ตอนที่แล้วตอนที่ 16: การต่อรองในร้านหนังสือ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 18: On the way (ระหว่างทาง)

ตอนที่ 17: เพื่อนซี้กลับมาเยี่ยม


ตอนที่ 17: เพื่อนซี้กลับมาเยี่ยม

 

เฮเซคียาห์กะพริบตาถี่ๆ หลังผ่านความรู้สึกว่าตนเองถูกดูดด้วยแรงมหาศาล แล้วโผล่จากที่หนึ่งมายังอีกที่หนึ่งจากการถูกเทเลพอร์ตมาพร้อมกับเมเดียน เขามีอาการมึนศีรษะร่วมด้วย แต่เมื่อสูดหายใจเอาลมยามกลางคืนเข้าเต็มปอด สมองเริ่มโล่งขึ้น อากาศคลื่นไส้ ตาลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง

 

กวาดตามองไปข้างหน้า กระท่อมของเขาอยู่ภายใต้แสงจันทร์

 

เฮเซคียาห์มองบรอธลอยเข้ามาหา และแทบไม่เชื่อสายตาเมื่อประตูแผ่นหนังทิ้งตัวปิดลง พร้อมกับใครบางคนออกมายืนมองเขาทางหน้ากระท่อม

 

มูนนี่!” เฮเซคียาห์ตะโกนอย่างดีใจ และเดินตรงเข้าไปหาเพื่อนชาวมนุษย์ “นั่นนายจริงๆ”

 

“ฉันมาถึงตอนเที่ยง”

 

“เอ่อ...” เฮเซคียาห์ประดักประเดิด เมื่อมายืนอยู่ใกล้ๆ มูนนี่

 

“ฉันรู้ว่านายโกรธมากตอนฉันพาซาแมนต้าไปส่งบ้าน แต่ฉันบอกนายแล้วว่าฉันจะกลับมาหา ฉันรู้สึกว่า ถ้าไม่ได้เห็นนายกลับไปหาแม่ ฉันคงอดหายห่วงนายไม่ได้” มูนนี่เปิดปากพูดความรู้สึกของเขาออกมา ไม่ได้อมพะนำเอาไว้ มันทำให้เฮเซคียาห์คลายความอึดอัดลง

 

สายตาของมูนนี่มองที่เมเดียน

 

“บรอธเล่าให้ฉันฟังว่าเกิดอะไรขึ้น...”

 

“งั้นก็คงรู้ มันยังไม่แน่ว่าฉันจะได้เมเดียนช่วยจนเข้าไปที่เมืองหลวงสำเร็จ” เฮเซคียาห์มองไปที่เมเดียนบ้าง

 

อีกฝ่ายโบกมือให้เขาแล้วหายวับไปเสียเฉยๆ

 

เฮเซคียาห์ไม่ห่วงว่าจะไม่ได้พบเมเดียนอีก เขารู้แล้วว่าสามารถติดต่อกับเมเดียนได้ทุกเวลาผ่านบรอธ

 

“นายจะอยู่นี่ถึงเมื่อไหร่” เฮเซคียาห์หันมาคุยกับมูนนี่ “ฉันมีกระท่อม นายก็เห็น แต่ไม่สะดวกสบายเท่ารถบ้านของนายหรอก”

 

“ฉันคงอยู่แถวนี้อีกสักพัก รับงานเก็บสมุนไพรมาด้วย นายจะให้ฉันพักที่กระท่อมด้วยก็ได้ หรือถ้านายต้องการ นายมาพักในรถบ้านก็ได้”

 

“กระท่อมดีไหม นายเข้าไปแล้ว คงเห็นว่าสภาพไม่แย่นักหรอก”

 

“แล้วแต่นายเลย” มูนนี่เดินตามเฮเซคียาห์เข้ากระท่อม

 

ภายในกระท่อมสว่างด้วยไฟซึ่งจุดขึ้นบนเกสรดอกไม้ป่าที่ผลิตแอลกอฮอล์ออกมาได้เองโดยธรรมชาติ มันถูกวางไว้ในภาชนะทำจากหิน บนพื้นกระท่อมในพื้นที่ซึ่งเว้นไว้จากการปูหญ้าทับ

 

เฮเซคียาห์หยุดเท้า เขาเห็นร่างของผู้หญิงคนหนึ่งนอนขดตัวบนหญ้าแห้งที่เขาปูไว้ครึ่งค่อนห้อง เธออยู่ภายใต้ผ้าห่มทำจากหนังกระต่าย

 

“อ๊ะ! คือฉันกำลังจะบอก...” มูนนี่เปิดปาก

 

เฮเซคียาห์หมุนกายขวับ เดินหนีออกไปด้วยความโกรธ

 

“นั่นมันหมายความว่ายังไง ทำไมยัยซาแมนต้ากลับมากับนายด้วย ฉันนึกว่านายหย่อนเธอทิ้งคืนถิ่นไปแล้ว”

 

เฮเซคียาห์ตะโกนใส่มูนนี่ที่เดินไล่หลังมาทัน

 

“ใจเย็น นายเดือดดาลไปหน่อยมั้งคีห์”

 

“นายรีบปลุกเธอแล้วพาเธอไปนอนในรถบ้านเถอะ กระท่อมโกโรโกโสของฉันไม่ต้อนรับยัยตัวอวดดีนั่น”

 

“ก็ได้ๆ” มูนนี่ไม่ตื้อต่อ เขาผลุบหายเข้าไปในกระท่อม

 

สักพัก ซาแมนต้าเดินออกมาจากกระท่อม เฮเซคียาห์เห็นเธอชายตามาทางเขา แต่พอสายตาของเธอประสานกับเขา ซาแมนต้าผินหน้าไปมองทางอื่น แล้วยอมให้มูนนี่ไล่ต้อนขึ้นรถบ้านไปอย่างเงียบๆ โดยไม่แสดงท่าทีว่าอยากมีเรื่องกับเฮเซคียาห์

 

“พอดีว่าฉันรับงานของเธอมาโดยไม่รู้ว่าเป็นเธอ” มูนนี่โผล่กลับเข้ามาในกระท่อมพร้อมกับคำอธิบาย

 

“ไหนนายบอกว่ารับงานเก็บสมุนไพรมา”

 

“ก็เออ แต่ฉันรับงานอื่นด้วย ฉันเจอข้อความที่บอกให้รับคนแล้วพามาที่นี่ ค่าจ้างแพงลิบ ใครจะคิดว่าเป็นซาแมนต้ากันล่ะ” มูนนี่หัวเราะแก้เก้อ “เห็นเธอบอกว่ายอมแพ้ไปแล้ว แต่ผลสุดท้ายเธอห่วงพวกเด็กๆ ที่ดูแลอยู่ เลยเปลี่ยนใจว่ายังไงก็อยากขอให้เมเดียนช่วย”

 

“รีบจัดการธุระของนายให้เรียบร้อย แล้วพาเธอไปให้พ้นๆ หน้าฉัน”

 

“ทำไมถึงได้เกลียดเธอนัก”

 

“ฉันบอกแล้ว ก่อนนายจะไปกับเธอหนก่อน” เฮเซคียาห์กระแทกเสียงใส่มูนนี่ “เธอทำร้ายฉัน แล้วไม่มีขอโทษสักคำ แล้วนายยังไปเข้าข้างเธออีก ฉันยิ่งโกรธเธอเป็นสองเท่า”

 

“นี่โกรธฉันด้วยใช่ไหม”

 

“นายโง่จนเดาไม่ได้เลยเหรอ”

 

มูนนี่ยิ้มแห้ง

 

“เอาเถอะ นายเป็นเพื่อนฉัน ฉันไม่ได้อยากโกรธจริงจัง จนมาเห็นนี่แหละว่า นายมากับยัยบ้านั่นอีกแล้ว”

 

“ตอนแรกฉันคิดจะปฏิเสธ แต่ก็เกิดความเห็นใจเธอขึ้นมาก็เลยไม่ปฏิเสธไป”

 

“เห็นใจหรืออยากใช้เวลาอยู่ด้วยกันแน่” เฮเซคียาห์แขวะ

 

“เห็นใจ!”

 

เฮเซคียาห์มองตามูนนี่ อีกฝ่ายหนึ่งจ้องตอบ

 

เฮเซคียาห์ทิ้งตัวลงนั่งบนฟาง มูนนี่ทิ้งตัวลงนั่งตาม

 

“ซาแมนต้าได้รับการสนับสนุนจากผู้คนจำนวนมากในฐานะนักร้อง ไม่ใช่แค่เพราะบุคลิกภาพน่ารักของเธอ เพลงของเธอ หรือเสียงร้องของเธอ แต่เธอเป็นคนดีที่คอยช่วยเหลือเด็กกำพร้าจำนวนมาก เธอมีสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลมากจากที่นี่ ก่อนหน้านี้เธอมาพบกับเมเดียนเพื่อขอให้เขาช่วยย้ายเด็กๆ พวกนั้นไปยังลีฟวิ่งแลนด์อื่น”

 

“นายจะบอกว่านายเห็นใจเด็กๆ และเห็นใจเธอที่เป็นนางงามผู้รักเด็ก”

 

“อย่าจิกกัดได้ไหม” มูนนี่ทำหน้าเหนื่อยใจ “เขาก็รักเด็กจริงๆ นะ ซาแมนต้าน่ะ”

 

“ฉันไม่ได้รู้สึกเหมือนกับนาย นายหยุดเล่าเถอะ ฉันรำคาญที่ต้องมาฟังเรื่องราวของคนซึ่งฉันไม่ได้เห็นว่ามีความสำคัญกับฉัน ทำไมฉันต้องฟังนายเล่าเรื่องของเธอด้วยล่ะ”

 

“ฉันแค่คิดว่า ถ้านายรู้ว่าเธอเป็นคนดี นายอาจจะอยากทำดีกับเธอ

 

“ฉันไม่ได้ดีกับใครเพราะว่าเขาเป็นคนดี”

 

“แล้วจะดีด้วยกับคนๆ หนึ่ง เพราะอะไร”

 

“ถูกชะตาด้วย” เฮเซคียาห์ตรงไปตรงมา “ถ้าฉันถูกใจ ฉันก็จะดีกับเขา”

 

“โอเค ฉันเข้าใจแล้ว เราไม่พูดกัน เรื่องซาแมนต้า”

 

“ดี! ในที่สุด เราก็จะคุยแต่เรื่องของเรา”

 

“...” มูนนี่ทำสีหน้าอึดอัดใจ

 

แต่ที่สุด มูนนี่เป็นฝ่ายเริ่มถามเฮเซคียาห์ถึงการสร้างกระท่อมของเขา ซึ่งเฮเซคียาห์รู้ได้ว่าอีกฝ่ายทำแบบนี้เพราะไม่ต้องการให้เสียบรรยากาศ พวกเขาจะได้พอคุยกันต่อโดยไม่ต้องทะเลาะกัน

 

เฮเซคียาห์เล่าเรื่องกระท่อมจบ เขาเล่าไปถึงการใช้ชีวิตในป่ากับบรอธ

 

“นี่...” เฮเซคียาห์อดไม่ได้ เขาคับข้องใจด้วยคำถามบางข้อแน่นอยู่ในอก “ทำไมนายถึงดูเป็นห่วงฉันจัง”

 

“....”

 

“ไม่มีคำตอบ ไม่เป็นไร แต่ฉันก็สงสัยนะ ฉันคิดไปเองหรือเปล่าว่านายดูห่วงฉันจัง”

 

มูนนี่เงียบไป

 

“นาย...” มูนนี่เปิดปากพูด ตาเป็นประกายอ่อนลง “นายเหมือนน้องชายของฉันที่เสียไปแล้ว พวกนายนิสัยเหมือนกันมาก เอาแต่ใจหน่อยๆ ดูยโสนิดๆ เก่ง แต่ทำให้รู้สึกว่าเขาอาจต้องการความช่วยเหลือตลอด เขาเข้าร่วมกับพวกกองกำลังต่อต้านชาวมัสตินเล็กๆ กลุ่มหนึ่งแล้วหายตัวไปอย่างลึกลับ”

 

“นายไม่เคยบอกว่านายมีน้องชาย”

 

“เขาหายไปหลายปีแล้ว ฉันมองว่าเขาตายไปแล้ว และไม่อยากพูดถึง”

 

“เขาคงตายไปแล้วจริงๆ”

 

“นาย...” มูนนี่วูบหนึ่งเหมือนกับจะโกรธขึ้นมา แต่แล้วมัดกล้ามเนื้อของเขาผ่อนคลาย เขาแลดูเหนื่อยแทน

 

เฮเซคียาห์มองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกสะเทือนใจ เพราะถือว่าตัวเองมีส่วนกับการสูญเสียของอีกฝ่าย

 

“เขาอาจจะยังอยู่...”

 

มูนนี่ดูเหมือนมีความหวังอยู่บ้าง เป็นธรรมดาของมนุษย์ เมื่อไม่ได้เห็นศพของคนที่รัก บางครั้งมันยากจะเชื่อว่าเขาคนนั้นไม่อยู่บนโลกนี้อีกแล้ว

 

“เขาน่าจะตายไปแล้วจริงๆ”เฮเซคียาห์เชื่อแบบนั้น “ความรู้ทางด้านการแพทย์ของชาวมัสตินสูงส่ง น้องชายนายมีความสามารถที่พวกมัสตินไม่สนใจ เขาคงถูกฆ่าไปแล้วถ้าหากเข้าปะทะกับชาวมัสติน”

 

“บางทีเขาอาจหลงทางอยู่ที่ไหนสักแห่ง” เสียงของมูนนี่แปร่งๆ

 

“เราเข้านอนกันดีกว่าไหม” เฮเซคียาห์มองหน้ามูนนี่ เห็นความทุกข์บนสีหน้าซึ่งมักดูขี้เล่นมากกว่าเอาจริงเอาจัง “ฉันขอโทษที่พูดตรงๆ แล้วทำให้ไม่สบายใจ บางทีฉันก็ตรงเกินไป”

 

“ใช่ นายเหมือนกับเขา บางทีเขาก็ตรงเกินไป”

 

“ขอบคุณนะที่เห็นฉันเป็นเหมือนน้องชาย แต่เอาจริงๆ นะ นายต่างหาก น่าจะเป็นน้องชายของฉัน” เฮเซคียาห์มองอีกฝ่าย “ความจริงฉันโกหกนายเรื่องอายุ ฉันแก่กว่าที่เห็นมาก”

 

“เท่าไหร่”

 

“เอาเป็นว่าอย่ารู้เลย” เฮเซคียาห์กำลังขำอยู่ในใจ

 

“นายไม่ใช่มนุษย์ด้วยใช่ไหม?”

 

เฮเซคียาห์ใจหาย

 

“ไม่!” เขารีบปฏิเสธไว้ก่อน

 

แต่รูปลักษณ์ของนายดูสมบูรณ์แบบเกินกว่าจะเป็นมนุษย์ ฉันเริ่มคิดนะว่านายเป็นลูกครึ่งระหว่างมนุษย์กับชาวมัสติน”

 

“ใครๆ ก็รู้ว่า นั่นเป็นความสัมพันธ์ต้องห้าม”

 

“ทีคู่ของอัลฟ่าแห่งการเดินทางล่ะ ชาวมัสตินกับมนุษย์กลายพันธุ์ นั่นก็เรื่องต้องห้าม แต่มันก็เกิดขึ้น” มูนนี่มีท่าทีจริงจังในการสนทนาจนทำให้เฮเซคียาห์ไม่ค่อยสบายใจ

 

"กฎหมายบัญญัติของชาวมัสตินไม่บังคับใช้ย้อนหลัง ฉันคิดว่านายรู้นะ..." เฮเซคียาห์เม้มปาก "กฎหมายเรื่องความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างสายพันธุ์ถูกบัญญัติขึ้นตั้งแต่ราชาองค์ก่อนขึ้นครองราชย์ ในทางปฏิบัติเป็นกฎหมายที่เข้มงวด ถ้าความสัมพันธ์ทางเพศข้ามสายพันธุ์ มีการตั้งครรภ์ หรือการให้กำเนิดทารกระหว่างชาวมัสตินกับเผ่าพันธุ์อื่นๆ ทั้งแม่และเด็กต้องถูกกำจัดทิ้ง นั่นอยู่ในข้อตกลงของระหว่างสมาชิกทั้งหมดภายใต้สหพันธ์อวกาศด้วย"

 

"ฉันเคยได้ยินมา พวกมัสตินหยิ่งและเหยียดหยามเผ่าพันธุ์อื่นเกินกว่าจะยอมให้สายเลือดของพวกเขาแปดเปื้อน"

 

"มันอาจไม่ใช่แค่เรื่องหยิ่ง เบื้องหลังกฎหมายที่เราพูดกัน มีเหตุผลอยู่ด้วย" เฮเซคียาห์อดใจไม่อธิบายไม่ได้ "การแต่งงานข้ามสายพันธุ์เสี่ยงต่อการทำให้ทายาทเผ่าพันธุ์มัสตินรุ่นหลังๆ อ่อนแอลง หรือไปสร้างความแข็งแกร่งให้กับเผ่าพันธุ์อื่นได้ และนั่นทำให้อำนาจระหว่างเผ่าพันธุ์เสียสมดุล”

 

"นายดูรู้เรื่องพวกนี้ละเอียดจังนะ" มูนนี่ยกมือขึ้นเกาะซอกคอของเขา ตามองเฮเซคียาห์อย่างพิินิจพิจารณา

 

เฮเซคียาห์กลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ เขาเริ่มกังวลว่ามูนนี่แคลงใจในตัวของเขา

 

“ฉันแค่มีภายนอกต่างจากคนอื่น นายเดินทางไปเรื่อยๆ น่าจะได้เห็นว่ามีคนซึ่งสีผม สีตา โครงหน้า ต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ในโลก ฉันก็แค่มนุษย์คนหนึ่งที่ดูดีมากๆ แต่ถ้าฉันจะมีเชื้อสายมัสตินในอดีต ฉันก็ไม่รู้หรอก”

 

“แต่นายบังเอิญหรือเปล่าล่ะ เป็นหนึ่งในล้าน หรือหนึ่งในสิบล้านนั่น” มูนนี่มองเฮเซคียาห์ ในดวงตาแฝงความสงสัยใคร่รู้

 

“นายเป็นพวกเชื่อในทฤษฎีว่าพวกเลือดผสม หรือลูกเสี้ยวสามารถใช้เศวตศาสตราได้สินะ”

 

“ก็ยังไม่มีข้อพิสูจน์ว่าใช้ไม่ได้”

 

ดวงตาของมูนนี่ไม่ได้มีความประสงค์ร้าย แต่เฮเซคียาห์ไม่ค่อยสบายใจ

 

เขาโง่ไปใช่ไหม คิดง่ายไปหรือเปล่า ที่จุดประเด็นเรื่องอายุ ซึ่งนำบทสนทนามาเข้าใกล้ความลับที่เขาอยากเก็บซ่อนมันไว้

 

"ถ้าฉันมีเชื้อสายมัสติน นายคิดจะฆ่าฉันหรือเปล่า" เขาบอกตัวเองให้เตรียมใจจะฟังคำตอบซึ่งอาจทำให้เสียใจ

 

หากมูนนี่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขา เท่ากับเขาสูญเสียมิตรภาพดีๆ ไป

 

“การมีเชื้อสาย ไม่ได้เท่ากับนายเป็นชาวมัสติน” มูนนี่ส่ายหน้าไปมา ตาปรือลงเล็กน้อย แล้วยกมือขึ้นเช็ดขี้ตาจากหัวตา "บรอธก็บอกฉัน ว่านายเป็นมนุษย์”

 

“นั่นสินะ ฉันเป็นมนุษย์” เฮเซคียาห์ยิ้มเย็น

 

เขาเริ่มเหนื่อยใจ ตอนนี้อีกฝ่ายตอบเขามาแบบนี้เพราะไม่ได้รู้อะไร

 

ในอนาคต ไม่แน่ว่า...

 

“ฉันนี่คิดเหลวไหลไร้สาระไปเรื่อยเนอะ” มูนนี่ถอนหายใจออกมายาวๆ เขาทิ้งกายลงนอนกับพื้นหญ้าแห้ง หลับตาลงด้วยท่าทีผ่อนคลายขึ้น “นอนกันก่อนที่ฉันจะไร้สาระไปกว่านี้เถอะ”

 

เฮเซคียาห์แสร้งหัวเราะ ทั้งที่ในใจมีความหดหู่

 

เขาขยับกายไปหยิบเอาแท่งไม้เล็กๆ มากดทับลงบนไฟที่จุดจากเกสรดอกไม้ชุ่มแอลกอฮอล์ให้ดับลง และกล่าวราตรีสวัสดิ์กับบรอธ

 

กระท่อมทั้งหลังปกคลุมด้วยความเงียบ เฮเซคียาห์ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง เสียงมูนนี่กรนแว่วมาเข้าหูขณะที่เขายังหลับไม่ลง

 

 

 

เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!

 

ต้นไม้ทั้งแถบไหม้ไฟและล้มลงไปกองกับพื้นตามๆ กัน เฮเซคียาห์ยังไม่อยากเชื่อสายตา

 

เฮเซคียาห์ก้มหน้ามองสายสร้อยเพนดูลัมของตัวเองซึ่งตรงปลายสร้อยซึ่งเขาจับอยู่เป็นประจำถูกสวมทับด้วยปลอกสีดำซึ่งยิ่งออกแรงบีบ มันก็ยิ่งดูดติดเข้ากับมือของเขาจนไม่ต้องกลัวว่าจะหลุดจากมือ ปลอกสีดำนี้ เมเดียนบอกกับเฮเซคียาห์ว่าทำมาจากหนังของสัตว์ชนิดหนึ่งในดาวซึ่งอยู่ห่างออกไปจากโลกหลายร้อยล้านปีแสน

 

เฮเซคียาห์ไม่ได้ได้มาฟรีๆ เมเดียนขอให้เขากับมูนนี่ช่วยกันทำอาหารให้รับประทาน

 

รอบนี้มูนนี่เข้าป่ามาพร้อมกับวัตถุดิบทำอาหารเพียบ

 

“ฉันคิดเอาไว้แล้วว่าต้องใช้ได้” เมเดียนโผล่มาข้างเฮเซคียาห์ ยืนชมผลงานด้วยกัน “บรอธช่วยทำให้การต่อสู้ของเธอมีประสิทธิภาพขึ้น เพียงแต่เธอต้องระวัง ดูให้ดีว่าชนวนไฟฟ้าที่ฉันทำให้อยู่ในที่ของมัน โอเคไหม”

 

เฮเซคียาห์พยักหน้า

 

“ทีนี้ เธอสู้กับมูนนี่ แต่ไม่ต้องให้บรอธใช้ไฟฟ้าช่วย”

 

“เขาสู้ผมไม่ได้แน่”

 

“เธอรู้ได้ยังไง” เมเดียนยิ้มแปลกๆ “ฉันรู้มาจากบรอธว่า เขาก็เคยต้อนให้เธอจนมุมไม่ใช่เหรอ”

 

เฮเซคียาห์นึกได้ถึงครั้งแรกที่เขาเจอกับมูนนี่

 

“แต่ตอนนั้นผมไม่มีอาวุธ”

 

“ตอนนี้เธอมีอาวุธแล้ว ก็ยังอาจพบว่ายากอยู่ดีที่จะเอาชนะเขา”

 

“เขาน่ะเหรอ?” เฮเซคียาห์รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ เขาสัมผัสได้ว่าเมเดียนประเมินระดับความสามารถของมูนนี่ไว้สูง

 

“มูนนี่ ในสายตาคุณ เขาเป็นใคร”

 

“เขาเป็นซีคเกอร์มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ความสำเร็จของเขาในโลกมนุษย์มีการพูดถึงกันปากต่อปาก เขาติดหนึ่งในซีคเกอร์ที่มีค่าหัวสูงลิ่วสิบอันดับแรก แล้วเธอลองคิดดูสิ พวกนักล่าฆ่าหัวที่อยากจับตัวเขาได้หรือว่าฆ่าเขาซะเป็นพวกผู้ใช้เศวตศาสตราทั้งนั้น เธอคิดว่ามูนนี่ธรรมดาไหม”

 

เฮเซคียาห์หันไปมองมูนนี่ที่ยืนหลบอยู่ไกลๆ อย่างประหลาดใจ

 

มูนนี่ได้วัตถุดิบสำหรับการสกัดทำยาหายากไปจากเมเดียนหลายเทียบ เป็นสิ่งที่เมเดียนให้ตอบแทนกับการร่วมทำอาหารเลี้ยง

 

“มูนนี่!” เฮเซคียาห์เรียกหาเพื่อน

 

มูนนี่เดินมาหาเขา ทิ้งซาแมนต้าให้ยืนอยู่ใต้ร่มไม้เพียงลำพัง

 

“ช่วยสู้กับฉันหน่อย”

 

“สู้กับนาย?”

 

“ใช่ ต้องสู้แบบจริงจังด้วย เพราะอาวุธของฉันอาจจะทำให้นายเป็นแผลได้ทุกเวลา” เฮเซคียาห์ไม่อยากให้มูนนี่ประมาท เขาสามารถทำให้มูนนี่บาดเจ็บหนักได้แม้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ

 

มูนนี่ชี้ไปที่กองซากต้นไม้ซึ่งล้มระนาว

 

“นายจะฆ่าฉันเหรอ”

 

เฮเซคียาห์หัวเราะ

 

“ไม่เลย ฉันไม่ใช้สายฟ้าจากบรอธมาช่วยในการต่อสู้กับนาย”

 

“เอาจริงๆ ใช้ได้นะ” มูนนี่มองไปที่บรอธ

 

“ก็ไหนนายบอกว่ากลัวว่าฉันจะฆ่านาย” เฮเซคียาห์อ้าปาก มองมูนนี่อย่างงงๆ “มันอันตรายนะเพื่อน”

 

“ฉันบอกว่าใช้ได้ก็ใช้ได้สิ”

 

เฮเซคียาห์ขำไม่ออก

 

“ฉันรู้ว่านายสู้แบบไหน” มูนนี่เอ่ยต่อ ดวงตาเป็นมิตรเหมือนเช่นเคยแต่แฝงความเยือกเย็นแบบที่เฮเซคียาห์ไม่เคยเห็นจากดวงตาของมูนนี่มาก่อน ดวงตาของมูนนี่จ้องมาที่เฮเซคียาห์อย่างประเมินความสามารถ “นายจะรู้จุดอ่อนหรือจุดแข็งของตัวเองได้ ก็ต้องสู้กับฉันโดยใช้ทุกอย่างที่นายมี”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด