก่อนจะหยุดหน้าร้านที่ป้ายเขียนว่า ‘สลินเบเกอรี่’

 

เจ้าของร้านคือหญิงชราใจดีวัยเจ็ดสิบกว่านามว่า ‘เวนดี้·สลิน’ เส้นผมสีขาวเทาทั้งหัว สวมรอยยิ้มอบอุ่นตลอดเวลา เวนดี้ขายขนมปังและเค้กที่ร้านแห่งนี้มาแต่ไคลน์จำความได้

 

ทิงเก็นบิสกิตและเค้กมะนาวของเธอคือของขึ้นชื่อของเมือง มีรสชาติเปรียบประหนึ่งอาหารจากสรวงสวรรค์… โจมหมิงรุ่ยน้ำลายสอทันทีเมื่อจินตนาการจากความทรงจำไคลน์

 

“คุณนายสลิน ขอขนมปังแปดปอนด์ครับ”

 

“โอ้ ไคลน์ที่รักเองหรือ เบ็นสันไปไหนแล้วล่ะ? ยังไม่กลับจากทำงานใช่ไหม?”

 

เวนดี้ถามพลางอมยิ้ม

 

“อีกไม่กี่วันก็กลับครับ”

 

โจวหมิงรุ่ยตอบคลุมเคลือ

 

ขณะเวนดี้นำขนมปังไรย์ใส่ถุง เธอถอนหายใจยาวพลางเริ่มบทสนทนา

 

“เขาเป็นคนหนุ่มที่ทำงานหนักกว่าใครเสมอ หวังว่าจะมีภรรยาที่ดีนะ”

 

เมื่อกล่าวจบ เวนดี้อมยิ้มมุมปากพร้อมกับกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงร่าเริง

 

“แต่ก็ดีแล้วล่ะ ไคลน์ของฉันเรียนจบจากมหาวิทยาลัยโฮอี้แล้วนี่นา~ อีกไม่นานก็จะทำงานและมีเงินจุนเจือครอบครัว พวกเธอสามพี่น้องจะได้เปลี่ยนหอพักสักที อย่างน้อยก็เลือกที่มีห้องน้ำส่วนตัว”

 

“คุณนายสลินยังสาวและร่าเริงเหมือนเคยนะครับ”

 

โจวหมิงรุ่ยกล่าวชมตามมารยาท มันทำได้เพียงอมยิ้มขื่นขม

 

หากไคลน์·โมเร็ตติสอบสัมภาษณ์ผ่านเข้าไปทำงานในมหาวิทยาลัยทิงเก็นได้ แน่นอนว่าสถานะทางสังคมของครอบครัวจะถูกยกระดับมหาศาล

 

จากเศษเสี้ยวความทรงจำของไคลน์ มันมีความฝันจะเช่าบ้านเดี่ยวในเขตชานเมืองอยู่ร่วมกันสามพี่น้อง บ้านในฝันต้องมีห้าถึงหกห้องใหญ่ สองห้องน้ำ ระเบียงบ้านชั้นสองกว้างขวางโอ่อ่า ชั้นล่างมีห้องรับแขก ห้องอาบน้ำ ห้องทานอาหาร และห้องใต้ดินสำหรับเก็บของ

 

นี่ไม่ใช่ความเพ้อฝันเกินเอื้อม หากได้เข้าทำงานในฐานะอาจารย์ฝึกสอนของมหาวิทยาลัยทิงเก็น รายได้จะอยู่ที่สองปอนด์ทองต่อสัปดาห์ และเมื่อถูกยกระดับเป็นอาจารย์สอนเต็มตัว รายได้จะอยู่ที่สามปอนด์ทองกับอีกสิบซูลต่อสัปดาห์

เมื่อลองย้อนกลับไปมองเบ็นสัน พี่ชายของไคลน์ แม้จะทำงานมานานหลายปี แต่รายได้กลับต่ำเพียงหนึ่งปอนด์ทองกับอีกสิบซูลต่อสัปดาห์

 

งานอาจารย์มหาวิทยาลัยนับว่ามีหน้ามีตาและมั่นคงมาก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับชนชั้นแรงงานซึ่งมีรายได้สูงสุดไม่เกินหนึ่งปอนด์ทองต่อสัปดาห์ หรือมากกว่านั้นเล็กน้อย

ค่าเช่าบ้านเดี่ยวจะเริ่มที่สิบเก้าซูล ไปจนถึงหนึ่งปอนด์กับอีกแปดซูลต่อสัปดาห์

 

“แตกต่างระดับเดียวกับชนชั้นแรงงานที่โลกเก่าของเรา… ค่าจ้างคนงานจะตกสามถึงสี่พันหยวนต่อเดือน ส่วนค่าจ้างของชนชั้นกลางจะตกสี่ห้าถึงหมื่นหยวน…”

 

โจวหมิงรุ่ยพึมพำ

 

แต่เหนือสิ่งอื่นใด ความฝันของไคลน์จะเป็นจริงก็ต่อเมื่อสอบเข้าทำงานในมหาวิทยาลัยทิงเก็นหรือเบ็คลันด์ได้เท่านั้น

 

โอกาสด้านอื่นมีไม่มาก โดยเฉพาะตำแหน่งข้าราชการที่ต้องใช้เส้นสาย แถมไคลน์ยังเรียนจบด้านประวัติศาสตร์ งานที่ทำได้ยิ่งจำกัดวงแคบลง เหลือแค่… ที่ปรึกษาส่วนตัวด้านประวัติศาสตร์ให้กับชนชั้นสูง ธนาคาร หรือไม่ก็อุตสาหกรรมใหญ่

 

เมื่อปะติดปะต่อความทรงจำที่กระจัดกระจายของไคลน์ โจวหมิงรุ่ยแสดงสีหน้าเจ็บแปลบเมื่อมิอาจตอบสนองความหวังของคุณยายเวนดี้ได้

 

“ฉันยังสาวเสมอแหละนะ… โฮะโฮะ”

 

คุณนายสลินตอบกลับด้วยอารมณ์ขัน

 

เมื่อกล่าวจบ ถุงขนมปังไรย์หนักแปดปอนด์ถูกยื่นให้โจวหมิงรุ่ย

 

“เก้าเพนนี”

 

ขนมปังแต่ละก้อนหนักราวครึ่งปอนด์ ขนาดไม่ต่างกันมากนัก

 

“เก้าเพนนี? ไม่กี่วันก่อนยังราคาสิบเอ็ดเพนนีอยู่เลย…”

 

หมิงรุ่ยถามพลางขมวดคิ้ว ขนมปังไรย์เคยมีราคาสูงถึงสิบห้าเพนนีเมื่อหลายเดือนก่อนด้วยซ้ำ ค่าครองชีพลดลงอย่างน่าประหลาด

 

“เธอต้องไปขอบใจผู้คนที่ร่วมใจเดินขบวนต่อต้าน ‘กฏหมายเมล็ดพันธุ์’ ล่ะนะ”

เวนดี้กล่าวพลางยักไหล่

 

โจวหมิงรุ่ยพยักหน้ารับ มันพอจะมีข้อมูลอยู่บ้าง แต่ก็เพียงน้อยนิด เนื่องจากความทรงจำของไคลน์ยังคงกระจัดกระจายและไม่สมบูรณ์

เนื้อหาสำคัญของกฏหมายเมล็ดพันธุ์คือ รัฐจะช่วยประกันราคาเมล็ดพันธุ์ขั้นต่ำภายในประเทศ แต่ขณะเดียวกัน เมื่อราคาเมล็ดพันธุ์สูงขึ้น ประเทศในทวีปใต้อย่าง ‘เฟเนพ็อต’ ‘มาซิน’ ‘ลุนเบิร์ก’ และอื่นๆ จะหยุดการนำเข้าเมล็ดพันธุ์จากทิงเก็นโดยปริยาย

 

ในสายตาหมิงรุ่ย นับเป็นกฏหมายที่ช่วยเหลือเกษตรกรได้ดีในระดับหนึ่ง แล้วเหตุใดถึงมีผู้คนเดินขบวนประท้วงจำนวนมาก?

 

มันมิได้กล่าวสิ่งใดออกไป หมิงรุ่ยกำลังกังวลว่าตนจะเผลอหยิบปืนออกมาจากกระเป๋า มือซ้ายที่ซุกอยู่พยายามดันลูกโม่ออก ปลายนิ้วตวัดหนีบธนบัตรหนึ่งซูลออกมาสองใบ

 

หนึ่งใบถูกยื่นให้เวนดี้เพื่อเป็นค่าขนมปังไรย์หนักแปดปอนด์ ส่วนอีกหนึ่งใบเก็บกลับ

 

1 ซูลมีมูลค่า 12 เพนนี

หมิงรุ่ยได้รับเงินทอน 3 เพนนี

 

ถุงกระดาษสีน้ำตาลที่เตรียมไว้ถูกนำออกมาใส่ขนมปังไรย์สดใหม่ หลังจากนั้น หมิงรุ่ยเดินออกจากร้านและมุ่งหน้าไปยังเขตที่ขายเนื้อและถั่ว มันตั้งตารอ ‘สตูว์เนื้อแกะใส่ถั่ว’ ที่เมลิสซ่าสัญญาว่าจะทำให้

 

เมื่อเดินผ่านจัตุรัสของเมืองซึ่งเป็นสี่แยกจุดตัดระหว่างถนนกางเขนเหล็กและถนนดารารัตน์ เต็นท์ชั่วคราวถูกวางตั้งเรียงรายเต็มบริเวณ คณะตัวตลกหลายคนแต่งกายด้วยชุดประหลาด พวกมันกำลังยืนแจกใบปลิว

 

“จะมีการแสดงของคณะละครสัตว์พรุ่งนี้ตอนกลางคืน?”

 

โจวหมิงรุ่ยชำเลืองสายตาอ่านเนื้อหาที่ถูกเขียนไว้บนใบปลิว

 

เมลิสซ่าต้องชอบแน่ ว่าแต่… ค่าเข้าชมเท่าไรกันนะ?

 

เมื่อเกิดความสงสัย หมิงรุ่ยเดินดุุ่มตรงไปยังเต็นท์ใกล้ที่สุด

 

ขณะจะเอ่ยปากถามตัวตลกที่ทาหน้าด้วยแถบสีเหลืองสลับแดง สุ้มเสียงแหบพร่าของสตรีปริศนาดังแว่วข้างหู

 

“ไม่ลองทำนายดวงชะตาหน่อยหรือ?”

 

โจวหมิงรุ่ยรีบหันมองตามสัญชาตญาณ เบื้องหน้าคือสตรีสวมหมวกปลายแหลม เดรสยาวสีดำสนิท ยืนใกล้กลับเต็นท์ขนาดเล็กหลังหนึ่ง

 

ใบหน้าถูกทาด้วยแถบแดงสลับเหลือง ดวงตาของเธอมีสีฟ้าหม่นแฝงไว้ด้วยบรรยากาศลุ่มลึก

 

“ไม่ล่ะ”

 

มันส่ายศีรษะพร้อมกับส่งเสียงตอบ เศรษฐกิจของครอบครัวโมเร็ตติไม่มั่งคั่งพอจะใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยขนาดนั้น โดยเฉพาะการทำนายดวงชะตาไร้ประโยชน์

 

สตรีปริศนาอมยิ้ม เธอกล่าว

 

“การทำนายไพ่ทาโร่ต์ของฉันแม่นมากนะ”

“ทาโร่ต์…”

 

หมิงรุ่ยอึ้งไปชั่วขณะ การออกเสียงเหมือนกับไพ่ทาโร่ต์ของโลกเก่าทุกประการ

 

และบนโลกเก่า ไพ่ทาโร่ต์ก็มีไว้เพื่อทำนายดวงชะตาเช่นกัน ไพ่แต่ละใบคือตัวแทนลางบอกเหตุหลายชนิด

เดี๋ยวนะ… ขณะครุ่นคิดเรื่องที่ไพ่ทาโร่ต์คล้ายคลึงกับโลกเก่า ความทรงจำไคลน์เริ่มพรั่งพรูในหัวสมองหลังจากได้ยินคีย์เวิร์ด…

 

ต้นกำเนิดของไพ่ทาโร่ต์มิได้มาจากเทพทั้งเจ็ดองค์ หรือมิได้เกิดจากตำนานโบราณแต่อย่างใด ไพ่ทาโร่ต์ถูกคิดค้นโดยบุรุษนามว่า ‘โรซายล์·กุสตาฟ’ มหาเสนาบดีแห่ง ‘สาธารณรัฐอินทิส’ ในสมัยนั้น เหตุการณ์ผ่านมาแล้วราว 170 ปี

 

มิสเตอร์โรซายล์ยังเป็นผู้คิดค้นเครื่องจักรไอน้ำ ยกระดับเทคโนโลยีเรือพาย ล้มล้างระบบปกครองราชวงศ์อินทิสเดิม และเป็นผู้ที่ถูกยอมรับโดยโบสถ์ ‘เทพแห่งช่างฝีมือ’

หลังปฏิวัติอินทิสสำเร็จ โรซาลย์ขึ้นกุมอำนาจมหาเสนาบดีแห่งสาธารณรัฐ

 

จากนั้น โรซาลย์นำกองทัพบุกลุนเบิร์กและอาณาจักรข้างเคียงในทวีปทิศใต้เพื่อเปลี่ยนให้เป็นเมืองขึ้น เมื่อจบสงคราม มันออกประกาศิตสั่งให้อาณาจักรโลเอ็น เฟเนพ็อต จักรวรรดิฟูซัค รวมถึงชาติมหาอำนาจของทวีปเหนือ ต้องตกอยู่ใต้อาณัติของอินทิส

 

โรซาลย์ทำการเปลี่ยนชื่อสาธารณรัฐอินทิสให้เป็น ‘จักรวรรดิอินทิส’ และสถาปนาตนเองเป็น ‘มหาจักรพรรดิซีซาร์’

 

ระหว่างโรซาลย์ครองบัลลังก์ โบสถ์เทพแห่งช่างฝีมือได้รับ ‘สารจากสวรรค์’ เป็นแห่งแรกนับตั้งแต่ ‘ยุคสมัยที่ห้า’ อุบัติขึ้น

หลังจากนั้นเป็นต้นมา ‘เทพแห่งช่างฝีมือ’ จึงถูกเปลี่ยนชื่อเป็น ‘เทพแห่งจักรกลไอน้ำ’

 

โรซายล์ไม่เพียงคิดค้นการทำนายไพ่ทาโร่ต์ แต่มันยังสร้างเกมไพ่กระดาษอีกหลายชนิดให้เข้ากับวัฒนธรรมในยุคดังกล่าว โดยแต่ละเกมจะมีวิธีเล่นที่ละเอียดซับซ้อนแตกต่างกันไป

 

เมื่อพยายามรีดเร้นความทรงจำ โจวหมิงรุ่ยพบว่า เกมไพ่ที่ไคลน์รู้จักนั้น มีหลายชนิดคล้ายคลึงกับเกมไพ่บนโลกเก่า ไม่ว่าจะเป็น เท็กซัสโปกเกอร์ สลาฟ ไพ่นกกระจอก และไพ่กเวนท์…

ไม่เพียงเท่านั้น กองทัพเรือของโรซายล์ยังค้นพบเส้นทางเดินเรือใหม่ระหว่างทวีปเหนือและใต้ เป็นทางลัดที่ต้องฝ่าเขตพายุและคลื่นสมุทรอันเกรี้ยวกราด ถือเป็นจุดเริ่มต้นของยุคสมัยเดินเรือและโจรสลัด

แต่โชคไม่ดีนัก มหาจักรพรรดิโรซายล์ถูกทรยศในวัยชรา

 

ณ ปี 1198 ของยุคสมัยที่ห้า มันถูกลอบสังหารโดยกองกำลังร่วมระหว่างโบสถ์เทพตะวันเจิดจรัส อดีตราชวงศ์อินทิส—ตระกูลเซารอน รวมถึงเหล่าตะกูลขุนนางที่มีอำนาจและอิทธิพลมหาศาล

 

ลงเอยด้วย โรซาลย์จากโลกไปในวัยชรา สถานที่พำนักสุดท้ายของชีวิตคือมหาราชวังเมเปิ้ลขาว

 

อึก…! ความทรงจำที่พรั่งพรูส่งผลให้มันเจ็บแปลบบริเวณขมับฉับพลัน

 

หรือว่าจะเป็น… ผู้เดินทางข้ามโลกรุ่นพี่?

 

เมื่อทราบเช่นนี้ โจวหมิงรุ่ยเกิดความอยากรู้อยากเห็นทันที ว่าไพ่ทาโร่ต์ที่นี่จะเหมือนกับโลกเก่าของตนขนาดไหน

มันผงกศีรษะให้สตรีปริศนาที่ทาหน้าแถบเหลืองสลับแดง

 

“ถ้าราคาสมเหตุสมผล จะลองดูก็ได้”

 

หญิงสาวคนดังกล่าวอมยิ้ม

“คุณเป็นลูกค้าคนแรกของวันนี้ จะทำนายให้ฟรีก็แล้วกัน”

▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬

ลงวันละตอน ทุกวันจันทร์ - ศุกร์

ติดตามผู้แปลได้ที่ : www.facebook.com/bjknovel/

 

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด