ตอนที่แล้วบทที่ 4 ข้ามาแล้ว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 6 วังหลวงคือคลังสมบัติเชียวนะ

บทที่ 5 นกนางแอ่นคาบก้อนโคลนสร้างรังใหม่


บทที่ 5 นกนางแอ่นคาบก้อนโคลนสร้างรังใหม่

 

ในเมืองหลวงนั้นการเสาะหาสิ่งของที่สามารถบังลมกันฝนได้ ช่างยากเย็นราวกับปีนป่ายขึ้นสวรรค์ก็ไม่ปาน!

 

ทุกสิ่งทุกอย่าง ณ ที่แห่งนี้ล้วนมีเจ้าของทั้งสิ้น

 

กระทั่งกิ่งไม้แห้งหักครึ่งร่วงอยู่นอกกำแพงบ้าน ขอเพียงหวังโหรวฮวายื่นมือไปหยิบ ก็มีคนโผล่มาร้องห้ามทันที

 

จะมีคนตรงเข้ามาแย่งกิ่งไม้ไปจากมือของนางอย่างดุร้าย จากนั้นเหลือบมองด้วยความรังเกียจแล้วเดินจากไป

 

ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดล้วนต้องใช้เงิน!

 

หวังโหรวฮวาเดินเตร็ดเตร่อยู่ตามถนนการค้านานครึ่งค่อนวัน สุดท้ายนางก็ไม่อาจทำตามแผนการที่วางเอาไว้ นอกจากนี้นางอยากจะหางานปะชุนซักล้างเพื่อเลี้ยงชีพก็หาไม่ได้เช่นกัน

 

และแล้วนางก็ซื้อขนมชุยปิ่งอีกสองชิ้นกินแก้หิว

 

เมื่อวานตอนที่นางซื้อขนมชุยปิ่งยังใช้เงินเพียงสองอีแปะ วันนี้กลับต้องใช้เงินถึงสามอีแปะถึงจะได้ขนมชุยปิ่งสองชิ้นจากมือของเด็กร้านขายขนมคนเดียวกันนี่เอง

 

เงินที่นางมีอยู่ไม่อาจใช้จ่ายอย่างสะเปะสะปะได้ เมื่อหวังโหรวฮวาตื่นมายามเช้าตรู่ก็นำเงินทั้งหมดยัดเข้าไปในโพรงเล็กๆ นั่น สุดท้ายนางยังกัดฟันนำจิ้งจอกน้อยยัดเข้าไปให้คอยเฝ้าเงินเอาไว้ นางถึงได้แบกบุตรชายขึ้นหลังแล้วเดินเข้าไปในย่านคึกคักจอแจเพื่อหางานทำ

 

เมื่อเดินผ่านตลาดซื้อขายทาส หวังโหรวฮวาแทบจะวิ่งหนีไปเลยทีเดียว แต่ไหนแต่ไรนางไม่เคยเห็นภาพเช่นนี้มาก่อน ไม่คิดว่าคนเราจะไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยงที่มีผู้อื่นมาง้างปากตรวจดูเหงือกฟัน แล้วสอบถามยืนยันอายุเพื่อเลือกซื้อ

 

มีหญิงสาวแรกรุ่นหลายนางสวมเสื้อผ้าเนื้อเบาบางยืนอยู่ในกระโจมหลังหนึ่ง ปล่อยให้แม่เล้าแต่งแต้มเครื่องประทินโฉมเสียจนงดงามสะดุดตา หรือไม่ก็ชายรูปร่างอ้วนท้วนพุงพลุ้ยเข้าไปเลือกสรร

 

เมื่อก่อนนี้หวังโหรวฮวาเข้าใจว่าการซื้อขายทาสในดินแดนต้าซ่งต้องโดนทางการสอบสวนอย่างละเอียด แต่ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีเจ้าหน้าที่มาควบคุมดูแลสักคน

 

พอนึกถึงเมื่อวานที่นางแค่มาอาศัยหลบตรงมุมกำแพงครู่เดียว ก็เกือบโดนตัดศีรษะเสียแล้ว หวังโหรวฮวารู้สึกดูแคลนพวกที่สวมชุดขุนนางนั่นจากส่วนลึกของจิตใจ

 

เมื่อเดินผ่านร้านเสื้อผ้าไว้ทุกข์ร้านหนึ่ง น้ำตาของหวังโหรวฮวาก็ไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เพราะร่างของพี่ชีไม่รู้จะไปตามหาจากที่ไหนได้แล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรนางจะไม่ยอมให้เขากลายเป็นดวงวิญญาณเร่ร่อนไร้ญาติแน่

 

หลังเดินออกจากร้านเสื้อผ้าไว้ทุกข์แล้ว หวังโหรวฮวาก็กอดผ้าป่านสีขาวพับหนึ่งเอาไว้ในอ้อมแขน นางนำดอกไม้ทำจากผ้าไหมสีขาวเสียบไว้บริเวณผมเพื่อเป็นการไว้ทุกข์ให้กับพี่ชี ส่วนชุดสำหรับสวมให้ศพนั้นพอกลับไปที่กำแพงใหญ่โตนั่นแล้วค่อยๆ ตัดเย็บก็ได้

 

บนศีรษะเถี่ยซินหยวนสวมหมวกไว้ทุกข์สีขาว หมวกใบนี้มารดาของเขาเร่งมือเย็บในร้านจนเสร็จเรียบร้อย นางอยากให้พี่ชีรู้ว่าแม้เขาจะจากไปแล้ว ก็ยังมีคนข้างหลังระลึกถึงเสมอ

 

ผ้าสีขาวที่ใช้เป็นของชั้นเลิศมีเนื้อผ้าเนียนละเอียดยิ่ง แน่นอนว่าราคาย่อมไม่ใช่ธรรมดา ยามที่หวังโหรวฮวาจ่ายเงินสามสิบอีแปะเพื่อซื้อของพวกนี้ นางไม่ขมวดคิ้วเลยสักนิดเดียว แม้กระทั่งนิสัยชอบต่อรองราคาที่มักใช้อยู่เป็นประจำก็ไม่งัดออกมา เรื่องนี้ทำให้ระดับความพึงพอใจที่เถี่ยซินหยวนมีต่อมารดาของตนเพิ่มสูงขึ้นไปอีก

 

ในใจของเถี่ยซินหยวนความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวงไม่มีความหมายเท่าใด มีสิ่งเดียวที่เขารู้สึกชื่นชมก็คือ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนล้วนพบเห็นสถาปัตยกรรมงดงามที่มีกลิ่นไอเก่าแก่โบร่ำโบราณ

 

ภาพที่ปรากฏสู่สายตาช่างแตกต่างจากภาพวาด ‘ทิวทัศน์ริมน้ำยามชิงหมิง’[1] เป็นอย่างยิ่ง อาจเป็นเพราะขณะที่จางเจ๋อตวนวาดภาพนี้ เขาตั้งใจมองข้ามไม่วาดเพิงพักผุๆ พังๆ ขอทานเนื้อตัวสกปรกมอมแมมและเศษขยะที่เกลื่อนกลาดทั่วบริเวณเข้าไปด้วยกระมัง

 

เดิมทีพื้นดินเป็นหลุมเป็นบ่อเต็มไปหมดเพราะสายฝน แต่เมื่อวานนี้ฮ่องเต้เสด็จออกตรวจสถานการณ์ภัยพิบัติผ่านเส้นทางดังกล่าว จึงจำเป็นต้องนำดินเหลืองมากลบทับหลุมซ่อมแซมถนน ด้วยเหตุนี้บนพื้นดินจึงยังมีร่องรอยดินเหลืองปรากฏอยู่บ้าง

 

เพียงแต่ขณะนี้ดินเหลืองมีน้อยนัก เมื่อเถี่ยซินหยวนมองเห็นชายชราผู้หนึ่งกำลังกวาดดินเหลืองบนถนนไป เขาถึงได้เข้าใจว่าเพราะเหตุใดดินเหลืองตามท้องถนนจึงมีน้อยลงไปเช่นนี้

 

ผู้คนในเมืองหลวงมีมากมาย ทำให้ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าล้ำค่าดั่งทองขึ้นมาทันใด ในสายตาของพวกเขาไม่มีสิ่งไหนใช้การไม่ได้

 

อาหารการกินที่วางขายตั้งแต่หัวถนนถึงท้ายถนนไม่อาจดึงดูดใจเถี่ยซินหยวนได้แม้แต่น้อย แมลงวันบินตอมอยู่ด้านบนเป็นฝูงใหญ่ ด้วยเหตุผลข้อนี้เองทำให้เถี่ยซินหยวนตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะล้มเลิกความคิดหยุดกินนม เพราะนอกจากน้ำนมมารดาแล้ว เขาเห็นว่าการกินอาหารอย่างอื่น ตัวเองคงไม่อาจมีชีวิตรอดจนถึงวัยแต่งงาน พาภรรยามาคารวะแสดงความกตัญญูต่อมารดาได้แน่

 

หลังจากซื้อเสบียงอาหารและกระทะเหล็ก หวังโหรวฮวาก็ซื้อขนมกุ้ยฮวาชิ้นเล็กๆ มาชิ้นหนึ่ง นางนำขนมห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าอย่างระมัดระวัง วางแผนไว้ว่าพอกลับไปแล้วจะเคี้ยวให้ละเอียดก่อนป้อนลูกน้อยของตัวเอง...

 

หวังโหรวฮวาผูกเถี่ยซินหยวนแนบอก มือข้างหนึ่งหิ้วกระทะเหล็ก หลังยังแบกถุงใส่เสบียงอาหารใบเล็กๆ เอาไว้ ยังมีไม้ไผ่สี่ลำที่หนีบอยู่ใต้รักแร้ นางมุ่งหน้ากลับบ้านด้วยความร้อนรน เพราะเป็นห่วงเงินที่ตัวเองแอบซุกซ่อนอยู่ในโพรงเล็กๆ นั่นอยู่ตลอด

 

เมื่อนางกลับมาถึงชายคากำแพงเมืองเขตพระราชฐานถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ถนนใหญ่ห่างจากกำแพงเกินสิบก้าวนั้นมีผู้คนสัญจรไปมามากมาย แต่ว่าใต้กำแพงสูงใหญ่กลับไม่มีใครเข้ามาเลยสักคน แม้กระทั่งพวกสุนัขจรจัดก็ไม่มี

 

เป็นเช่นนี้ก็สมควรแล้ว เพราะบนนั้นมีทหารองครักษ์อาวุธครบมือยืนประจำตำแหน่ง และที่มุมกำแพงด้านบนยังมีหน้าไม้ขนาดใหญ่วางพักอยู่บนแท่นวาง บ้านของนางอยู่ตรงมุมนี้เอง ไม่ต้องกล่าวถึงว่าผู้อื่นไม่กล้า หวังโหรวฮวาเองก็เดินเข้าไปอย่างอกสั่นขวัญแขวน

 

ลูกศรที่วางพาดอยู่บนหน้าไม้เรียวยาวก้านหนา หัวศรแหลมคมสะท้อนประกายเย็นเยียบภายใต้แสงอาทิตย์อันเจิดจ้า มองแวบเดียวก็รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอาวุธคมกริบที่ใช้สังหารคน

 

หวังโหรวฮวาเดินกลับที่พักพิงของตนด้วยความหวาดระแวงจนตัวสั่น ดูเหมือนว่าองครักษ์เหล่านั้นจะรู้จักนางดี พวกเขาใช้สายตาจ้องมองมาเฉยๆ แต่ไม่ได้คว้าหน้าไม้ใหญ่มหึมานั่นยิงมาทางนี้ หลังจากเดินถึงเพิงพักที่สร้างอย่างลวกๆ จึงแน่ใจว่าต่อไปพื้นที่เล็กๆ บริเวณนี้จะเป็นของพวกนางสองแม่ลูกอย่างแท้จริง

 

เจ้าจิ้งจอกน้อยส่งเสียงครางหงิงๆ ไม่หยุดอยู่ข้างแผ่นเหล็กหน้าปากโพรงเล็กๆ นั่น เพื่อประท้วงว่ามันไม่ได้รับความเป็นธรรม หวังโหรวฮวาเหลือบมองเจ้าตัวยุ่งแวบหนึ่ง ก่อนจะอุ้มบุตรชายวางลงในถังไม้ แล้วแบ่งขนมชุยปิ่งออกมาเสี้ยวหนึ่งวางไว้ตรงหน้ามัน ส่วนน้ำดื่มในโพรงแห่งนั้นมีให้มันอยู่แล้ว

 

ในเวลานี้ดวงอาทิตย์ลอยสูงโดดเด่นอยู่บนฟากฟ้า เมื่อใดที่ดวงอาทิตย์ในเดือนห้าหลุดพ้นจากการบดบังของเมฆสีดำทะมึน มันจะสาดแสงเจิดจ้าร้อนแรงโดยไม่สนใจใครทั้งนั้น แค่เพียงไม่นานในเมืองหลวงก็จะมีไอน้ำลอยขึ้นสูง ไม่จำเป็นต้องขยับเขยื้อน ร่างกายก็จะชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อราวกับอยู่ในลังนึ่งอาหารก็ไม่ปาน

 

ชัยภูมิบริเวณกำแพงเมืองเขตพระราชฐานสูงกว่าพื้นที่อื่น ทำให้อากาศแห้งสบายกว่ากันมาก สายลมที่พัดโชยมาจากทางวัดเซี่ยงกั๋วยังนำเสียงสะท้อนของระฆังยามรุ่งอรุณมาด้วย นั่นเป็นเสียงของหลวงจีนทั้งหลายที่กำลังสวดภาวนาให้กับดวงวิญญาณของผู้จากไป หวังว่าเสียงระฆังที่ดังกังวานไปไกลนี้จะช่วยนำดวงวิญญาณของพวกเขาขึ้นสู่สรวงสวรรค์

 

หวังโหรวฮวานั่งคุกเข่าลงกับพื้นแล้วยกสองมือขึ้นประนม เพื่อสวดภาวนาให้กับพี่ชีจากก้นบึ้งของหัวใจ นาง ปรารถนาให้ชีวิตของเขาในชาติภพหน้าไม่ต้องลำบากยากแค้นเช่นนั้นอีก แล้วก็ขอให้เขาช่วยคุ้มครองเจ้าหยวนให้เติบโตอย่างมีความสุข ไร้ทุกข์โศกไร้โรคภัย

 

ลำไม้ไผ่ที่ผูกผ้าเคลือบน้ำมันไว้ก็กลายเป็นเพิงเรียบง่าย ให้พวกนางสองแม่ลูกได้อยู่อาศัยพักพิง

 

หวังโหรวฮวาพอใจกับสภาพความเป็นอยู่ในตอนนี้อย่างยิ่ง เนื่องจากนางเคยเห็นผู้คนถูกซื้อขายราวสัตว์เลี้ยงมาก่อน นางจึงรู้สึกว่าชีวิตของตัวเองก็ไม่นับว่าเลวร้ายอะไร ถ้าหากนางตามหาคนในตระกูลจนพบและได้อยู่ร่วมกันอีกครั้งคงน่ายินดีเป็นที่สุด ผู้อาวุโสลิ่วมีความรู้กว้างขวาง เขาจะต้องอบรมสั่งสอนเจ้าหยวนได้ดีแน่...

 

วันเวลาก็ผ่านเลยไปเช่นนี้เอง...

 

แต่ละวันที่หวังโหรวฮวาออกไปข้างนอกล้วนได้วัสดุในการก่อสร้างติดมือกลับมา ด้วยเหตุนี้เพิงพักอาศัยที่ไม่เรียบร้อยเท่าใดก็มีหลังคาที่สมบูรณ์แบบอย่างช้าๆ ผนังทั้งสองด้านก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา นี่เป็นหญ้าม่ายเฉ่าที่หวังโหรวฮวาหามาได้นำมาผสมกับดินโคลนเพื่อก่อแนวผนัง

 

ถ้าหากไม่สามารถเร่งมือสร้างกระท่อมให้เสร็จสมบูรณ์ก่อนลมฤดูใบไม้ร่วงพัดมา พวกนางแม่ลูกคงไม่อาจมีชีวิตรอดพ้นความหนาวเหน็บที่จะมาเยือนคราวนี้ได้ ในเมืองหลวงฤดูร้อนอากาศอบอ้าวเกินจะทานทน ฤดูหนาวก็กลายสภาพเป็นน้ำแข็งมีหิมะปกคลุมไปทั่วผืนดินเช่นกัน

 

เนื่องจากอาศัยอยู่ใต้กำแพงอันน่าเกรงขามแห่งนี้ ทำให้ไม่มีช่างฝีมือคนไหนกล้ามาช่วยสร้างบ้าน หวังโหรวฮวาเข้าใจเหตุผลข้อนี้ดี เพียงแต่นางให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของตัวเองกับบุตรชายอย่างยิ่ง เด็กกำพร้าและหญิงหม้ายคู่หนึ่งที่ไร้คนในตระกูลกับสามีคอยปกป้อง ถ้าหากอยากจะใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนต้าซ่งต่อไป ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด

 

ระยะนี้ในเมืองมีแต่คนตาย เรือขนส่งร่างไร้วิญญาณตามเส้นทางน้ำมีอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย ได้ข่าวว่าในเมืองมีโรคระบาดเกิดขึ้นแล้วด้วย...

 

คนที่ตายจากไปแล้วย่อมหมดเรื่องหมดราวไป ส่วนคนที่ยังมีชีวิตอยู่กลับตั้งตารอให้ถึงวันที่สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดมา มีเพียงหลังฤดูกาลอันหนาวเหน็บมาถึงเท่านั้น สวรรค์ถึงจะไม่คร่าชีวิตผู้คนต่อไปอีก คนที่รอดมาได้ก็จะอยู่อย่างปลอดภัยไปจนถึงปีหน้า

 

ครอบครัวของผู้มีอันจะกินเห็นว่ากระแสน้ำหลากล่าถอยไปแล้ว ก็ทยอยกันเดินทางออกจากเมืองหลวง พวกเขาเข้าใจหลักการที่ว่าคนยิ่งมากโรคระบาดยิ่งร้ายแรงดีกว่าชาวบ้านที่ยากจนข้นแค้นมากนัก

 

หวังโหรวฮวากัดฟันยืนหยัดต่อไป ก่อนที่บ้านของตัวเองจะสร้างเสร็จเรียบร้อย นางยังไม่คิดจะสืบข่าวคราวว่าคนในตระกูลบัดนี้ไปอยู่ที่ไหน แต่นางก็ยอมจ่ายถึงห้าร้อยอีแปะหาลู่ทางพบเสมียนอำเภอไคเฟิง นางนำบัญชีทะเบียนราษฎร์ของตัวเองและบุตรชายย้ายจากอำเภอเสียงฝูที่เป็นอำเภอแถบชานเมืองของเมืองหลวงมาที่อำเภอไคเฟิง นับจากนี้ไปนางก็เป็นคนเมืองหลวงอย่างแท้จริงแล้ว

 

วันหนึ่งในฤดูหนาวฟืนและเงินบรรเทาทุกข์ที่ทางการแจกจ่ายก็มีส่วนของบ้านนางด้วย แม้ว่าทุกปีจะได้รับเพียงสามสิบอีแปะ แต่นางกับบุตรชายต้องอาศัยอยู่ที่เมืองหลวงไปทั้งชีวิตเชียวนะ เงินห้าร้อยอีแปะไม่นับว่าเสียไปโดยเปล่าประโยชน์!

 

อันที่จริงหวังโหรวฮวามองการณ์ไกลกว่านั้นมาก เมื่อถึงคราวที่บุตรชายของนางเริ่มเรียนหนังสือ วิชาความรู้ของอาจารย์ในอำเภอไคเฟิงย่อมเป็นอันดับหนึ่งในต้าซ่งอย่างไม่ต้องสงสัย

 

ทุกอย่างช่างดีงามจริงๆ

 

เรื่องยุ่งยากเพียงอย่างเดียวก็คือ เจ้าหยวนไม่ยอมกินอาหารอย่างจริงจังเสียที นอกจากน้ำนมมารดาแล้ว เขาไม่ยอมแตะต้องอาหารอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นขนมกุ้ยฮวารสชาติหอมหวานหรือโจ๊กข้าวฟ่างที่เคี่ยวจนเป็นสีเหลืองทอง เจ้าหยวนล้วนไม่ยอมกินเลยสักอย่าง ทำให้นางรู้สึกลำบากใจยิ่งนัก

 

ถ้าหากเจ้าหยวนไม่ยอมกินข้าว จะเติบโตเป็นลูกผู้ชายที่เข้มแข็งได้อย่างไร?

 

ทว่าโชคดีนักที่เจ้าหยวนรู้ความเป็นที่สุด ในแต่ละวันขอเพียงกินอิ่มแล้วก็จะไม่ร้องไห้งอแง กระทั่งมีครั้งหนึ่งที่ร่วงลงพื้นจนหน้าผากปูดเป็นลูกซาลาเปาใบใหญ่ เด็กคนนี้แค่เม้มริมฝีปากเป็นเส้นโค้ง จากนั้นก็ยื่นมือออกมาให้อุ้มเขาขึ้นไป

 

นี่เป็นความเมตตาจากสวรรค์ คงเวทนาที่เขาไม่มีบิดาคอยปกป้อง ดังนั้นถึงทำให้เขาเฉลียวฉลาดตั้งแต่เด็ก...

 

“เจ้าหยวน เอาขนมกุ้ยฮวาให้เจ้าจิ้งจอกกินไม่ได้นะ”

 

เมื่อเห็นว่าบุตรชายคิดนำขนมกุ้ยฮวายัดเข้าปากจิ้งจอกน้อย หวังโหรวฮวาจึงยื่นมือไปแย่งมา แต่ว่าก็ช้าไปเล็กน้อย เพราะขนมชิ้นนั้นนางแย่งมาจากปากของลูกจิ้งจอกนั่นเอง

 

หวังโหรวฮวาถอนใจเฮือกหนึ่ง นางเอาขนมกุ้ยฮวายัดกลับเข้าปากเจ้าจิ้งจอกที่เอาแต่ร้องโวยวายอีกครั้ง

 

เถี่ยซินหยวนเอามือจุ่มลงไปในถังน้ำอีกแล้ว หวังโหรวฮวาจึงรีบดึงมือของบุตรชายออกมา

 

เด็กคนนี้ชอบก่อเรื่องยุ่งๆ ให้นางเสียเหลือเกินโดยเฉพาะกับถังน้ำ มีบางครั้งที่เขาทำถังน้ำพลิกคว่ำ ต่อให้ล้มลงกับพื้นก็ยังเริงร่าอย่างไม่รู้สึกเหนื่อย

 

เวลานี้เขาสามารถเชิดหน้าคลานอย่างคล่องแคล่วแล้ว ถึงขนาดใช้มือจับยึดสิ่งของแล้วยืนขึ้นมาได้

 

หวังโหรวฮวามองน้ำในถังปนเปื้อนเศษดินจนสกปรก จากนั้นก็นึกถึงเรื่องที่บุตรชายไม่เคยแตะน้ำร้อนขึ้นมา มีบางครั้งนางคิดจะให้บทเรียนกับเด็กจอมซนคนนี้สักหน่อย จึงวางน้ำต้มสุกที่ยังร้อนจัดไว้ทางหนึ่งอย่างจงใจ เฝ้ารอให้บุตรชายเข้าไปสัมผัส ลองให้น้ำร้อนหยดใส่มือน้อยๆ ของเขาเป็นการสั่งสอน เผื่อจะแก้ไขนิสัยเสียชอบเล่นน้ำจนหกเลอะเทอะไปได้

 

ทว่าขอเพียงเด็กคนนี้เห็นว่าน้ำต้มสุกแล้ว ก็จะไม่เข้าไปแตะต้องเด็ดขาด ต่อให้นางนำน้ำร้อนนั้นมาวางอยู่ตรงหน้า ก็ไม่ยอมแตะต้องเลยสักนิด

 

ทันใดนั้นเองหวังโหรวฮวาก็เหลือบมองบุตรชายก่อนจะกล่าวว่า “ลูกรัก หรือลูกจะรังเกียจว่าน้ำในถังไม่สะอาด?”

 

เถี่ยซินหยวนหัวเราะเอิ๊กอ๊าก เขายังเอามือที่เปียกชุ่มโชกวางแนบใบหน้าของมารดา พร้อมกับหยอกล้อโดยเอาศีรษะยันหน้าอกของนางไว้

 

----------------------------

 

 

[1] ภาพทิวทัศน์ริมน้ำยามชิงหมิงหรือชิงหมิงซ่างเหอถู(清明上河图)เป็นภาพวาดที่มีชื่อเสียงของจางเจ๋อตวน(张择端)จิตรกรในสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ ภาพนี้สะท้อนให้เห็นบรรยากาศคึกคักมีชีวิตชีวาริมฝั่งแม่น้ำในเทศกาลชิงหมิงหรือเช็งเม้ง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด