ตอนที่แล้วซัพที่22: ขว้างงูทั้งที พ้นคอสักรอบจะได้ไหม?!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปซัพที่24: อย่ามาอ่านนิยายกันสดๆ แบบนี้ซิ!

ซัพที่23: ท่านหมอในมาดท่านหมอ(?)


 

ซัพที่23: ท่านหมอในมาดท่านหมอ(?)

“กาฬโรค?! โรคที่ทำให้แคว้นเปี่ยวเกือบล่มสลายเมื่อร้อยปีก่อนหรือ!” ขุนนางอู๋ตกตะลึง

แคว้นเปี่ยวนั้น เมื่อร้อยปีก่อนถือเป็นแคว้นใหญ่แคว้นหนึ่งใกล้เคียงกับแคว้นเจิ้ง ทว่าวันหนึ่งเกิดโรคระบาดใหญ่หลวง ทำให้ผู้คนล้มตายและหลบหนีออกมา โชคดีที่แคว้นเจิ้งทราบข่าวก่อน จึงสั่งให้ทุกเมืองปิดประตูแคว้น ห้ามผู้ใดเข้าออก

จากที่ตำราได้บันทึกไว้ แคว้นเปี่ยวรอดจากโรคระบาดได้ก็เพราะหมอพเนจรผู้หนึ่ง ผู้นำวิชาการแพทย์ที่ไม่เคยพบเห็นมารักษา ต่อมาหมอผู้นั้นจึงถูกแต่งตั้งให้เป็นหมอหลวงประจำราชวัง ทว่าโชคร้าย หมอผู้นั้นแหละองค์หญิงใหญ่แคว้นเปี่ยวได้ตกหลุมรักซึ่งกันและกัน เพราะยศฐาที่ต่างศักดิ์ ทำให้ทั้งสองมิอาจรักกันได้ จึงฆ่าตัวตายตามกันที่ตำหนักขององค์หญิง นับว่าเรื่องครั้งนั้นถือเป็นเรื่องใหญ่ของแคว้นเปี่ยวนัก ที่ต้องสูญเสียหมอเทวดาและองค์หญิงอันเป็นที่รักไปพร้อมกัน

เรื่องราวความรักของทั้งคู่ถูกเขียนร้อยเรียงลงบนหนังสือเล่มจำนวนหนึ่งโดยนักเขียนนิรนาม แน่นอนว่าหนึ่งในหนังสือเหล่านั้นอยู่ที่แคว้นเจิ้ง โดยมีกุ้ยเฟย ชายาลำดับที่หนึ่งผู้เป็นแม่ของจินหลงที่ได้ครอบครอง ทำให้เจ้าตัวแสบได้อ่านเรื่องราวนี้มาตั้งแต่สองสามขวบ

“โรคนั้นคือกาฬโรคหรือ?” จินหลงถาม

“ใช่แล้วพะยะค่ะ หากเรื่องที่มีกลุ่มคนป่วยเป็นกาฬโรคด้านนอกประตูจริง มีหวังนี่ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่” ชายวัยกลางคนยกน้ำชาขึ้นกระดก

“เช่นนั้นข้าจึงอยากพาท่านหมอออกไปตรวจอาการ โรคนี้หากเป็นเมิ่งชงหยวนล่ะก็ ย่อมรักษาได้แน่” จินหลงยืนยัน ขุนนางอู๋จึงหันไปมองเมิ่งชงหยวนด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ

“ข้าได้ยินมาว่าท่านเป็นหมอเทวดา แต่วิธีการรักษากาฬโรคนั้นตายไปพร้อมกับหมอเทวดาแคว้นเปี่ยวแล้ว ท่านจะไปทราบวิธีจริงหรือ” จินหลงหันมามองท่านหมอด้วยสายตาตื่นตะลึง

เห้ย! แล้ววิธีที่เจ้าหมอกำมะลอนี่มีจะรักษาได้จริงไหมเนี่ย

“แน่นอน บนโลกนี้ไม่มีโรคใดที่ข้ามิอาจรักษาได้” ท่านหมอยืดอกภาคภูมิใจ ต่างจากจินหลงที่เบะปากรังเกียจ

“แล้วพวกท่านมั่นใจได้อย่างไรว่าด้านนอกมีโรคระบาดจริง” ขุนนางอู๋ถาม เจ้าตัวแสบสะดุ้งเฮือก ยิ้มแหยๆ

“ท่านหมอเมิ่งเองก็ไม่อาจออกนอกเมืองได้ องค์ชาย พระองค์ทรงรู้ได้เยี่ยงไร” อีกฝ่ายถามคาดคั้น

“ข้า..ข้าก็..ออกไปดูมาด้วยตาข้าเอง” จินหลงตอบเสียงอ่อย ดวงตาของขุนนางอู๋เบิกโพล่ง

“นี่พระองค์ออกไปได้เยี่ยงไร! เจียงสงลูกข้าไปอยู่ไหน เหตุใดจึงไม่อยู่ปกป้ององค์ชาย!” ขุนนางอู๋โวยวายยกใหญ่ นึกอยากกลับไม่โบยลูกตัวเองซะให้เข็ด

“ไม่ๆ เจ้าอย่าไปว่าเจียงสงเลย เจียงสงทำหน้าที่ได้ดีนัก ตัวข้าเองที่หนีออกมาทุกวัน” จินหลงรีบอธิบาย

“เช่นนั้นพระองค์ก็หนีออกมานอกวังตลอดเลยหรือ?” จินหลงพยักหน้าช้าๆ ยิ้มแหยๆ เมื่อเห็นขุนนางตรงหน้ากุมขมับ

“ข้าขอไม่ให้เจ้าบอกใครได้หรือไม่ ข้าหนีออกมาใช่ว่าจะทำเรื่องไม่ดี เพียงแต่อยากออกมาช่วเหลือเด็กกำพร้าด้านนอก” จินหลงอธิบาย ขุนนางอู๋ครุ่นคิด

“ข้าจำได้ว่าองค์ชายสี่มีสติปัญญาเลิศล้ำแต่เล็ก ทว่าโชคร้ายถูกวางยาจนสติฟั่นเฟือน และเริ่มหนีออกจากวังจนปัจจุบัน แต่เหตุผลที่ข้าฟังวันนี้นั้นกลับไม่ใช่สิ่งที่คนสติฟั่นเฟือนจะคิดได้” ขุนนางอู๋วิเคราะห์ ก่อนจะเงยหน้าสบตาองค์ชายสี่

“แต่หากคิดกลับกัน เพราะองค์ชายสี่มีสติปัญญาเลิศล้ำแต่เด็ก จึงคิดอุบายหลอกหลวงผู้คนว่าตนสติฟั่นเฟือน เพราะต้องการตรวจสอบนอกวังก็เป็นไปได้.. ไม่สิ เป็นไปไม่ได้ ไม่มีเด็กคนใดคิดอ่านได้เช่นนี้” ขุนนางอู๋ยังคงไม่เข้าใจตัวเอง แต่เรื่องจำนวนเด็กกำพร้าในเมืองลดลงนั้น เขาได้รับการยืนยันมานานแล้ว

“เอาเป็นว่า ท่านจะช่วยปล่อยข้ากับท่านหมอไปได้หรือไม่ โดยไม่รายงานสเด็จพ่อว่าข้ามาที่นี่” จินหลงทำตาวิบวับมองขุนนางอู๋อย่างเว้าวอน

“เกรงว่าจะไม่ได้พะยะค่ะองค์ชาย เรื่องที่พระองค์หนีออกจากวังนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ทั้งยังเรื่องที่มีโรคระบาดเกิดขึ้นนอกเมืองอีก กระหม่อมเกรงว่าเรื่องนี้คงต้องทูลฝ่าบาทให้ทรงทราบ และสั่งปิดประตูเมือง”

ปัง!

จินหลงตบโต๊ะลุกพรวดด้วยโทสะ แม้แต่ท่านหมอเองก็ยังสะดุ้งตกใจ ไม่คิดว่าเด็กน้อยผู้นี้จะโกรธขึ้นมา

“เจ้าจะบอกให้ข้าทอดทิ้งพี่น้องและราฏรไว้ข้างนอกหรือ! ข้าไม่มีวันทำเช่นนั้นแน่ ต่อให้ต้องขัดราชโองการของเสด็จพ่อ ข้าก็พาเมิ่งชงหยวนไปรักษาพวกเขา!” จินหลงตวาดด้วยน้ำเสียงอันดังก้อง บรรยากาศรอบตัวเขาเปลี่ยนไปนัก ทำเอาขุนนางอู๋ตกตะลึง รีบคุกเข่าลงกับพื้น

“องค์ชายโปรดระงับโทสะ กระหม่อมมิได้หมายความเช่นนั้น เราสามารถส่งหมอออกไปรักษาผู้คนด้านนอกได้พะยะค่ะ อีกทั้งกระหม่อมอยากเตือนพระองค์ พระองค์มิควรเรียกเด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้าว่าพี่น้องนะพะยะค่ะ” ขุนนางอู๋เอ่ย

“ข้าจะนับญาติไม่นับญาติกับใครเจ้าเกี่ยวอะไรด้วย! ข้าเคยได้ยินว่าคุณนางอู๋มีความเมตตาสูงส่ง ไม่คิดว่าสิ่งที่ได้ยินเป็นพียงแค่ข่าวลือ เหตุที่ข้าหนีออกมานอกวังก็เพราะข้าไม่ต้องการอยู่ในวัง เรื่องง่ายๆ แค่นี้ทำไมคิดไม่ได้! กับอีแค่ตำแหน่งองค์ชายเจ้าคิดหรือว่าข้าอยากได้นัก!” จินหลงต่อว่าเป็นชุดไม่หยุดยั้ง ก่อนจะหันหลังสะบัดหน้าหนี

“ไป เมิ่งชงหยวน เจ้าไปกับข้า อะไรจะเกิดก็ค่อยแก้ทีหลัง ชีวิตเด็กหลายสิบรอเจ้าอยู่” จินหลงสั่ง เมิ่งชงหยวนจึงรีบกุลีกุจอเดินตามไป แต่ก่อนจะเดินเขาจึงหันมาพูดกับขุนนางอู๋

“ข้าแนะนำว่าอย่าเห็นองค์ชายสี่เป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆ เลย องค์ชายผู้นี้นั้นดูจะมีความคิดอ่านมากกว่าผู้ใหญ่หลายคนนัก”

เมื่อมาถึงรถม้า จินหลงจึงเรียกหนานจิงกลับมาคุมม้าอีกครั้ง และบังคับให้ทหารเปิดทาง รีบมุ่งหน้าสู่ป่าที่มีเด็กน้อยรอพวกเขาอยู่

“หัวหน้า แบบนี้ดีแล้วหรือ” ทหารหนุ่มถามด้วยใบหน้าซีดเผือด หัวหน้าทหารจึงหันไปมองขุนนางอู๋ที่เดินออกจากกระโจม

“ไม่เป็นไร เรื่องนี้พวกเจ้าทุกคนเก็บเงียบไว้ก็พอ” ขุนนางอู๋ตอบแทน เขาหันไปมองรถม้าทั้งสองที่วิ่งออกไปจนไกลจนเห็นเพียงเงา

“สั่งทหารทุกนายห้ามใครแพร่งพรายเรื่องนี้ และสั่งให้คนไปปล่อยข่าวว่าท่านหมอเมิ่งชงหยวนป่วยเป็นไข้หวัด จำต้องพักรักษาตัว ปิดร้านเป็นการชั่วคราว” ขุนนางอู๋สั่งการ ก่อนเผยยิ้มจางๆ

หวังว่าข้าจะเลือกข้างไม่ผิดนะ

 

อีกด้านหนึ่งทางด้านรถม้าที่วิ่งไปตามเส้นทาง เมิ่งชงหยวนชะโงกหน้าหันมาหาองค์ชายน้อยที่หน้ามุ่ยคิ้วขมวด

“ถูกสั่งโบย ถูกปลด ถูกกักบริเวณ ท่านคิดว่าท่านจะโดนอะไร” จินหลงใช้หาตามองหน้าท่านหมอที่ดูตื่นเต้นผิดปกติ

“อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่กักบริเวณ ไม่งั้นข้าลงแดงตายแน่”

อย่างว่า คนมันอยู่นิ่งไม่ได้นี่นะ

ท่านหมอคิดพลางอมยิ้ม ก่อนจะเปลี่ยนประเด็น

“แล้วนี่อีกไกลไหม ข้ายังไม่เห็นป่าที่ท่านว่าเลย” ท่านหมอมองหน้าพิกัด แต่ก็ยังไม่เห็นป่าทึบ

“จะไปเห็นได้ไงล่ะ อีกไกลเลย เราเสียเวลามามากขนาดไหนเจ้าก็รู้อยู่”

 

ผ่านไปราวห้าชั่วโมง รถม้าจึงมาจอดอยู่บริเวณป่าดิบชื้น

“อยู่ร์หาน ข้าว่าคงเข้าไปใกล้กว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะ” หนานจิงรายงาน พลางกระโดดลงจากรถม้า

“อืม งั้นก็จอดอยู่ที่นี่แหละ” จินหลงดีดตัวขึ้นไปบนกิ่งไม้ใหญ่ ก่อนจะผิวปากเป็นเพลงเพลงหนึ่งที่ท่านหมอไม่คุ้นหู ไม่นานเด็กสิบกว่าคนคนจึงกระโดดมาทางพวกเขา

“สถานการณ์เป็นไงบ้าง” เจ้าตัวแสบถามเด็กคนหนึ่งที่กระโดดมาบนกิ่งไม้เดียวกับเขา

“ย่ำแย่ ตอนนี้พี่ใหญ่จื่อจงกำลังช่วยประคองอาการอยู่ แล้วไหนล่ะหมอที่เจ้าว่า” เด็กชายรายงาน จินหลงจึงชี้ไปที่เมิ่งชงหยวนที่กำลังลงจากรถม้า มองไปโดยรอบด้วยท่าทางสนใจ

“จะไหวเหรอนั่น?” เด็กน้อยถาม ไม่อยากเชื่อว่าชายคนนี้จะเป็นหมอจริง

“ข้าก็ไม่แน่ใจ แต่เห็นว่ารักษาได้เลยพามา พวกเจ้ารีบไปขนกระสอบหลังเกวียนเถอะ” จินหลงสั่งการ ก่อนจะกระโดดลงไปหาเมิ่งชงหยวน

“เด็กพวกนี้เป็นเด็กกำพร้าในตอนนั้นหรือ?” เมิ่งชงหยวนย้อนความจำ วันแรกที่เขาได้พบจินหลงคือบริเวณหน้าประตูเมือง ตอนที่จินหลงกำลังพาเหล่าเด็กกำพร้าออกไปด้านนอก

“ใช่ นี่ท่านยังจำได้อีกเหรอ?” เจ้าตัวแสบย้อนถาม

“จำได้แน่นอนสิ หากวันนั้นข้าไม่เห็นท่าน ก็คงไม่รู้หรอกว่าแท้จริงท่านแกล้งป่วย” เมิ่งชงหยวนหรี่ตามององค์ชายน้อย จินหลงแสยะยิ้ม ก่อนจะถามต่อ

“แล้วเจ้าคิดว่าตอนนี้พวกเขาเป็นยังไงบ้าง” เมิ่งชงหยวนหันไปมองเด็กแต่ละคนตั้งแต่หัวจรดเท้าเพื่อพิจารณา ก่อนจะหันมาตอบจินหลง

“เปลี่ยน เปลี่ยนไปมาก ข้าไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้ ร่างกายที่ซูบผอมก็ดูสมบูรณ์แข็งแรง หลายคนมีกล้ามเนื้อ พวกเขาดูสดใสร่าเริงสุขภาพจิตดีไม่เหมือนเด็กกำพร้าที่หนีรอดมากจากสงครามเลยสักนิด” ท่านหมอกล่าวตามจริง จินหลงฉีกยิ้มยินดีกับคำนั้น

“ดีแล้วล่ะ เอาล่ะทีนี้อย่าเสียเวลาเลย เจ้าไปกับข้าเลยแล้วกัน” จินหลงหันไปมองหนานจิงที่กำลังสั่งการเพื่อนคนอื่น ก่อนจะเรียกอีกสองคน

“หลานถิง เอ้อหู่” ทั้งสองหันมาแทบจะพร้อมกัน ก่อนจะเดินมาหาจินหลง ในเวลานี้หลานถิงและเอ้อหู่มีอายุสิบแปดปี ทำให้มีส่วนสูงไล่เลี่ยกับท่านหมอเมิ่ง ราวกับทั้งคู่จะรู้ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร จึงเดินเข้าไปประกบด้านข้างท่านหมอ และใช้แขนทั้งสองข้างจับแขนท่านหมอไว้คนละข้าง เมิ่งชงหยวนหันมองทั้งคู่สลับกันไปมาด้วยความสงสัย

“หลานหรง หนานจิง ข้าฝากทางนี้ด้วยนะ” จินหลงหันไปบอกหลานหรงวัยสิบเก้าปี และหนานจิงวัยสิบหกปี

“ได้เลย ตรงนี้ข้าจัดการเอง เจ้าไปเถอะ” หลานหรงตอบกลับ จิงหลนพยักหน้า ก่อนหันมามองหน้าเมิ่งชงหยวน และฉีกยิ้มแป้นให้

“งั้นเราก็รีบไปกันเลย” พูดจบเจ้าตัวแสบจึงใช้วิชาตัวเบา กระโดดขึ้นบนต้นไม้

“ไปยั...เห้ย!” ไม่ทันทีท่านหมอจะถามจบ หลานถิงและเอ้อหู่จึงกระโดดตามจินหลงไป พร้อมกับหิ้วท่านหมอไปด้วย

“ม๊ายยย เอาข้าลง! ข้ากลัวความสูงงง ไม่เอาๆๆๆ อ๊ากกก”

 

“พี่ใหญ่จื่อจงๆ อยู่ร์หานกลับมาแล้ว!” เสียงตะโกนจากด้านนอก ทำให้จื่อจงต้องละสายตาจากคนไข้ แล้วจึงรีบวิ่งไปดูทันที

เมื่อถึงบริเวณที่จินหลงกั้นไว้ให้เป็นเขตปลอดภัย จึงพบกับชายวัยประมาณสามสิบปีกำลังอาเจียนอยู่ข้างต้นไม้ โดยมีหลานถิงช่วยลูบหลังให้

“จื่อจง ไม่ได้เจอกันนานเลย” แม้จื่อจงจะยังผูกผ้าปิดปากไว้ แต่เอ้อหู่ก็ยังจำเขาได้ จึงเข้าไปทักทาย

“พวกพี่โตขึ้นจนข้าแทบจำไม่ได้เลย” จื่อจงเข้าไปทักตอบ เอ้อหู่จริงยิ้มเขินๆ

“จริงๆ ก็ไม่ได้มีแค่เรื่องนั้นหรอก แต่อีกเรื่องไว้ค่อยบอก ตอนนี้รีบไปดูอาการเด็กคนอื่นก่อน ท่านหมอเมิ่งเมื่อไรท่านจะมาได้เนี่ย!” เอ้อหู่โวยวาย ขณะที่เมิ่งชงหยวนกำลังนั่งกินยา

“ก็พวกเจ้าเล่นพาข้ามาโลดโพนขนาดนี้ ข้าจะไปไหวได้ยังง๊ายยยย” ท่านหมอโวยกลับ ส่งกระบอกน้ำคืนให้หลานถิง ทว่าสายตาเขากลับสบเข้ากับจื่อจงที่ยืนมอง

“เจ้าน่ะ มานี่ซิ” ท่านหมอกวักมือเรียกจื่อจงให้เดินไปหา จื่อจงมีท่าทีลังเล ก่อนจะเดินเข้าไป เมิ่งชงหยวนใช้นิ้วกระดิกให้จื่อจงย่อตัวลง

“ไอ้ผูกผ้าปิดปากนี่มันก็ถูก แต่ไอ้ที่ปล่อยชายผ้าแบบนี้น่ะไม่ดีนัก เชื้อโรคจะเข้าจากด้านนี้ได้ ต้องเก็บผ้าไปไว้ด้านหลัง” เมิ่งชงหยวนนำปลายผ้าของจื่อจงไปผูกไว้ที่หลังศีรษะของเด็กชาย จื่อจงกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะใช้มือจับผ้าที่เมิ่งชงหยวนมัดให้

“เอาล่ะ เราก็ไปกันเถอะ ขืนให้เด็กพวกนานต้องทรมานต่อคงไม่ดีนัก” ท่านหมอลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินไปทางเอ้อหู่เพื่อคุยบางอย่าง แล้วจึงหยิบกระดาษออกมาจากแขนเสื้อ ยื่นให้เอ้อหู่

“เจ้าไปขนสมุนไพรตามนี้ แล้วช่วยกันผสมและตวงให้ได้เป็นชุดๆ นะ อย่าลืมแจกจ่ายผ้าปิดปาก ผูกกันตามที่ข้าสอน” เมิ่งชงหยวนสั่งการ จินหลงเพิ่งเห็นท่านหมอทำตัวเป็นหมอจริงๆ เป็นครั้งแรก จึงมองด้วยความตื่นเต้น ก่อนดวงตาน้อยๆ จะไปสะดุดกับจื่อจงที่มองท่านหมออย่างไม่วางตา

“พี่ใหญ่จื่อจง มีอะไรงั้นเหรอ?” จินหลงเดินไปหาจื่อจง เจ้าตัวจึงสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะก้มมามองน้อง

“ป..เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” เจ้าตัวแสบเอียงคอไม่เข้าใจ แต่เมื่อเห็นเมิ่งชงหยวนเตรียมตัวจะเดินเข้าไปด้านใน เขาจึงทำท่าจะตามไป ทว่ากลับถูกท่านหมอเบรก

“หยู๊ดดดด ท่านน่ะอยู่ที่นี่ ห้ามเข้าไปเด็ดขาด” เมิ่งชงหยวนสั่งห้าม ทำเอาจินหลงอ้าปากค้าง

“ทำไมอะ!! ก็ข้าจะตามเข้าไปช่วยนี่” เจ้าตัวแสบเถียง

“หัดคิดถึงสถานะตัวเองบ้าง หากท่านติดโรคไปมีหวังพวกเราได้คอขาดตายหมดแหง อยู่ที่นี่ดีๆ นั่นแหละ ไม่ก็จะกลับบ้านก็ได้” ท่านหมอรัวเป็นชุด จินหลงอ้าปากพะงาบๆ เมิ่งชงหยวนจึงชะโงกหน้าไปทางจื่อจง

“เจ้าน่ะ พอรู้วิชาแพทย์ใช่ไหม เมื่อครู่ข้าได้กลิ่นสมุนไพรจากตัวเจ้า ตามข้ามา มาช่วยข้าอีกแรงที แค่พวกหลานถิงคงไม่พอ” จื่อจงตาเป็นประกายรีบวิ่งตามไป โดยไม่ลืมตบบ่าน้องเล็กปลอบใจ

“เดี๋ยวข้าไปเอง เจ้าอยู่ที่นี่แหละ” จินหลงยังนิ่งค้าง นึกอยากแหกปากว่า

ต่อให้ข้าติดโรคข้าก็ไม่ตายหรอกโว้ยยยยยยยยยยย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด