ตอนที่แล้วบทที่ 28 โอวหยางหย่งซูผู้โดนหลอก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 30 กลางกลียุคปรากฏธารน้ำพุใส

บทที่ 29 ประหนึ่งถือระเบิด?


บทที่ 29 ประหนึ่งถือระเบิด?

 

        เมื่อเถี่ยซินหยวนถืออาหารเดินเข้ามาในสวนร้าง เสี่ยวหลิงเอ๋อร์เดินๆ อยู่ก็หายตัวไป ต่อมาเขาก็เห็นเสี่ยวหลิงเอ๋อร์โดนเชือกเส้นหนึ่งดึงรั้งขึ้นไปมัดห้อยหัวอยู่ด้านบน

 

เมื่อครู่นี้เขาไม่ทันระวังเดินไปเหยียบกับดักเข้า

 

เถี่ยซินหยวนกับเด็กคนอื่นจึงหยุดยืนอยู่กับที่ไม่กล้าขยับเขยื้อน เสี่ยวฝูเอ๋อร์สาบานเลยว่า เช้าตรู่วันนี้ตอนพวกเขาออกจากที่นี่ ยังไม่มีกับดักอะไรอยู่ทั้งนั้น ถ้าหากจะมีอะไรเกิดขึ้น ก็คงเป็นยามสายของวันนี้มากกว่า

 

ขณะที่เถี่ยซินหยวนกำลังเป็นห่วงเด็กเล็กๆ หลายคนที่อยู่ในบ้านร้าง เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์ก็ถือไม้เท้าเดินกะโผลกกะเผลกออกมาจากหลังต้นไม้แล้วแก้เชือกที่ผูกอยู่กับกิ่งไม้ ช่วยเสี่ยวหลิงเอ๋อร์ที่ตกใจจนร้องไห้โฮลงมาอย่างช้าๆ

 

“เจ้าเป็นคนทำรึ?”

 

เถี่ยซินหยวนรู้สึกดีใจเป็นที่สุด เขาก้าวออกไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ตั้งใจจะเข้าไปถามเรื่องน่าประหลาดใจ ใครจะรู้ว่ามีตอกไม้ไผ่เส้นหนึ่งดีดออกมาจากพงหญ้ารวดเร็วปานสายฟ้า หวดเข้าที่น่องของเถี่ยซินหยวนอย่างไร้ความปรานี

 

เขาส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด น้ำตาไหลทะลักออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ ต่อให้ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เขาก็ยังร้องเตือนพวกเสี่ยวฝูเอ๋อร์ด้วยเสียงปนสะอื้นว่าไม่ให้เคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้า

 

เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์ไม่คิดจะขอโทษเลยสักนิดเดียว เขาเดินมาตรงหน้าเถี่ยซินหยวนแล้วกล่าวว่า “ช่วงนี้ข้าจะวางกับดักเอาไว้ทั่วบริเวณ หลักๆ แล้วจะเป็นพวกกับดักเตือนภัย ส่วนอีกครึ่งเดือนหลังจากนี้ ข้าจะใช้เงินที่เจ้าให้ไว้ เปลี่ยนกับดักทั้งหมดนี่ให้ร้ายกาจถึงขั้นสังหารคนได้”

 

“ทำอย่างไร?” เถี่ยซินหยวนเอามือปาดน้ำตาแล้วรีบเอ่ยถาม

 

“ง่ายมาก แค่เอาตอกไม้ไผ่ที่หวดน่องเจ้าเมื่อครู่มาผูกกับหนามเหล็กก็ใช้ได้แล้ว ส่วนกับดักเชือกที่จับเสี่ยวหลิงเอ๋อร์ห้อยหัวเอาไว้ ตรงส่วนปลายข้าจะติดหนามแหลมเอาไว้บางส่วน”

 

“นอกจากนี้ข้าจะทำพวกไม้กระดานกล หรือพวกหน้าไม้ฝังตามพื้นดินด้วย ถ้าหากแนวกำแพงของที่นี่สามารถขุดได้สักสองสามแห่ง ใส่น้ำมันลงไปแล้วจุดชวนด้วยหุ่นกระบอกดอกไม้ไฟ เติมกำมะถันลงไปอีกสักหน่อย เส้นทางนั้นคงสามารถเผาร่างคนได้สักสามถึงห้าสิบคน..ยังมีอีกนะ บนหลังคา...”

 

หลังจากได้ฟังเสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์เล่าที่มาที่ไป ผิวหน้าของเถี่ยซินหยวนก็กระตุกอย่างรุนแรง ตอนนี้เขาชักสับสนแล้วว่าคนรอบข้างเขาเป็นคนประเภทใดกันแน่

 

ท่านปู่ของมารดาเป็นถึงอดีตอัครเสนาบดีผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือแห่งต้าซ่ง แม้สุดท้ายจะไม่ทราบว่าเหตุใดนางถึงแต่งงานกับบิดาที่เป็นช่างตีเหล็ก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็มิอาจอำพรางความจริงที่นางเป็นหญิงมากความสามารถคนหนึ่งไปได้

 

เขาอยากจะกราบใครสักคนเป็นอาจารย์ สุดท้ายกลับพบว่าคนผู้นั้นไม่มีใจคิดจะรับเขาเป็นศิษย์สักนิด เหตุผลเดียวที่ยอมเข้าใกล้เขาก็เพราะต้องการแสดงความรู้สึกผิดบาปในใจที่มีต่อมารดาเท่านั้นเอง

 

เขาวางแผนสังหารเจ้าอันธพาลที่ข่มขู่รีดไถเงินจากตนและมารดา กลับพบว่าเจ้าอันธพาลที่มารีดไถเงินทำเพื่อต้องการเลี้ยงดูเด็กขอทานที่กำพร้าบิดามารดากลุ่มหนึ่ง

 

ตอนนี้ก็ดีนักเชียว เจ้าหนูที่ไม่รู้หนังสือสักตัว อีกทั้งขาก็ยังบาดเจ็บไม่หาย กลับเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญในการสร้างกับดักชนิดหาตัวจับยาก เมื่อครู่อีกฝ่ายพูดถึงสิ่งต่างๆ มากมายสารพัด ซึ่งเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนทั้งสิ้น

 

“เจ้าจิ้งจอกไปไหนแล้ว?”

 

เถี่ยซินหยวนรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมา สอดส่ายสายตามองหาอย่างร้อนใจ

 

“โดนขังอยู่ใต้อ่างบัวแล้ว” เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์กล่าวอย่างเรียบเฉยราวสนทนาเรื่องดินฟ้าอากาศ

 

“รีบยกขึ้นสิ เร็วเข้า” เถี่ยซินหยวนวิ่งกะโผลกกะเผลกมาถึงหน้าอ่างบัวที่ตั้งอยู่ริมทาง เขาได้ยินเสียงเจ้าจิ้งจอกร้องครางกระซิกๆ ขอความช่วยเหลือจากข้างในอย่างที่คิดไว้

 

หลังจากสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงอยู่นานกว่าจะยกอ่างบัวขึ้นมาได้ เจ้าจิ้งจอกก็ร้องโวยวายด้วยความน้อยใจยกใหญ่ อีกทั้งยังปล่อยปัสสาวะกลิ่นเหม็นฉุนเหลือประมาณใส่อ่างบัวนี้ด้วย

 

เถี่ยซินหยวนและเด็กๆ ที่ออกไปด้วยกันกลับมาถึงห้องเก่าซอมซ่อห้องนั้น เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์มองบรรดาพี่น้องกินอาหารที่นับได้ว่ารสเลิศอย่างเอร็ดอร่อยอย่างพอใจ เขานำเงินทั้งหมดที่เถี่ยซินหยวนหามาได้ใส่ลงกล่องไม้ใบเล็กๆ จากนั้นจึงนำกล่องไม้ฝังลงไปใต้แผ่นหินด้วยความยินดียิ่งกว่าเดิม

 

หลังจากนับเงินเสร็จเรียบร้อยแล้ว เถี่ยซินหยวนก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ยังขาดอีกมากนัก ราคาบ้านในเมืองหลวงแพงแทบบ้าตาย เมื่อวันก่อนข้าไปถามคนกลางคนหนึ่ง บ้านหลังมีทางเข้าออกสองทางพร้อมลานบ้าน ถ้าหากไม่มีเงินสักห้าร้อยพวงคงไม่มีทางซื้อได้หรอก”

 

“มีเพียงเท่านี้ ยังซื้อได้แค่บ้านแถวสะพานซ่างถู่ ถ้าหากต้องการแหล่งที่ดีกว่านั้นหน่อย อย่างน้อยที่สุดต้องมีเงินถึงแปดร้อยพวงขึ้นไป”

 

เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์คิดทบทวนครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “เรื่องพวกนี้ข้าไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร ครอบครัวของข้าย้ายมาจากเส้นทางกานเหลียง[1]เดิมทีบิดาอยากพาข้ากับมารดามาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขที่เมืองหลวง แต่สุดท้ายยังไม่ทันถึงที่นี่ พวกเขาก็จากไประหว่างทาง”

 

“ถ้าหากรู้แต่แรกว่าจะเป็นแบบนี้ ไม่สู้อยู่ที่เส้นทางกานเหลียงต่อไปเสียดีกว่า แม้ว่าแถบนั้นจะมีศึกสงครามบ่อยครั้ง แต่อยู่ที่นั่นก็ไม่แน่ว่าจะต้องตาย...”

 

เถี่ยซินหยวนขมวดคิ้วแล้วถามว่า “คนซีเซี่ยรึ?”

 

เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์เงยหน้าตอบว่า “ไม่รู้เหมือนกัน มีแต่สวรรค์ที่รู้ว่าพวกเราเป็นคนที่ไหนกันแน่ บิดาข้าเล่าว่าเดิมทีบรรพบุรุษของเราอยู่ในเขตกวนจง[2] ต่อมาเมื่อกวนจงเกิดภัยแล้งถึงได้ย้ายไปเส้นทางกานเหลียง เวลานี้แถบนั้นมีศึกสงคราม พวกเราจำต้องย้ายหนีอีกครั้ง จะสนใจคนแถวนั้นไปทำไม ในเมื่อไม่มีใครมาสนใจพวกเรา

 

ใช่แล้ว ครอบครัวของข้าเป็นช่างทำหน้าไม้ บิดาและมารดาของข้าล้วนเป็นช่างฝีมือดี ถ้าหากพวกเขายังมีชีวิตอยู่ เรื่องเลี้ยงดูปากท้องพี่น้องทุกคนที่นี่คงไม่ใช่เรื่องใหญ่”

 

“หน้าไม้รึ? หน้าตาเป็นเช่นไรกัน ของพวกนี้ดินแดงต้าซ่งไม่อนุญาตให้ราษฎรทำเองอยู่แล้ว ใครลักลอบทำขึ้นมาต้องโดนตัดหัวทั้งนั้น นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลยนะ”

 

เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์หัวเราะแล้วตอบว่า “การทำหน้าไม้หาใช่เรื่องง่ายดายอย่างที่เจ้าคิด เพียงแค่หาวัสดุเป็นไม้ชั้นดีมาทำคันธนู ผึ่งลมตากแห้ง ทาสีเคลือบน้ำมัน ขัดให้ขึ้นเงาขั้นตอนพวกนี้ก็ใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปี สุดท้ายยังต้องเลือกรูปแบบและลำกล้อง กลไกการยิง และสายธนู ถ้าหากต้องการทำหน้าไม้กลที่ยิงได้ต่อเนื่อง ขั้นตอนก็ยิ่งยุ่งยากเข้าไปอีก ไม่มีทางที่คนคนเดียวจะทำออกมาได้แน่”

 

“ความสามารถในการวางกับดักของเจ้าก็เรียนมาจากบิดามารดาหรือ? มีเรื่องราวอีกมากนักที่ข้าไม่เคยรู้เห็นมาก่อน นี่คงไม่ใช่วิชาความรู้ธรรมดาทั่วไปสินะ”

 

“ย่อมไม่ใช่แน่นอน!” เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์กล่าวอย่างภาคภูมิใจ

 

“สิ่งที่บ้านของข้าทำได้ประณีตงดงามที่สุดไม่ใช่หน้าไม้อะไรนั่นหรอก ของพวกนั้นทำขึ้นเพื่อหาเลี้ยงปากท้อง ตอนแรกท่านปู่ของข้าจำต้องหาทางเลี้ยงดูคนทั้งครอบครัวให้มีชีวิตรอด ถึงได้เปลี่ยนให้ครอบครัวของเรากลายเป็นตระกูลช่างทำหน้าไม้ ท่ามกลางความวุ่นวายจากภัยสงคราม ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ พวกเขาล้วนต้องปฏิบัติต่อครอบครัวของพวกเราอย่างดี”

 

เถี่ยซินหยวนพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “แพทย์ฝีมือล้ำเลิศกับช่างฝีมือละเอียดประณีต ต่างเป็นผู้ที่กลุ่มก้อนอำนาจทุกฝ่ายต้องสร้างความสัมพันธ์อย่างระมัดระวังทั้งสิ้น บรรพบุรุษของเจ้าเลือกได้ไม่เลวเลย”

 

“ผิดแล้ว!” เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์เอ่ยขัดวาจาของเถี่ยซินหยวนอย่างไร้เยื่อใย

 

“บิดาข้าบอกเอาไว้ก่อนตายว่า เมื่อไม่มีเล่ห์อุบายก็อย่าได้ล้อเล่นกับของอันตรายเช่นนี้ ตระกูลของข้าตลอดหลายรุ่นล้วนเป็นคนดีจนเกินไปทั้งสิ้น พวกเราไม่ตายจะให้ใครตายแทนเล่า?”

 

เมื่อเห็นว่าเสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์เล่าเรื่องราวด้วยความโศกเศร้าถึงเพียงนี้ เถี่ยซินหยวนจึงล้วงเอาสุราที่เตรียมไว้ให้คู่ประชันหมากออกจากย่าม แล้วส่งให้เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์ด้วยความเคยชิน

 

เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์ยื่นมือไปรับมาดื่มอึกใหญ่ จากนั้นก็โดนเถี่ยซินหยวนที่เพิ่งได้สติกลับมาแย่งคืนไป หลายวันนี้จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ประจบสอพลอผู้คนมากเข้าจนบีบเค้นความจริงใจออกมาเสียได้ เป็นเช่นนี้ไม่ดีเลยจริงๆ

 

“พรุ่งนี้ข้ามีการค้าครั้งสำคัญต้องทำ คราวนี้คงไม่พาพวกเสี่ยวฝูเอ๋อร์ไปด้วยแล้ว มีสุ่ยจูเอ๋อร์อยู่เป็นเพื่อนข้าก็พอ ข้าเห็นว่ายิ่งพวกเราพาคนไปมากก็ยิ่งตกเป็นเหยื่อให้ผู้อื่นรังแก”

 

เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์เหลือบมองกาสุราในมือเถี่ยซินหยวน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงปนความเสียดายว่า “ถ้าหากข้าเฉลียวฉลาดและละเอียดรอบคอบอย่างเจ้า พี่น้องทุกคนคงไม่ต้องลำบากถึงขนาดนั้นแล้ว”

 

เถี่ยซินหยวนขมวดคิ้วพลางถามว่า “มีหนิวเอ้อร์คอยดูแลมิใช่หรือ? แล้วเหตุใดพวกเจ้าถึงอดอยากอยู่ตลอดเล่า? เดือนเดือนหนึ่งหนิวเอ้อร์รีดไถเงินจากผู้คนแถบประตูซีสุ่ยไปได้ไม่น้อยเลยนะ”

 

เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์หันมองน้องชายน้องสาวตัวน้อยๆ ที่กำลังกินอาหารแล้วเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “หนิวเอ้อร์ต้องการภาพร่างที่อยู่ในมือข้า เขากลัวข้าจะหนีไปจึงตีข้าจนขาหัก ใช้พวกเขาบีบบังคับข้ามอบภาพร่างให้ วันไหนไม่วาดให้ วันนั้นก็ไม่ต้องกิน เรื่องนี้พวกเขาไม่รู้หรอก”

 

“ไม่ใช่ว่าหนิวเอ้อร์สงสารพวกเจ้าถึงคอยช่วยเหลือหรอกหรือ? ยังมีคนกล่าวว่าเพราะเขาต้องดูแลพวกเจ้า ทำให้แม้แต่หญิงคนรักก็ไม่ได้ไถ่ตัวออกมาจากหอนางโลม”

 

“เจ้าเชื่อรึ?” เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์ฉวยโอกาสแย่งกาสุรามาจากมือของเถี่ยซินหยวน แล้วดื่มลงท้องอีกอึกใหญ่

 

“ข้า...เชื่ออยู่บ้าง...เพราะว่าพวกเสี่ยวหลิงเอ๋อร์กับเสี่ยวฝูเอ๋อร์ดีต่อหนิวเอ้อร์เสียขนาดนั้น”

 

“พวกเขาไม่มีใครคอยดูแล จู่ๆ ก็มีชายคนหนึ่งที่ทำตัวราวบิดาโผล่มา ไม่ว่าเขาจะดีหรือร้ายเพียงใดก็โผเข้าหา เรื่องที่ข้าเล่าให้ฟัง เจ้ารับรู้เอาไว้ก็พอแล้ว อย่าไปบอกพวกเขาเชียวล่ะ”

 

เถี่ยซินหยวนยิ้มบางๆ แล้วส่ายหน้า “ดูท่าถึงหนิวเอ้อร์ไม่โดนคนกลุ่มซวนหนีสังหาร ไม่ช้าก็เร็วคงตายด้วยน้ำมือเจ้า”

 

“บิดาของข้ากล่าวว่าข้าจะเป็นช่างฝีมือที่ดี แต่อาจไม่ใช่หัวหน้าครอบครัวที่ดี เดิมทีข้าคิดจบชีวิตไปพร้อมกับหนิวเอ้อร์ด้วยซ้ำ”

 

“อย่าพูดจาไร้สาระ เอาภาพร่างของเจ้ามาให้ข้าดูหน่อยสิ”

 

“จะดูภาพนั่นหาอะไร เจ้าจะดูรู้เรื่องหรือ? เอาให้เจ้าดูก็เหมือนสุนัขมองดาวบนฟ้า”

 

“อย่าเพิ่งสนใจว่าข้าจะดูรู้เรื่องไหม ให้ข้าดูก่อนค่อยว่ากัน”

 

“ช่างเถิด เจ้าอยากดูก็ดูไปสิ ข้าคิดว่าเจ้าเป็นคนเฉลียวฉลาดพอตัว ถ้าหากเอาภาพร่างพวกนี้ไปขายได้ พวกเราก็คงมีเงินซื้อคฤหาสน์แล้ว”

 

“ภาพร่างบ้าบออะไรมีค่าปานนี้ เจ้าบอกมาให้ชัดๆ หน่อย ถ้าหากบอกกล่าวไม่ชัดเจน ข้าไปบอกราคาสูงเกินจริง จนโดนผู้อื่นเตะโด่งออกมาคงขายหน้าไปกันใหญ่แน่”

 

เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์หัวเราะอย่างเย็นชา ก่อนจะออกแรงหักไม้เท้าของตัวเองออกเป็นสองส่วน ด้านในไม้เท้าเป็นเพียงช่องว่างกลวงๆ มีกระดาษจากเปลือกหม่อนม้วนหนึ่งร่วงออกมา

 

เถี่ยซินหยวนคลี่ม้วนกระดาษออกดูก็เงยหน้าโดยพลัน ก่อนจะม้วนกระดาษเสียงดัง ‘กรอบแกรบ’ ให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิม

 

เขากดเสียงต่ำพลางเอ่ยว่า “เจ้าจะบอกว่าในภาพร่างนี้คือหน้าไม้วิเศษหรือไร?”

 

เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์ถูกความรอบรู้ของเถี่ยซินหยวนทำให้ตกใจยกใหญ่ จนเกือบพ่นสุราในปากออกมา หลังจากกลืนลงคอไปอย่างยากลำบากก็เอ่ยตอบเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าคิดว่าภาพร่างนี้จะแลกบ้านให้เราสักหลังได้ไหม?”

 

เถี่ยซินหยวนขมวดคิ้วแล้วตอบว่า “ถ้าหากหลี่หยวนฮ่าว[3]นำสิ่งนี้ไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ อาจจะแลกเมืองมาได้สองเมือง”

 

“พวกเราเล่า?”

 

เถี่ยซินหยวนแยกเขี้ยวจนเห็นฟันขาว แล้วกล่าวด้วยความเจ็บปวดว่า “แลกกับชีวิตของเจ้าเอง รวมถึงชีวิตน้อยๆ ของพวกเราทุกคน”

 

เสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์พยักหน้ารับแล้วกล่าวว่า “เพราะเหตุนี้จริงๆ ด้วย หนิวเอ้อร์อยากเอาชีวิตพวกเราทุกคน แต่ว่าข้าไม่สนใจแล้ว เพื่อรักษาภาพร่างนี้ไว้ ข้าเกือบโดนผู้อื่นตีจนขาพิการ

 

ข้ามองออกนะ เจ้าเฉลียวฉลาดยิ่งกว่าพวกเรา ภาพร่างนี้ข้ามอบให้เจ้าจัดการ นับจากวันนี้ไปข้าจะถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่อให้เจ้าเอาภาพร่างไปเผาทิ้งก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า”

 

เมื่อเสี่ยวเฉี่ยวเอ๋อร์กล่าวจบประโยค ก็เหมือนผลักภาระหนักพันชั่งลงจากบ่า เขาถือกาสุราเดินเข้าไปกินอาหารกับกลุ่มเด็กตัวแสบทั้งหลาย วันนี้มีขนมเจิงปิ่งกินคู่กับหนังหมู เมื่อเคี้ยวรวมกันแล้วได้รสชาติดีเป็นพิเศษทีเดียว

 

เถี่ยซินหยวนคลี่ม้วนกระดาษพินิจดูอย่างละเอียดอีกครั้ง เขารู้ดีว่าหน้าไม้วิเศษนี้เป็นอาวุธสำคัญของทหารต้าซ่งยามพุ่งทะยานในสมรภูมิ และเพราะอาวุธชิ้นนี้เอง ดินแดนต้าซ่งถึงยืนหยัดต่อสู้ภายใต้กีบเท้าเหล็กของเจงกีสข่าน[4]ไปได้อีกหลายปีปานนั้น

 

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าของสิ่งนี้สำคัญเพียงใด

 

ในเวลานี้เถี่ยซินหยวนรู้สึกราวกับว่า จู่ๆ มือของตนกำม้วนภาพร่างระเบิดปรมาณูไว้ มารดามันเถอะ...เหมือนกำภาพร่างระเบิดปรมาณูในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองนั่นเลย

 

หลังจากตัวสั่นเทาด้วยความหนาวเหน็บ เขาก็รีบม้วนกระดาษให้เรียบร้อยแล้วนำใส่กล่องเล็กๆ ใบหนึ่ง ก่อนจะส่งให้เจ้าจิ้งจอกที่อยู่ข้างกาย มันคาบกล่องเอาไว้ในปาก วิ่งลัดเลาะผ่านกำแพงมุ่งหน้ากลับบ้านไปทันที

 

สำหรับความสามารถในการซุกซ่อนสิ่งของนั้น เถี่ยซินหยวนรู้ดีแก่ใจว่าไม่อาจเทียบเจ้าจิ้งจอกตัวนี้ได้..

 

----------------------------

 

[1] เส้นทางกานเหลียง(甘凉道)หรือเส้นทางโบราณกานเหลียง เป็นเส้นทางที่เชื่อมต่อกับระเบียงตะวันตก(河西走廊)และเส้นทางสายไหม(丝绸之路) เส้นทางนี้จะผ่านเมืองเหลียงโจวและกานโจว ซึ่งปัจจุบันคือเมืองจางเย่(张掖市)เมืองอู่เวย(武威市)ในมณฑลกานซู่(甘肃省)

[2] เขตกวนจง(关中)เขตพื้นที่ในแนวด่านทั้งสี่ทิศได้แก่ ด่านถงกวน(潼关)ทางตะวันออก, ด่านซ่านกวน(散关)ทางตะวันตก, ด่านอู่กวน(武关)ทางทิศใต้ และด่านเซียวกวน(萧关)ทางทิศเหนือ ซึ่งปัจจุบันเขตกวนจงอยู่ทางตอนกลางของมณฑลส่านซี(陕西省)

[3] หลี่หยวนฮ่าว(李元昊)ชื่อเดิมคือทัวป๋าหยวนฮ่าว(拓跋元昊)ในอดีตบรรพบุรุษได้รับพระราชทานแซ่หลี่(李)จากฮ่องเต้ถังเกาจง(唐高宗) หลี่หยวนฮ่าวเป็นคนมีความสามารถและจิตใจทะเยอทะยาน หลังจากบิดาถึงแก่กรรมจึงสถาปนาอาณาจักรต้าเซี่ยหรือซีเซี่ยขึ้น จนนำไปสู่สงครามระหว่างซีเซี่ยกับต้าซ่งในสมัยฮ่องเต้ซ่งเหรินจง

[4] เจงกีสข่าน(成吉思汗)ผู้ก่อตั้งจักรวรรดิมองโกลอันยิ่งใหญ่ มีนามเดิมว่าเตมูจิน(铁木真)ภายหลังหลานชายของเขากุบไลข่าน(忽必烈汗)เป็นผู้สถาปนาและขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้องค์แรกของราชวงศ์หยวน(元)

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด