ตอนที่แล้วบทที่ 17 ผู้ใดก็เป็นทิวทัศน์(2)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 19 ศิษย์เป็นเงาของอาจารย์

บทที่ 18 ผู้ใดก็เป็นทิวทัศน์(3)


บทที่ 18 ผู้ใดก็เป็นทิวทัศน์(3)

 

คนที่กินผงเห็ดพิษเข้าไปจะทำสิ่งใดบ้างต่างไม่มีใครคาดคิด เถี่ยซินหยวนก็ไม่คิดมาก่อนว่าเจ้านักบวชปีศาจนี่จะกล้าวางเพลิง

 

แต่ว่าจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คนที่ทำให้เถี่ยซินหยวนรู้สึกเหยียดหยามมากที่สุดก็คือหยางไฮว๋อวี้

 

เดิมทีเขาสามารถลงมือกำจัดนักบวชนอกด่านนั่นได้ทันกาล ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วทุกอย่างก็คงไม่เกิดขึ้นหรอก ในฐานะที่เป็นขุนพลผู้องอาจ แต่กระทั่งความกล้าในการเผชิญหน้ากับผีสางเทวดาก็ไม่มี เรื่องนี้ทำให้เถี่ยซินหยวนรู้สึกเหยียดหยามเขาจนลึกถึงกระดูก

 

เหล่าขุนพลที่แข็งแกร่งไร้คู่ต่อกรในยุครุ่งโรจน์ของราชวงศ์ถัง ล้วนมีความกล้ามากพอจะถืออาวุธเฝ้าประตูคอยกำจัดภูตผีปีศาจเพื่อฮ่องเต้ ถ้าหากมีนักบวชปีศาจปรากฏตัวขึ้นในยุคนั้น หลังจากโดนสังหารแล้วฟื้นคืนชีพในคราวแรก ขุนพลเหล่านั้นจะต้องรู้สึกสนใจศึกษาอย่างยิ่งว่า ทำอย่างไรจึงจะกำจัดนักบวชร้ายกาจได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่กลัวจนหัวหดไม่ยอมออกหน้า

 

พิจารณาจากพฤติกรรมของหยางไฮว๋อวี้ในคืนนี้แล้ว เถี่ยซินหยวนคาดการณ์อย่างมั่นใจเลยว่า จุดตกต่ำของตระกูลหยางคงอยู่ไม่ไกล ถ้าหากวันใดที่หยางเหวินก่วงยอดขุนพลผู้กล้าคนสุดท้ายแห่งตระกูลหยางลาจากโลกนี้ไป ตระกูลหยางก็จะเป็นดังเช่นตระกูลขุนศึกอื่นๆ ที่ผ่านมามากมายนับไม่ถ้วน พวกเขาจะตกต่ำลงและถูกกลืนหายไปในบันทึกประวัติศาสตร์

 

หลังจากเถี่ยซินหยวนนอนหลับไปอย่างเกียจคร้านตื่นหนึ่ง ท้องฟ้าก็ยังเป็นสีดำสนิท มีเพียงกลิ่นควันจากที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ปกคลุมไปทั่วสระจินหมิง บางครั้งยังมีประกายไฟที่โดนสายลมยามค่ำคืนพัดลอยขึ้นมา มันปลิวไปในอากาศชั่วครู่ก็ค่อยๆ มอดดับลง

 

ดวงตาทั้งสองของมารดายังคงเปิดกว้าง นางอยากจะดูให้แน่ใจเสียจริงว่านักบวชสารเลวนั่นตายแน่แล้วหรือไม่ เรื่องนี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นทัณฑ์ทรมานสำหรับนาง

 

เถี่ยซินหยวนคิดไม่ออกแล้วว่า นักบวชที่ถูกยิงสังหารด้วยลูกศรมากมาย อีกทั้งยังโดนเปลวไฟแผดเผาทั่วร่างจนกลายเป็นมนุษย์เพลิง จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไรกัน

 

ช่างน่าเบื่อหน่ายเหลือเกิน...

 

ภรรยาของถงป่านไม่ร้องไห้คร่ำครวญอีกแล้ว ดูเหมือนนางจะลืมไปว่าเมื่อครู่เกือบโดนนักบวชปีศาจเปลื้องผ้าต่อหน้าผู้คน หลังจากใช้แถบผ้ารัดเอวเส้นหนึ่งผูกเสื้อผ้าจนเรียบร้อยแล้ว ก็พร่ำพรรณนาเรื่องนักบวชนั่นกับคนรอบข้างอย่างตื่นเต้นว่าเขาน่ากลัวมากเพียงใด และมีความปรารถนาต่อหญิงสาวร้อนแรงมากแค่ไหน

 

บทสนทนาระหว่างหญิงที่แต่งงานแล้วเหล่านี้สะเทือนขวัญมาก ถงจื่ออยากเข้าไปร่วมวงหลายต่อหลายครั้ง แต่มารดาก็ผลักเขาออกมาอย่างไม่สนใจไยดี

 

หวังโหรวฮวาฟังสิ่งที่พวกนางพูดคุยกันก็พบว่า เรื่องราวเลยเถิดไปถึงเรื่องใต้สะดือสามชุ่นของนักบวชเสียแล้ว นางอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ จากนั้นจึงอุ้มเถี่ยซินหยวนออกไปเดินสังเกตการณ์ด้านนอก

 

ความรู้สึกพ่ายแพ้ที่สะท้อนในอกหยางไฮว๋อวี้รุนแรงยิ่งนัก

 

เมื่อเห็นก้อนเนื้อที่ถูกเผาจนไหม้เกรียมก้อนหนึ่งใต้ฝ่าเท้า เขาก็เตะจนกระเด็นไป ก่อนจะเหลือบมองคราบมันจากการย่างสดที่ติดปลายเท้า เขาจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย พยายามขจัดความรู้สึกหดหู่ในใจของตนอย่างเต็มที่

 

หยางไฮว๋อวี้มั่นใจว่า เจ้านักบวชปีศาจคงตายแล้วจริงๆ ไม่มีโอกาสจะฟื้นคืนชีพได้อีก ถ้าหากเรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้วยังคืนชีพได้ เจ้านั่นจะต้องเป็นพระโพธิสัตว์ที่ออกเดินทางไปทั่วแดนมนุษย์แน่

 

ขุนพลหนุ่มหยิบกระดาษที่หวังโหรวฮวายัดใส่มือออกมาจากอกเสื้อ ออกแรงขยำกระดาษเล็กน้อย ฉวยโอกาสที่ผู้อื่นไม่ทันสังเกตเห็นโยนเข้ากองไฟที่ยังลุกโชน เพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่าเคยมีคนบอกเขา ว่าความสามารถในการคืนชีพของเจ้านักบวชนั่นเป็นเรื่องหลอกลวง...

 

กระทั่งเขาเดินออกมาจากที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ หวังโหรวฮวาก็เดินตรงเข้ามาถามด้วยความร้อนใจว่า “นักบวชปีศาจนั่นตายแล้วแน่หรือ?”

 

ไม่ทราบเพราะเหตุใดหยางไฮว๋อวี้ถึงไม่กล้าสบตาหวังโหรวฮวาเท่าไรนัก เขาเหลียวกลับไปมองสถานที่เกิดเหตุก่อนจะตอบว่า “นักบวชนั่นโดนศรแยกร่าง ทั้งถูกไฟเผาจนกลายเถ้าถ่าน ไม่มีปัญญาจะคืนชีพได้อีกแล้ว”

 

หวังโหรวฮวาถอนหายใจยาวๆ เฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ถ้าหากเขายังคืนชีพได้อีก ข้าน้อยคงต้องยอมยกลูกชายให้เขาแต่โดยดีแน่”

 

หยางไฮว๋อวี้เหลือบมองเถี่ยซินหยวนในอ้อมแขนหวังโหรฮวาแล้วย้ำว่า “ลืมเรื่องนี้เสียเถอะ ข้ารายงานเบื้องบนบอกว่านักบวชปีศาจคลุ้มคลั่งเพราะธาตุไฟเข้าแทรก ขุนนางผู้ใหญ่จะกราบทูลฝ่าบาทตามนี้ เจ้าก็ไม่ต้องวุ่นวายให้มากความแล้ว”

 

หวังโหรวฮวายิ้มแล้วตอบไปว่า “เดิมทีข้าน้อยก็ไม่รู้อะไรทั้งนั้น ท่านว่าอย่างไรข้าน้อยย่อมว่าตามนั้น เหตุเพลิงไหม้ร้ายแรงเช่นนี้ ใครจะกล้าพูดจาเหลวไหลกันเล่า”

 

หยางไฮว๋อวี้พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “เช่นนี้ก็ดี”

 

หลังเอ่ยจบประโยคเขาก็เดินจากไป เดินไปหาพี่น้องจากค่ายทหารต้องโทษ เห็นว่าพี่น้องทั้งหลายกำลังพูดคุยถึงเหตุการณ์นักบวชคลุ้มคลั่งอย่างตื่นเต้น พร้อมกับยกย่องชมเชยเขาไม่หยุดว่าเมื่อเผชิญหน้าอันตรายก็ไม่หวั่นไหว เขากลับไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิดเดียว

 

ขณะที่ฮ่องเต้เสวยพระกระยาหารเช้าก็ทรงทราบที่มาที่ไปของเหตุการณ์นี้แล้ว พระองค์วางตะเกียบลงแล้วตรัสว่า “ไม่มีใครบาดเจ็บล้มตาย ก็นับว่าเป็นเรื่องดี

 

ทำไมรึ คนของสำนักซือเทียนเจียน[1]เก็บรวบรวมชิ้นส่วนกระดูกของนักบวชปีศาจนั่นไว้แล้ว?”

 

ขันทีนามหวังเจี้ยนรีบทูลตอบว่า “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท หลังจากหลิวฉู่ฉยงได้ยินเรื่องราวน่าอัศจรรย์ของนักบวชรูปนี้ ก็สั่งให้คนเตรียมหีบไม้ใบใหญ่ไว้ใส่กระดูกของนักบวชปีศาจ เขาจะจับตามองอยู่ตลอดเวลา เพื่อดูว่านักบวชรูปนี้จะฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้หรือไม่”

 

ฮ่องเต้ส่ายพระพักตร์แล้วยกชามของพระองค์ขึ้นมาอีกก่อนจะตรัสว่า “เขามีไหวพริบไม่เบา”

 

หวังเจี้ยนเผยสีหน้ายิ้มแย้มไปด้วย “เรื่องนี้นับว่าจัดการอย่างฉลาดไม่เสียเปล่า เพียงแค่เตรียมหีบไม้ขึ้นมาใบหนึ่ง ถ้าหากนักบวชปีศาจไม่อาจคืนชีพ ก็ฝังชิ้นส่วนเน่าเหม็นพวกนั้นเสีย แต่ว่าถ้าเกิดเขาคืนชีพขึ้นมาได้จริง ฝ่าบาท เช่นนี้พระองค์มิต้องยกความดีความชอบให้เขาหรือพ่ะย่ะค่ะ”

 

“ได้ยินว่านักบวชปีศาจสนใจบุตรชายของเพื่อนบ้านเราเข้าแล้ว? เด็กคนนั้นมีบางสิ่งพิเศษกว่าเด็กทั่วไปจริงหรือ?”

 

หวังเจี้ยนยิ้มเจื่อนๆ แล้วทูลตอบว่า “กราบทูลฝ่าบาท สิ่งน่าอัศจรรย์ที่สุดของบ้านตระกูลเถี่ยก็คือ จิ้งจอกตัวนั้น ภรรยาของชายแซ่เถี่ยก็มีความสามารถไม่เลว นางนำรางวัลที่พระองค์พระราชทานไปเปิดร้านทังปิ่งร้านหนึ่ง กิจการของนางคึกคักอย่างยิ่ง แต่ละวันมีเงินเข้าบัญชีไม่น้อย ร่ำลือว่าเนื้อหมูพะโล้ของร้านนางมีชื่อเสียงเป็นอันดับหนึ่งในเมืองหลวงแล้ว

 

ส่วนเด็กน้อยคนนั้น นอกจากผิวพรรณสะอาดสะอ้านกว่าบุตรหลานของครอบครัวราษฎรทั่วไป กระหม่อมก็ไม่พบสิ่งที่โดดเด่นเป็นพิเศษเลยพ่ะย่ะค่ะ”

 

หลังจากเสวยพระกระยาหารจนอิ่มแล้วฮ่องเต้ก็วางชามในพระหัตถ์ลง แล้วตรัสถามหวังเจี้ยนด้วยความสนพระทัยว่า “ในเมื่อหญิงชาวบ้านผู้นั้นหาเงินได้มากพอแล้ว นางไม่คิดจะไปหาบ้านอยู่ที่อื่นหรือไร?”

 

หวังเจี้ยนหัวเราะแล้วทูลตอบว่า “โถ่ ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ หญิงผู้นั้นไม่ใช่คนโง่เขลา ที่อยู่ในบัญชีทะเบียนราษฎร์ของนางเขียนไว้ว่าใต้กำแพงเมืองเขตพระราชฐาน ทั่วทั้งเมืองหลวงมีบ้านของนางเพียงแห่งเดียว กระหม่อมยังได้ยินมาว่าเพื่อจัดการเรื่องที่อยู่นี้ นางถึงกับไปโวยวายที่อำเภอไคเฟิงยกใหญ่ ยืนยันว่าต้องการใส่ที่อยู่เช่นนี้ให้ได้ เจ้าหน้าที่อำเภอก็จนปัญญา อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็เป็นรับสั่งจากพระโอษฐ์ของฝ่าบาท สุดท้ายพวกเขาถึงได้ยอมลงให้ตามนั้น

 

ระยะนี้ภรรยาคนแซ่เถี่ยกำลังวางแผนทำก้อนอิฐ ดูท่าคงต้องการปักหลักอยู่ใต้กำแพงแห่งนี้แน่แล้ว”

 

ฮ่องเต้ทรงลูบพุงน้อยๆ ของพระองค์แล้วเอ่ยว่า “ได้ผู้มีคุณธรรมเป็นเพื่อนบ้าน ก็นับว่าไม่เสียเกียรติของราชวงศ์แล้ว” จากนั้นพระองค์ก็ชี้ไปที่บ๊ะจ่าง[2]บนโต๊ะแล้วตรัสว่า “มอบให้หญิงชาวบ้านผู้นั้นสามสี่ชิ้น เป็นรางวัลชื่นชมที่นางครองตนเป็นหม้ายเพื่อสามี”

 

“พ่ะย่ะค่ะ!”

 

เทศกาลตวนอู่จะมีการเฉลิมฉลองนานสามวัน ถ้าหากขาดร้านค้าเหล่านี้ไป ก็เหมือนกับขาดอะไรไปสักอย่าง นับว่าเคราะห์ดีที่เป็นเพิงหญ้า ไม่ว่าจะเป็นตอนเผาทิ้งหรือสร้างใหม่ ล้วนเป็นเรื่องที่จัดการได้ในชั่วพริบตา ราชสำนักไม่อนุญาตให้เหตุไม่คาดฝันเล็กๆ น้อยๆ ทำลายบรรยากาศอันดีงามของเทศกาลได้ ฉะนั้นการแข่งขันเรือมังกรในวันนี้ยังต้องดำเนินต่อไป

 

สิ่งที่หน่วยทหารองครักษ์เผิงรื่อ[3]เชี่ยวชาญมากที่สุดนั้น ไม่ใช่การสู้รบแต่เป็นการออกแรงทำงาน นับตั้งแต่เปลวเพลิงลุกไหม้ยามดึกดื่นเที่ยงคืนถึงยามเช้าตรู่ที่ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า พวกเขาเก็บกวาดเพิงหญ้าที่ถูกเผาไหม้จนสะอาดเรียบร้อย เพิงหญ้าแถวใหญ่ๆ เริ่มยกสูงเหนือพื้นดินขึ้นมาอีกครั้งแล้ว ถ้าหากมิใช่ว่าบริเวณโดยรอบยังมีกลิ่นควันไฟคละคลุ้ง อีกทั้งเหนือสระจินหมิงยังมีเศษขี้เถ้าสีดำลอยอยู่ชั้นหนึ่ง จะต้องไม่มีผู้ใดทราบแน่ว่าที่แห่งนี้เคยเกิดเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่มาก่อน

 

เรื่องที่หวังโหรวฮวาได้รับพระราชทานบ๊ะจ่างจากฮ่องเต้ร่ำลือไปทั่วสระจินหมิงในเวลาอันรวดเร็ว มีพ่อค้ามากมายนับไม่ถ้วนมาที่หน้าเพิงหญ้าที่เพิ่งซ่อมแซมใหม่ของตระกูลเถี่ย เพื่อดูให้เห็นกับตาว่าบ๊ะจ่างพระราชทานหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่

 

บ๊ะจ่างที่ฮ่องเต้พระราชทานมีทั้งหมดสี่ลูก เถี่ยซินหยวนกำลังกอดเอาไว้และแทะกินอยู่ลูกหนึ่ง เขาพบว่ารสชาติไม่อร่อยเลยสักนิด เม็ดบัวข้างในยังไม่ทันสุกดี กัดครั้งหนึ่งเจ็บฟันน่าดู เถี่ยซินหยวนรับรู้ได้ในทันทีว่าบ๊ะจ่างพวกนี้ฮ่องเต้ไม่เสวยแล้วถึงพระราชทานให้บ้านของเขาต่างหาก

 

ยังดีที่องุ่นแห้งกับพุทราแดงข้างในอร่อยใช้ได้ เวลากินไม่จำเป็นต้องมีน้ำตาลก็มีรสชาติเปรี้ยวอมหวาน แต่บ๊ะจ่างพวกนี้ลูกใหญ่เกินไปหน่อย

 

ถงจื่อก็อยากกินมากเช่นกัน เขากำลังยืนน้ำลายไหลย้อยลงหลังเท้า เถี่ยซินหยวนตั้งใจจะยกบ๊ะจ่างที่ตัวเองกินไม่หมดให้ถงจื่อ แต่เจ้าหนูนี่กลับถอยหลังไปไม่หยุด เดิมทีเขาก็ไม่กล้ารับมากินอยู่แล้ว

 

หวังโหรวฮวาเฉือนเนื้อหมูให้ถงจื่อชิ้นหนึ่ง ก่อนจะคว้าบ๊ะจ่างที่เถี่ยซินหยวนกินเหลือมากินต่อจนหมดเกลี้ยง บุตรชายของนางเลือกกินแต่ผลไม้แห้งข้างใน ไม่ยอมกินข้าวเหนียวและถั่วแดง นางคิดว่าของพระราชทานเช่นนี้ไม่อาจยกให้ผู้อื่นกินได้

 

ชายชราสวมชุดสีครามกลับมาที่ร้านของนางอีกครั้ง มือข้างหนึ่งของเขายังจูงมือแม่หนูน้อยรูปร่างจ้ำม่ำมาด้วยเช่นเคย นางเห็นเถี่ยซินหยวนกำลังกินบ๊ะจ่างก็เบะปากแล้วเอ่ยว่า “บ๊ะจ่างน่าอร่อยตรงไหนกัน”

 

ถงจื่อพยายามอย่างยิ่งที่จะละสายตาจากบ๊ะจ่างในมือของเถี่ยซินหยวน เขาเอ่ยปากด้วยความไม่พอใจว่า “นั่นเป็นของพระราชทานจากในวังเชียวนะ...”

 

แม่หนูน้อยสวนกลับด้วยความโมโหว่า “ทุกปีบ้านข้าก็มีบ๊ะจ่างพระราชทานจากในวังตะกร้าใหญ่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าไม่เคยกินเสียหน่อย”

 

คำพูดประโยคนี้ทำให้ภายในใจหวังโหรวฮวาสั่นสะท้านขึ้นมา นางรีบร้อนเช็ดเก้าอี้แล้วเชิญชายชรามานั่งรอ พร้อมกับเอ่ยถามว่า “วันนี้นายท่านจะรับอะไรดีเจ้าคะ?”

 

ชายชรายิ้มจนตาหยีขณะเหลือบมองหลานสาวของตนโต้เถียงกับถงจื่อ จากนั้นเขาพลันส่งเสียงหัวเราะก่อนเอ่ยตอบว่า “เนื้อหมูที่ข้าซื้อกลับไปเมื่อวานนี้ถูกเจ้าพวกแก่ชราหน้าไม่อายหลายคนกินจนเกลี้ยง แต่พวกเขาไม่กล้าแบกหน้ามาซื้อถึงที่ร้านน่ะสิ ข้าก็เลยต้องมาด้วยตัวเอง”

 

หวังโหรวฮวามีสีหน้ายิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ผู้มีฐานะสูงส่งเช่นท่าน ไม่จำเป็นต้องลดเกียรติมาซื้อเนื้อที่ร้านเล็กๆ ของข้า ขอแค่ท่านมีคำสั่งมา ข้าน้อยจะไปส่งให้ถึงจวนเลยทีเดียว”

 

ชายชราหัวเราะเสียงดังแล้วกล่าวว่า “การกินอาหารเช่นนี้นับเป็นความเพลิดเพลินที่เรียบง่ายอย่างหนึ่ง เจ้านำไปส่งถึงบ้านกลับจะเสียรสชาติ เนื้อชิ้นใหญ่กินคู่กับน้ำจิ้มกระเทียม รสชาติแปลกใหม่ไม่เหมือนใครจริงๆ”

 

ชายชราเอ่ยมาถึงตรงนี้ จมูกของเขาก็สูดกลิ่นฟุดฟิดก่อนจะถามว่า “เมื่อคืนที่นี่ล่วงเกินเทพจู้หรง[4]เข้าหรือไร?”

 

หวังโหรวฮวายังทำงานของนางต่อไปโดยไม่หยุดมือ เพียงชั่วครู่ก็แล่เนื้อหมูออกมาได้กองใหญ่ และเอ่ยปากตอบคำถามชายชราไปด้วยว่า “ใช่น่ะสิเจ้าคะ เมื่อคืนวานนักบวชจากนอกด่านเกิดคลุ้มคลั่ง เที่ยววางเพลิงไปทั่ว แต่โดนเหล่าทหารกำจัดไปแล้ว”

 

ชายชรานั่งเงียบไม่ตอบอยู่พักหนึ่ง กระทั่งหวังโหรวฮวาห่อเนื้อหมูด้วยใบบัวเรียบร้อย เขาถึงได้ถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ยอดอัจฉริยะอุบัติแล้วสินะ!”

 

ไม่ทราบว่าอัจฉริยะที่เขาว่านั้นหมายถึงใครกัน แต่พอเขากล่าวจบประโยคก็หิ้วห่อใบบัวพร้อมจูงมือหลานสาวที่ยังไม่เต็มใจจากไปให้เดินไปด้วยกัน พวกเขาเดินเลียบสระจินหมิงมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ บริเวณนั้นเป็นจวนที่พักสำหรับขุนนางชั้นสูงและผู้สูงศักดิ์ บนหลังคาล้วนมุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีดำ

 

ขณะที่ชายชราเดินเข้ามาในร้านทังปิ่งพี่ชี เถี่ยซินหยวนกำลังรับมือบ๊ะจ่างตรงหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ แม้แต่แม่หนูน้อยนั่นเขาก็ไม่เหลียวแล ชายชุดครามผู้นี้สร้างแรงกดดันให้เขาไม่น้อยเลย ฉะนั้นยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะเผยพิรุธใดๆ ออกไป

 

เสียงฆ้องกลองดังก้องกังวานไปทั่วสระจินหมิง การแข่งขันเรือมังกรรอบใหม่เริ่มต้นขึ้นแล้ว ผู้คนต่างคึกคักมีชีวิตชีวากันขึ้นมาอีกครั้ง หวังโหรวฮวาก็รีบร้อนจัดเสื้อผ้าแล้วเดินมาที่ริมสระ นางอุ้มเถี่ยซินหยวนเอาไว้ กระโดดหยองแหยงส่งเสียงให้กำลังใจเรือมังกรลำที่หมายตา

 

แววตาของเถี่ยซินหยวนเต็มไปด้วยความอ้างว้างโดดเดี่ยว เขาไม่เคยคิดอยากให้ตัวเองเติบโตเร็วๆ อย่างในเวลานี้มาก่อนเลย ถ้าหากร่างกายของเขายังไม่โตขึ้นเสียที ผู้คนและเรื่องราวในต้าซ่งก็เป็นเพียงทิวทัศน์ให้เขาชมดูเท่านั้น

 

----------------------------

 

[1] ซือเทียนเจียน(司天监)หน่วยงานหรือขุนนางที่ทำหน้าที่สังเกตปรากฏการณ์บนท้องฟ้า คำนวณปฏิทิน

[2] บ๊ะจ่าง(肉粽)หรือจ้งจื่อ(粽子)ในเทศกาลตวนอู่จะมีการไหว้บ๊ะจ่างเพื่อระลึกชวีหยวน กวีผู้รักชาติแห่งแคว้นฉู่ ที่กระโดดแม่น้ำฆ่าตัวตาย ชาวบ้านเอาข้าวเหนียวปั้นที่เตรียมมาเป็นเสบียงโยนลงไปในแม่น้ำ เพื่อให้ปลาเหล่านั้นกินอิ่มแล้วไม่มาทำร้ายซากศพของชวีหยวน มีคนหนึ่งเทเหล้ากำมะถันลงไปในน้ำเพื่อมึนเมาพวกสัตว์น้ำ จะได้ไม่ทำร้ายซากศพของชวีหยวนเช่นกัน

[3] หน่วยทหารองครักษ์เผิ่งรื่อ(捧日军)เป็นชื่อของหน่วยทหารที่ก่อตั้งขึ้นในสมัยราชวงศ์ซ่ง อยู่ในสังกัดกองทหารรักษาพระองค์(禁军官司)ฝ่ายทหารล้อมวัง(殿前司)

[4] เทพจู้หรง(祝融)เทพเจ้าผู้ควบคุมไฟตามความเชื่อของชาวจีน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด