ตอนที่แล้วบทที่ 28 บัณฑิตสำนักไท่เสวียหลอกยากนัก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 29 ประหนึ่งถือระเบิด?

บทที่ 28 โอวหยางหย่งซูผู้โดนหลอก


บทที่ 28 โอวหยางหย่งซูผู้โดนหลอก

 

“เป็นไปไม่ได้!”

 

เมื่อหมากแดงเหลือเพียงขุนและช้างอย่างละหนึ่ง ส่วนทางหมากดำเหลือเบี้ย[1]ที่เดินหน้าได้อย่างเดียวสามตัว รวมไปถึงขุนและองครักษ์อย่างละตัว หมากกระดานนี้ก็เสมอกันไปโดยปริยาย...

 

มือเถี่ยซินหยวนที่ยื่นออกไปมีเศษเงินเพิ่มขึ้นมาอีกก้อนหนึ่ง...

 

ศึกบนกระดานหมากยังดำเนินต่อไป หลังจากคู่ต่อสู้ที่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้คิดใคร่ครวญลึกซึ้งแล้ว พวกเขาจึงเริ่มเดินหมากอีกครั้ง เถี่ยซินหยวนยังขยับปืนใหญ่เดินข้างไปเส้นที่สี่เช่นเดิม

 

ไม่ทราบเพราะเหตุใด เมื่อคู่ต่อสู้ที่มีอารมณ์หงุดหงิดฉุนเฉียวพิจารณากระดานหมากละเอียดถี่ถ้วน ใบหน้าของเขากลับมีรอยยิ้มจางๆ ซึ่งทำให้เถี่ยซินหยวนรู้สึกตื่นตระหนกอย่างยิ่ง เมื่อครู่นี้พอเขาได้พูดคุยกับชายตรงหน้าและผู้คนรอบข้างถึงทราบว่า ชายที่ตนกำลังเดินหมากด้วยก็คือโอวหยางซิวผู้โด่งดังนั่นเอง

 

ในปีนี้โอวหยางซิวเพิ่งจะได้กลับมาเมืองหลวง ก็ถูกเรียกพบที่สำนักราชบัณฑิตเพื่อรับตำแหน่งเซวียนเต๋อหลาง[2]เมื่อโอวหยางซิวในวัยยี่สิบแปดปีกลับมาก็ทำงานเป็นขุนนางตรวจสอบตำราและคัมภีร์โบราณ อีกทั้งร่วมเรียบเรียงแก้ไขตำราชื่อ ‘ฉงเหวินจ่งมู่’

 

วันนี้เมื่อเดินทางมาเยี่ยมสหายเก่าและอาจารย์ที่สำนักไท่เสวีย กลับคิดไม่ถึงว่าจะมาพบเถี่ยซินหยวนกำลังตั้งแผงหลอกเอาเงินผู้อื่น

 

เขาโปรดปรานการเดินหมากเป็นที่สุด เมื่อมาได้ยินเถี่ยซินหยวนเอ่ยวาจาวางมาดเสียใหญ่โต ก็นึกสนุกอยากจะประชันฝีมือกับเจ้าเด็กคนนี้ดูสักตั้ง เขาไม่มีทางคาดคิดเลยว่าหลังเดินไปสิบกว่าก้าว หมากดำที่ครองความได้เปรียบอย่างสมบูรณ์แบบจะพลิกกลับมาอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย หลังผ่านการสูญเสียไปไม่น้อย ในที่สุดหมากกระดานนี้ทั้งสองฝ่ายก็เสมอกันอย่างเลี่ยงไม่ได้

 

ทว่าสถานการณ์เช่นนี้ยิ่งกระตุ้นจิตใจอยากเอาชนะของโอวหยางซิว ชายหนุ่มจึงรวบรวมสมาธิเตรียมต่อกรกับกลหมากปริศนาตรงหน้าอย่างจริงจัง

 

เหตุที่เรียกว่ากระดานหมากลักษณะนี้ว่ากลหมากปริศนา ก็เพราะหลังจากมีคนลองเดินหมากมากมายนับครั้งไม่ถ้วนก็ยังเป็นกระดานที่ไร้ทางแก้ แต่เถี่ยซินหยวนก็เชื่อมั่นว่าบนโลกใบนี้จะต้องมีพวกที่ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาอยู่แน่ พวกอัจฉริยะราวปีศาจนั่นมีตัวตนอยู่เพื่อขับเน้นว่ามนุษย์ส่วนใหญ่ไร้ความสามารถเพียงใด

 

เถี่ยซินหยวนเป็นกังวลว่าตัวเองจะกลายเป็นเหยื่อสังเวยของยอดอัจฉริยะ อย่างน้อยชายที่นั่งเกาหูเกาแก้มอย่างร้อนใจอยู่ตรงหน้า เขามีสีหน้าประเดี๋ยวดุดันโหดร้าย ประเดี๋ยวลิงโลดยินดีดังสายลมฤดูใบไม้ผลิโชยผ่านใบหน้า นับเป็นยอดอัจฉริยะที่ยากจะพานพบในประวัติศาสตร์ของประเทศจีนโดยแท้

 

เคราะห์ดีที่เจ้าปีศาจตนนี้กำลังเสียกิริยาอย่างยิ่ง ขอเพียงบัณฑิตคนอื่นของสำนักไท่เสวียช่วยออกความคิดให้ เขาจะส่งเสียงคำรามสวนกลับไปทันใด

 

ดียิ่งนัก!

 

ความสามารถอันร้ายกาจของชายผู้นี้ไม่รวมเรื่องการเดินหมากเข้าไปด้วย

 

เถี่ยซินหยวนคิดอยู่ในใจว่าอยากได้บุหรี่มาสูบสักมวนเสียจริง จากนั้นเขาก็สังเกตสภาพถุงเงินที่โอวหยางซิวล้วงออกมาและยังไม่เก็บคืนไปอย่างละเอียด ดูจากสภาพความหนาแน่นของถุงแล้ว อย่างมากเจ้าหมอนี่คงเล่นได้อีกไม่เกินสามกระดาน

 

หลังจากเถี่ยซินหยวนเดินหมากตาสุดท้าย ขยับจากเส้นสี่เดินหน้าไปอีกหนึ่งช่อง ก็ยิ้มจนตาหยีพร้อมยื่นมือออกไปอีกครั้ง...

 

“ประหลาดนัก!”

 

โอวหยางซิวหยิบเงินก้อนหนึ่งออกมาวางตรงหน้าเถี่ยซินหยวนอย่างคับแค้นใจ ก่อนจะเริ่มจัดวางหมากบนกระดานใหม่ เวลาวางหมากแต่ละตัวยังกระทบกับกระดานเสียงดังเล็กน้อย

 

จากตอนแรกที่กังวลว่าเจ้าหมอนี่จะไม่กล้าวางเดิมพันมากพอ แต่เห็นเขาวางเงินอย่างว่องไวดูคล้ายจะไม่เป็นเช่นนั้น เถี่ยซินหยวนก็หาวออกมาฟอดใหญ่ รอให้โอวหยางซิววางหมากบนกระดานเรียบร้อยแล้ว ค่อยขยับปืนใหญ่ไปตำแหน่งที่มันควรอยู่อีกครั้ง ทางฝั่งโอวหยางซิวก็ขยับรถศึกบนเส้นสี่ถอยหลังมาก้าวหนึ่งเพื่อกินปืนใหญ่ของหมากแดงทันที...

 

“ปัดโธ่ หย่งซู (ชื่อรองโอวหยางซิว) พวกเรารอเจ้าอยู่นานนักหนาแล้ว เหตุใดยังเสียเวลาเล่นกับเจ้าเด็กคนนี้อีกเล่า? รีบไปดื่มสุรากับข้าได้แล้ว!”

 

ชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงเดินเบียดออกมาจากฝูงชนที่รายล้อม ตะโกนเสียงดังว่าจะลากตัวโอวหยางซิวออกไปจากที่นี่

 

โอวหยางซิวยิ้มเจื่อนๆ แล้วเอ่ยปากว่า “ท่านหว่านหลิง ข้าพ่ายแพ้เจ้าเด็กน้อยคนนี้ถึงสองกระดานติดกันแล้ว เวลานี้จะยอมรามือง่ายๆ ได้อย่างไร?”

 

ชายรูปร่างผอมสูงที่ชื่อท่านหว่านหลิงเหลือบมองสถานการณ์บนกระดานหมากแวบหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะแล้วเอ่ยตอบว่า “เวลานี้เจ้าครองความได้เปรียบทั้งหมดบนกระดาน นับว่าเอาชนะเขาได้แล้ว ฉะนั้นรีบไปกับข้าเถิด”

 

“พี่เหมย ท่านมองหมากบนกระดานชัดเจนแล้วหรือ เวลานี้แม้ข้าจะครองความได้เปรียบ แต่ว่าเดินไปอีกสิบกว่าก้าว ข้าจะตกลงไปในหนองดินโคลน สุดท้ายถ้าหากทำให้เสมอกันได้นับเป็นโชคที่ฟ้าประทานมาแล้ว”

 

“เป็นไปไม่ได้!”

 

“นี่เป็นเรื่องจริง!”

 

ด้วยเหตุนี้เองพี่เหมยท่านนั้นก็คุกเข่าลงสังเกตความเปลี่ยนแปลงบนกระดานหมากด้วย...ส่วนเถี่ยซินหยวนกำลังเฝ้าสังเกตช่องว่างในอกเสื้อของเจ้าคนไร้หน้าอก[3]ว่าจะมีเงินมากมายสักเท่าใดกัน

 

สถานการณ์บนกระดานหมากเกิดการพลิกผันดังที่โอวหยางซิวกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ พี่เหมยเห็นด้วยตาตนเองแล้วถึงกับนิ่งอึ้งไปเลยทีเดียว

 

ในฐานะที่เป็นยอดฝีมือเชิงหมาก ไหนเลยจะยอมทนให้เรื่องเลวร้ายเช่นนี้เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาได้ เวลานี้พี่เหมยมีความไม่พอใจอัดแน่นอยู่เต็มท้อง รีบเข้ามาแทนที่โอวหยาวซิว เขานั่งลงตรงข้ามเถี่ยซินหยวนในทันใด

 

เมื่อหลอกเงินจากโอวหยางซิวมาได้หนึ่งตำลึงกว่าๆ เถี่ยซินหยวนก็ตัดสินใจเก็บกระดานแล้ว ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะหลอกลวงคนทั้งสองที่หลงกลตามแผนต่อไปอีก แต่เป็นเพราะพวกเสี่ยวหลิงเอ๋อร์โดนบ่าวรับใช้ของสำนักไท่เสวียจับถอดเสื้อผ้าประจานให้อับอายนานเกินไปแล้ว

 

แม้พวกเขาจะยอมทนยืนเปิดเผยอวัยวะเบื้องล่างโดยไม่ส่งเสียงร้องสักแอะ แต่โทสะในใจเถี่ยซินหยวนประหนึ่งภูเขาไฟที่ใกล้จะระเบิดออกมาเต็มที

 

รังแกกันเกินไปแล้ว!

 

ไฟโทสะขุมนี้ทำให้เขาเกือบลืมไปเลยว่า ข้างกายยังมีผู้มีชื่อเสียงโด่งดังมาหลายพันปีอย่างโอวหยางซิวอยู่ด้วย และทำให้เขาเกือบลืมไปว่าจะหยั่งเชิงที่มาเจ้าคนไร้หน้าอกว่าเป็นใครได้อย่างไร..

 

ในขณะที่เจ้าคนไร้หน้าอกกำลังเตรียมวางหมากบนกระดานอีกครั้ง เถี่ยซินหยวนก็เริ่มเก็บตัวหมากโดยไม่เหลียวแลเสียงคัดค้านของเขาสักนิด

 

โอวหยางซิวกล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “เจ้าหนู ทำเช่นนี้คิดข้ามน้ำรื้อสะพานหรือไร วันนี้ต้องตัดสินแพ้ชนะให้ได้ จะรีบเก็บกระดานไปไยเล่า”

 

เถี่ยซินหยวนหัวเราะเบาๆ แล้วตอบว่า “จะลองเล่นสักพันกระดานท่านก็ยังแพ้อยู่ดี ไม่มีทางเปลี่ยนได้หรอก”

 

ชายไร้หน้าอกกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “ไม่มีสิ่งใดแน่นอน จะเป็นจันทร์สุกสกาวหรืออาทิตย์อันเจิดจ้าต่างมีช่วงที่เต็มดวงและแหว่งเว้า เขาไท่ซานคล้ายไม่แปรเปลี่ยน ใครจะรู้ผ่านไปพันปีจะเป็นฉันใด

 

การเดินหมากถือกำเนิดจากศาสตร์การตั้งค่ายกลของทหาร ในเมื่อการรบไม่มีกระบวนตายตัว และน้ำไม่มีรูปทรงคงที่[4]หมากกระดานนี้ของเจ้าย่อมไม่มีบทสรุปเช่นเดิมไปตลอดกาล พวกข้าอาจตกอยู่ในสภาพอับจนเพียงชั่วครู่ ขอเพียงลองสั่งสมประสบการณ์มากเข้า ข้าไม่เชื่อว่าจะหาหนทางแก้กลหมากไม่ได้”

 

เถี่ยซินหยวนพึงพอใจมากทีเดียวที่ได้ยินคู่ต่อสู้เอ่ยวาจาแสดงความมุ่งมั่น เพราะเท่ากับยืนยันแล้วว่าชายตรงหน้ายังมีเงินทองมอบให้เขาอีกไม่รู้เท่าไร โดยปกติผู้ใดที่ยอมวางเดิมพันบนกระดานหมากเพื่อการศึกษาวิเคราะห์ มักจะเป็นเป้าหมายที่คนวางกลหมากปริศนาหลอกเงินผู้อื่นชื่นชอบที่สุดเสมอ

 

สุ่ยจูเอ๋อร์เริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นแล้ว เพราะเห็นว่าบ่าวรับใช้พวกนั้นกำลังจูงสุนัขตัวหนึ่งเดินวนไปวนมารอบตัวเสี่ยวฝูเอ๋อร์ที่ยืนเปลือยบั้นท้ายอยู่ ทั้งยังกลัวว่าอีกไม่นานตัวเองจะต้องประสบชะตากรรมไม่ต่างกัน เพราะสุนัขคือฝันอันโหดร้ายสำหรับสุ่ยจูเอ๋อร์

 

พี่เหมยไม่เข้าใจว่าเหตุใดเถี่ยซินหยวนถึงยอมรามือ เขาจึงหัวเราะเย้ยหยันแล้วเอ่ยว่า “หรือเจ้าคิดว่าพวกเราคงเอาชนะเจ้าได้แน่? ถ้าหากเป็นเช่นนี้ ข้าขอประกาศเลยว่าจะไม่เอาเงินของเจ้า แต่ถ้าหากพวกเราแพ้ ก็จะให้เงินเจ้าต่อไป เด็กน้อยจอมละโมบเจ้าจะรับปากหรือไม่?”

 

เถี่ยซินหยวนไม่มีเวลามาเหลียวแลพี่เหมยผู้นี้ เขารีบยกสองนิ้วแล้วผิวปากครั้งหนึ่ง เจ้าจิ้งจอกวิ่งออกมาจากมุมไกลๆ ว่องไวปานสายฟ้าแลบ แต่ว่าเมื่อเจ้าหมอนี่เห็นสุนัขตัวใหญ่เข้าก็รีบวิ่งหนีไปในทันที

 

สุนัขที่บ่าวรับใช้จูงเอาไว้มีท่าทีคลุ้มคลั่งมากขึ้น เดิมทีมันกับจิ้งจอกเป็นศัตรูตามธรรมชาติ มาวันนี้ได้พบหน้ากันกะทันหันจะต้องสนใจอะไรอีก มีเสียงร้องโหยหวนดังขึ้น ก่อนที่มันจะหลุดจากการควบคุมแล้วไล่ตามศัตรูของมันไป

 

สุนัขวิ่งนำอยู่ด้านหน้า พวกบ่าวรับใช้สำนักไท่เสวียวิ่งตามอยู่ด้านหลัง เถี่ยซินหยวนปรายตามองเจ้าพวกชอบอวดอ้างบารมีอย่างเย็นชา ขณะที่ในใจก็คาดเดาไปว่าคนพวกนี้จะโดนหน้าไม้บนกำแพงเมืองเขตพระราชฐานยิงตายหรือไม่...

 

หลังจากเจ้าจิ้งจอกรู้สึกแตกตื่นตกใจ ถ้าหากยังวิ่งไม่ถึงบ้านไม่มีทางยอมหยุดแน่ อีกทั้งเส้นทางที่มันใช้ยังเป็นเส้นทางเลียบกำแพงเขตพระราชฐาน ดูเหมือนมันรู้ดีว่ามีเพียงวิ่งไปตามเส้นทางนี้ถึงจะปลอดภัย

 

เหล่าองครักษ์บนกำแพงสูงต่างรู้จักเจ้าจิ้งจอกเป็นอย่างดี ถ้าหากวันใดมันโดนไล่ตามมาถึงใต้กำแพง พวกเขายินดีอย่างยิ่งที่จะใช้หน้าไม้ยิงสุนัขตายเสียหลายๆ ตัว จากนั้นจึงนำมาทำเป็นกับแกล้มสุรา

 

สำหรับบ่าวรับใช้ที่เหยียบย่างเข้าเขตต้องห้ามโดยไม่ทันระวังตัว สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าองครักษ์บนกำแพงจะจัดการเช่นไร แม้จะมีขุนนางในราชสำนักไม่พอใจที่ต้องมีคนตายภายใต้คำสั่งนี้ แต่กลับมีน้อยคนนักที่กล้าเสนอความเห็นว่าไม่อนุญาตให้องครักษ์ที่ยืนประจำบนกำแพงสังหารคน เรื่องนี้มีความสำคัญยิ่งนัก ถ้าหากมีโจรผู้ร้ายเข้าใกล้กำแพงเขตพระราชฐานสมคบกันวางแผนชั่วช้า และคำสั่งห้ามสังหารคนส่งเดชทำให้เกิดสถานการณ์เลวร้ายขึ้นมา ใครก็แบกความรับผิดชอบนี้เอาไว้ไม่ไหวแน่

 

ในเวลานี้จึงทำได้เพียงกราบทูลฮ่องเต้ ขอร้องให้พระองค์ช่วยควบคุมไม่ให้องครักษ์บนกำแพงวางอำนาจบาตรใหญ่จนเกินไป ก่อนหน้านี้ที่สามารถตัดสินลงโทษหยางไฮว๋อวี้สถานหนักได้ ก็เพราะมีความคิดเช่นนี้เป็นเหตุนั่นเอง

 

“วันนี้ข้าหาเงินได้มากพอแล้ว ถ้าหากยังปักหลักอยู่ต่อไป ท่านคงหัวเราะเยาะว่าข้าละโมบโลภมาก สิ่งศักดิ์สิทธิ์คงไม่คุ้มครองข้าอีกแน่ วันนี้ข้าขอตัวก่อน วันหน้าพวกเราค่อยประชันฝีมือกันใหม่เป็นอย่างไร?

 

ท่านเรียกสหายมาทดสอบด้วยก็ได้ จะได้เข้าใจว่าคำพูดของข้าน้อยไม่ใช่คำลวง”

 

พี่เหมยหัวเราะแล้วกล่าวกับโอวหยางซิวว่า “ดูสิดู เป็นเด็กรู้หนังสือเสียด้วย ไม่รู้ว่าอาจารย์ของเขาเป็นใครกัน ถึงได้อบรมสั่งสอนจนกะล่อนปลิ้นปล้อนถึงเพียงนี้

 

หึ วันพรุ่งนี้พวกเราจะมากันทั้งกลุ่ม กิจการของเขาคงรุ่งเรืองเพิ่มแปดส่วนทีเดียว ถ้าหากพวกเราพ่ายแพ้ กิจการของเขาคงมีชื่อเสียงร่ำลือไปทั่วเมืองหลวง ชิชะ อายุยังน้อยแต่กลับมองจิตใจคนได้ทะลุปรุโปร่ง เด็กอย่างเจ้าเนี่ยแหละ ไม่สมควรเรียนหนังสือ”

 

โอวหยางซิวหัวเราะแล้วกล่าวว่า “พวกเรายอมหลงเข้ามาติดกับของเขาเอง จะไปถือโทษโกรธเคืองได้อย่างไร ท่านลองดูสิ ป้ายเรียกแขกของเขาโอหังอวดดีเพียงไหน ‘พวกบัณฑิตโง่งม ใครจะกล้าประชันกับข้า!’ จุ๊ๆ ข้าอยากจะพูดมานานแล้วว่าคนในสำนักไท่เสวียล้วนเป็นพวกโง่งม แต่ตลอดหลายปีมานี้ไม่กล้าปริปาก ตอนนี้เมื่อมาได้ยินผู้อื่นพูดเข้า กลับรู้สึกสะใจยิ่งนัก!”

 

พี่เหมยเปิดถุงเงินของตนออกดูครึ่งหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะเสียงดังแล้วเอ่ยว่า “คนในสำนักไท่เสวียจะเป็นพวกโง่งมหรือไม่ต้องรอดูต่อไป แต่วันนี้เจ้ากับข้าเป็นคนโง่งมครั้งหนึ่งมาแล้วจริงๆ นะ”

 

โอวหยางซิวหัวเราะเสียงดังจนเอามือกุมท้องเอาไว้ แล้วเอ่ยตอบว่า “พี่เหมย เรื่องน่ายินดีเช่นนี้ กลับไปแล้วไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศ วันพรุ่งนี้ค่อยเชิญพี่ตงเฉินกับพี่หวนเย่าสองท่าน มาประชันฝีมือกันสักหน่อย”

 

พี่เหมยหัวเราะจนน้ำตาร่วง เขาชี้หน้าโอวหยางซิวแล้วกล่าวว่า “เช่นนี้จอมโง่งมทั้งสี่แห่งตงหลีก็มาพร้อมหน้าแล้ว ฮ่า ฮ่า ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีเสียนี่กระไร”

 

หลังจากหัวเราะจนอิ่มเอมแล้ว ก็ตะโกนบอกเถี่ยซินหยวนที่กำลังสาละวนอยู่กับการแก้มัดเชือกให้พวกเสี่ยวหลิงเอ๋อร์ว่า “เจ้าหนู วันพรุ่งนี้ไม่พบหน้าไม่เลิกรา!”

 

เถี่ยซินหยวนกล่าววาจาโดยไม่เงยหน้าว่า “วาจาของวิญญูชน ม้าเร็วเพียงลงแส้[5]!”

 

พี่เหมยของโอวหยางซิวมีสีหน้าดำทะมึน เขาส่งเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เจ้านี่มันเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก เป็นศิษย์ของปัญญาชนสำนักใดกัน วันพรุ่งนี้ถ้าเจ้าไม่มา ข้าจะตามไปถึงบ้าน ให้บิดามารดาเจ้าลงโทษเสียให้เข็ด”

 

เถี่ยซินหยวนได้ยินก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะรีบช่วยสหายร่วมขบวนการร่างเปลือยล่อนจ้อนสามคน เขายังอยากรอดูว่าบ่าวรับใช้พวกนั้นจะมีจุดจบเช่นไร แต่กลับโดนพวกเสี่ยวหลิงเอ๋อร์ที่ตกใจกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ กรูกันพาเขาออกจากหน้าสำนักไท่เสวียอย่างรวดเร็ว

 

เมื่อเถี่ยซินหยวนพาเด็กน้อยทั้งสามคนไปหาหญิงชราที่รับจ้างเย็บเสื้อผ้าช่วยซ่อมแซมส่วนที่ขาดวิ่น เจ้าจิ้งจอกก็ไม่รู้ว่าโผล่ออกมาจากที่ใด หลังจากเถี่ยซินหยวนสำรวจร่างกายของมันอย่างละเอียด เห็นว่าพวงหางที่เปล่งประกายราวผ้าแพรเนื้อดีไม่มีร่องรอยเสียหายถึงวางใจลงได้

 

อาหารที่มีชื่อเสียงที่สุดของถนนหม่าสิงก็คือขนมเปี๊ยะไส้เนื้อ เถี่ยซินหยวนและเด็กอีกห้าคนต่างถือเอาไว้ในมือคนละชิ้น กัดกินอย่างเอร็ดอร่อยเต็มคราบ แม้ว่ายังมีสามคนที่บั้นท้ายเปลือยเปล่า ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการลิ้มรสอาหารชั้นเลิศของพวกเขา

 

เพียงแต่เมื่อเจ้าหนูทั้งสามก้มมองเสื้อผ้าของตัวเอง ก็อดเจ็บปวดใจไม่ได้ เพราะเสื้อผ้าพวกนี้เป็นของใหม่ที่ได้มาจากการหลอกต้มตุ๋นด้วยกลเก้าห่วง[6]เมื่อคราวก่อน...

 

----------------------------

 

[1] ตัวเบี้ย(卒,兵)เป็นหมากที่เดินหน้าได้อย่างเดียวถอยหลังไม่ได้ แต่เมื่อข้ามแม่น้ำแล้วเบี้ยสามารถเดินด้านข้างซ้าย-ขวาได้ด้วย ถ้าเดินเบี้ยไปจนสุดกระดาน เบี้ยก็เดินได้เฉพาะซ้าย-ขวาเท่านั้น

[2] เซวียนเต๋อหลาง(宣德郎)ตำแหน่งขุนนางฝ่ายบุ๋นประมาณขั้นที่ 6 หรือ 7

[3] คนไร้หน้าอกหรือเหมยฉยง(没胸)พ้องเสียงกับคำเรียกขานพี่เหมยหรือเหมยฉยง(梅兄)ของโอวหยางซิว

[4] การรบไม่มีกระบวนตายตัว น้ำไม่มีรูปทรงคงที่(兵无常势,水无常形)เป็นข้อความจากบทที่ 6 จุดอ่อนจุดแข็ง(虚实篇第六)ในตำราพิชัยสงครามซุนจื่อ(孙子兵法)

[5] วาจาของวิญญูชน ม้าเร็วเพียงลงแส้(君子一言快马一鞭)แผลงมาจากสุภาษิตที่ว่า วาจาของวิญญูชน ม้าสี่ตัวยากจะตามทัน(君子一言,驷马难追)ซึ่งหมายถึง คำพูดของวิญญูชนเมื่อกล่าวออกมาแล้วไม่มีทางคืนคำ

[6]กลเก้าห่วง(九连环)เป็นเกมลับสมองที่อยู่คู่คนจีนมาเนิ่นนาน ผู้เล่นหน้าใหม่ต้องอาศัยความเพียรในการฝึกและความอดทนเพื่อเล่นให้จบไม่น้อย จึงจะสามารถนำพาห่วงทั้งเก้าที่เกี่ยวกันอยู่นั้นคล้องและปลดออกจากแกนได้หมด

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด