ตอนที่แล้วซัพที่21: มันเป็นไปตามพล็อต
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปซัพที่23: ท่านหมอในมาดท่านหมอ(?)

ซัพที่22: ขว้างงูทั้งที พ้นคอสักรอบจะได้ไหม?!


ซัพที่22: ขว้างงูทั้งที พ้นคอสักรอบจะได้ไหม?!

“กาฬโร๊คคค?!” เสียงแหลมจนหลงของท่านหมอสั่นสะเทือนไปทั่วร้าน ทำเอาทั้งคนไข้และสองพี่น้องตระกูลอี้ถึงกับสะดุ้งโหยง

“ชู่วววว! เจ้าจะแหกปากทำบ้าอัลล๊ายยย” จินหลงแทบขย้ำคนตรงหน้า เมิ่งชงหยวนที่อยู่ในระหว่างพักจึงยิ้มแหยๆ หันไปขอโทษขอโพยผู้คนที่ทำให้ตกใจ แล้วจึงก้มลงมากระซิบกับเด็กชาย

“ท่านพูดจริงหรือ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ” ท่านหมอเปลี่ยนท่าที จินหลงเบ้ปาก

“คิดว่าข้าเล่นทุกเรื่องเลยหรือไง?”

“ใช่” จินหลงกัดฟันกรอดเมื่ออีกฝ่ายตอบกลับแทบจะในทันที

“บ้าเรอะ! เรื่องแบบนี้ข้าไม่เอามาล้อเล่นหรอก! นี่เรื่องจริง เจ้าพอจะมีวิธีรักษาไหม!” เมิ่งชงหยวนกัดริมฝีปากล่าง ใบหน้าครุ่นคิดหนัก

“เดี๋ยว แปปนึง โรคนี้ข้ายังไม่เคยรักษา แต่เห็นผ่านตำรา ท่านตามข้ามา” เมิ่งชงหยวนเดินนำจินหลงขึ้นไปยังชั้นสอง ที่สองหนุ่มเวรกลางคืนนอนคลุมโปงอยู่

เมื่อจินหลงเข้ามาถึงห้องท่านหมอ ก็ต้องกุมขมับกับสภาพห้องที่มีกองหนังสือและตำรากระจัดกระจายจนแทบไม่มีที่จะนอน

“นี่หลานหรงไม่ได้ช่วยท่านจัดห้องเลยหรือไง?” จินหลงถาม ขณะท่านหมอกำลังขุ้ยหาตำราบนพื้น

“อือ ข้าสั่งนางว่าห้องนี้ไม่ต้องยุ่งน่ะ” ท่านหมอไม่สะท้าน ยังคงพลิกดูปกตำราค่อไป ก่อนเขาจะเด้งขึ้นมาอย่างนึกขึ้นได้

“จริงสิ ตำรานั่นเป็นตำรายาโบราณ ข้าไม่ได้ว่าเกลื่อนงี้นี่” จินหลงกระพริบตาปริบๆ

กาฬโรคเนี่ยนะมีตำรายาโบราณ ตลกละ วิชาแพทย์โลกนี้มันก้าวไกลขนาดนั้นได้ยังไง?!

“นี่เจ้ารักษากาฬโรคได้จริงๆ หรือ?!” จินหลงถามย้ำ ท่านหมอจึงยืดอกภาคภูมิใจ

“แน่นอน ข้าบอกท่านแล้ว ข้าเป็นหมอเทวดา ไม่ว่าโรคภัยไข้เจ็บอันใด ข้าก็ย่อมรักษาได้” ท่าทางมั่นใจจนน่าหมั่นไส้ของเขา ทำเอาจินหลงคิดว่าแค่โม้

“งั้นก็รีบหาเร็วเข้า มีเด็กเป็นสิบรอเจ้าอยู่นะ” เจ้าตัวแสบเร่ง

“ข้าก็รีบอยู่นี่ไง เจอแล้วๆ!” ท่านหมอนำห่อผ้าประจำตัวออกมาเปิด ก่อนจะโห่ร้องดีใจ รีบพลิกหน้ากระดาษดู

“ไหนๆ เขียนว่าไงๆ” จินหลงยืดขาเดินไปตามช่องว่างบนพื้นที่ปราศจากหนังสือ ท่านหมอนั่งลงกับพื้น เปิดให้เจ้าตัวแสบดู

“นี่ไง กาฬโรค หรือ มรณะสีดำ เมื่อเชื้อกาฬโรคเข้าสู่ร่างกาย จะแพร่กระจายสู่ต่อมน้ำเหลืองที่ใกล้ที่สุด ทำให้ต่อมน้ำเหลืองที่โชคร้ายอักเสบบวมโต เจ็บ หรือปวดได้ หลังจากนั้น เจ้าเชื้อเนี่ยก็จะกระจายไปตามระบบน้ำเหลืองผ่านทางท่อน้ำเหลือง ทำให้ต่อมน้ำเหลืองบริเวณอื่นๆ เช่น รักแร้ คอ หรือขาหนีบ เกิดการอักเสบตามไปด้วย อาการอื่นๆ ที่พบภายในสามถึงเจ็ดวันก็จะมี ไข้หนาวสั่น ปวดศีรษะ อ่อนแรง ปวดกล้ามเนื้อ ชัก ถ้ามีอาการแทรกซ้อนอีกก็จะมีปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน เลือดออกตามผิวหนัง” จินหลงอ้าปากข้าง กระพริบตาปริบๆ มองหน้าท่านหมอที่ยังคงอ่านอยู่

บ้า! บ้าไปแล้ว! นี่มันโรคที่ถือเป็นหายนะในอดีตของโลกเก่าเขาเลยนะเห้ย แล้วทำไมในโลกนี้ถึงได้มีวิธีการรักษา! โลกมันก็เจริญอยู่แล้วพระเจ้าจะส่งเขามาทำพระแสงสวรรค์วิมานโคตรเหง้าอะร๊ายยยย

“แล้ววิธีรักษาล่ะ ท่านมีสมุนไพรพอไหม?” จินหลงรีบเข้าประเด็น ก่อนจะเสียเวลาไปมากกว่านี้

“จะไปมีเยอะขนาดนั้นได้ยังไงล่ะ อีกอย่างที่นอกจากสมุนไพรที่หายากยังมีเกลืออีก ข้าต้องการเกลือหลายกระสอบเลย” ท่านหมอทบทวนสูตรยาในหัว

“แล้วเจ้าพอหาได้ไหม?” เมิ่งชงหยวนถอนหายใจ

“ไอ้ได้มันก็ได้อยู่หรอก แต่เรื่องเงินนี่สิ จริงอยู่หากซื้อจำนวนมากร้านก็จะลดราคา แต่ก็ไม่ได้ลดมากขนาดนั้น” จินหลงพ่รลมหายใจ ก่อนจะล้วงเข้าไปในแขนเสื้อ หยิบตั๋วเงินออกมา

“เท่านี้พอไหม” เมิ่งชงหยวนปรายตามองตั๋วเงินเหล่านั้นด้วยหางตา ก่อนจะหันขวับกับจำนวนตั๋วเงินในมือจินหลง

“เห้ย!! นี่ท่านไปเอาเงินมากมายขนาดนี้มาจากไหนนนนน” ท่านหมอคว้าตั๋วเงินมาดู จินหลงเลิกคิ้ว

“นี่ท่านย้ายออกจากวังมานานจนเลอะเลือนแล้วหรือไง ลืมแล้วหรือว่าข้าเป็นใคร? นี่องค์ชายสี่เจิ้งจินหลงเลยนะ!” จินหลงเก๊กหล่อ ก่อนจะต้องถลึงตาใส่กับประโยคถัดมาของท่านหมอ

“ข้าก็หลงนึกว่าเป็นแค่เด็กบ้ามาตั้งนาน อุ้ย...โทษๆ ข้าลืมตัว” ท่านหมอแกล้งทำทีเหมือนหลุดปาก สามปีมานี้เขาและจินหลงสนิทกันจนแทบจะเป็นครอบครัวเดียวกัน ต่อให้จับองค์ชายน้อยมาตีก้น ก็คงงอนเขาแค่ไม่กี่วัน

“แล้วมันพอไหมล่ะเงินนี่น่ะ นี่ข้าอุตส่าห์ลอบเข้าวังไปเอาออกมาเลยนะ” จินหลงแยกเขี้ยว

“นี่..ท่านไปขโมยมาหรือ?” ท่านหมอหน้าซีดขาว มองตั๋วเงินในมืออย่างหวาดหวั่น

“ขโมยบ้าขโมยบออะไร ตั๋วเงินนี่เป็นเงินที่ข้าได้มาจากเสด็จพ่อทั้งนั้น ท่านลืมแล้วหรือว่าตั้งแต่วันที่หลอกลวงคนในวังครั้งใหญ่ไป ข้าก็ช่วยราชกิจเสด็จพ่อเป็นครั้งคราว อ้อ นอกจากนั้นข้ายังเอาของที่ได้มาจากขุนนางตอนสี่ขวบไปขายด้วย” จินหลงอธิบายที่มา เมิ่งชงหยวนส่ายหน้าช้าๆ ไม่อยากเชื่อว่าอีกฝ่ายจะทุ่มทุน

“เหตุใดท่านจึงต้องลงเงินมากมายขนาดนี้กับเด็กกำพร้าด้วย?” จินหลงฉีกยิ้ม

“เพราะข้าเชื่อ ว่าพวกเขาจะไม่ทรยศข้า ข้าก็บอกท่านแล้วไง ว่าในวังมันเครียดขนาดไหน ทุกวันนี้คุณชายอู๋ก็พัฒนาฝีมือจนข้าจะหนีไม่พ้นแล้ว ไหนจะเรื่องพี่รองที่มากลั่นแกล้งข้าทุกอาทิตย์อีก” เจ้าตัวเล็กถอนหายใจ ก่อนจะเสริมว่า

“สำหรับข้า เด็กกำพร้าเหล่านั้นก็ไม่ต่างจากครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวหนึ่ง” รอยยิ้มจางๆ ช่างน่าสงสารนัก หากแต่..

“ยี่สิบสามสิบคนบ้านไหนเรียกว่าครอบครัวเล็กๆ?” ท่านหมอแย้ง ทำเอาจินหลงหมดอารมณ์ซึ้ง

“เอออ จะกี่สิบกี่ร้อยก็ช่าง ท่านรีบไปเตรียมของมาได้แล้ว แล้วเช่ารถม้ามาด้วย ข้าจะไปปลุกไท่หนานจิงกับเอ้อหู่ให้มาช่วย” จินหลงกระโดดไปตามช่องว่างบนพื้น ก่อนจะตีลังกาออกจากประตู

“ได้ๆ แต่ข้าต้องขอไปดูคนไข้ด้านล่างก่อนนะ ใครอาการหนักข้าจำต้องรีบรักษา ส่วนใครอาการไม่หนักนักข้าจะให้กลับไปก่อน” เมิ่งชงหยวนตะโกนขณะยืดขาไปตามพื้นที่ว่าง

 

กระสอบสมุนไพรและเกลือจำนวนมากถูกหอบขึ้นรถม้าสองคัน โดยจินหลง เมิ่งชงหยวน และ ไท่หนานจิงนั่งอยู่บนรถม้าคันเดียวกัน

“จินหลง อาการพวกเขาหนักขนาดนั้นเลยหรือ?” หนานจิงถามขณะคุมรถม้า

“ข้าเองก็ยังไม่เห็นอาการหรอก แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นกาฬโรคก็ย่อมหนักหนานัก โรคนี้ฆ่าผู้คนในแดนอื่นไปนับล้านเลย” จินหลงอธิบาย เมิ่งชงหยวนที่กำลังเช็กยาในกระสอบจึงชะโงกหน้าออกมา

“คุณชายเหอ เรื่องนี้ท่านรู้ได้ยังไง?” สีหน้าของเมิ่งชงหยวนเต็มไปด้วยความสงสัย

“ข้ารู้เพราะข้าเก่ง จบนะ?” สีหน้าสงสัยของท่านหมอ เปลี่ยนเป็นราบเรียบในทันใด ก่อนเขาจะดึงหน้าตัวเองกลับไปตรวจสอบสมุนไพรต่อ ทว่ากลับถูกทหารที่ประตูเมืองกักตัว

“มีราชโองการรับสั่งจากฝ่าบาท ห้ามมิให้เมิ่งชงหยวนออกนอกเมือง” จินหลงอ้าปากค้าง ลืมเสียสนิทว่าท่านหมอถูกกักตัว

“พี่ชาย นอกเมืองมีโรคระบาดต้องการหมอ ถือว่าช่วยๆ กันหน่อยเถอะ เดี๋ยวโรคระบาดหมดลง พวกข้าจะกลับมาเอง” หนานจิงขอร้อง ทั้งยังพยายามยัดถุงเงินให้ทหารนายนั้น

“น้องชาย เรื่องนี้เป็นราชโองการของฝ่าบาท ข้ามิอาจช่วยได้” ทหารหนุ่มพยายามปฏิเสธ

“เอาไงดี จะให้ข้าไปปลอมตัวตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว” เมิ่งชงหยวนชะโงกหน้าออกมาถาม

“จะให้ข้าพาท่านหนีออกไป วรยุทธ์ท่านก็กระจอกกว่าเด็กห้าขวบเสียอีก” จินหลงพึมพำเสียงเบา นั่งฟังหนานจิงโต้เถียงกับทหารที่อยู่ด้านข้าง

เจ้าตัวแสบสอดมือเข้าไปยังแขนเสื้ออีกข้าง ทำท่าจะเอาบางอย่างออกมา แต่ก็นิ่งคิดพักหนึ่ง

“ท่านจะทำอะไร?” เมิ่งชงหยวนถาม ทว่าจินหลงยังคงนิ่งไม่พูดอะไร

เอาวะ! เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชีวิตคนมากมาย ต่อให้ทิ้งเด็กพวกนั้นไว้ ก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าโรคนี้จะไม่แพร่ระบาดออกไป

“หนานจิง เจ้าไปดูพวกเอ้อหู่เถอะ เดี๋ยวข้าจัดการเสร็จแล้วเจ้าค่อยกลับมา” จินหลงไล่

“แล้วเจ้าจะจัดการได้หรือ?” หนานจิงเป็นกังวล จินหลงนิ่งไปพักหนึ่ง

“อืม คิดว่าคงจัดการได้แหละ” ใบหน้าขององค์ชายน้อยดูตึงเครียดนัก หนานจิงเห็นเช่นนั้นจึงกระโดดลงจากรถมา เพื่อไปหาเพื่อนทั้งสาม โดยไม่วายหันกลับมามองจินหลงอีกครั้ง

จินหลงหันมาสนใจทหารตรงหน้า เขาหยิบตราประจำตัวออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้อีกฝ่ายดู

“แล้วหากเป็นข้ารับรอง ท่านจะให้ท่านหมอเมิ่งผ่านไปได้หรือไม่” ทหารหนุ่มรับตรามาดู

“นี่ตราอะไร” องค์ชายน้อยถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไรไม่รู้ของวัน

“เอาตรานี่ไปให้หัวหน้าพวกเจ้าดู ข้าเชื่อว่าเขาต้องรู้จักตรานี่แน่” ทหารหนุ่มมองจินหลงตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่อยากเชื่อว่าเด็กมอมแมมตรงหน้าจะมีตราอะไรได้

“เจ้าไปขโมยตราใครมา” เด็กน้อยกลอกตามองบน

“ข้าไม่ได้ขโมย ข้าบอกให้เอาตราไปให้หัวหน้าเจ้าตรวจสอบ ก็เอาไปสิ” ..อย่าให้ต้องมีน้ำโหนะเห้ย!

“ได้ ไว้หัวหน้าข้าตรวจสอบดู ก็คงรู้ว่าเจ้าไปเอาตราใครมา” ทหารหนุ่มตะโกนบอกเพื่อนให้เรียกหัวหน้ามา ท่านหมอเห็นบรรยากาศมาคุจึงสะกิตองค์ชายน้อย

“นี่ท่านเอาตราราชวงศ์ไปยื่นเลยหรือ?” ท่านหมอไม่อยากเชื่อ จินหลงนั่งไขว่ห้างหันมาตอบ

“ก็ใช่น่ะสิ ก็มีแต่ตราราชวงศ์ของข้าไหม ที่มีมีโอกาสพาท่านออกไปมากที่สุด” จินหลงเอนหลังพิงรถม้า

“แต่ท่านอุตส่าห์เก็บความลับมานานเลยนะ ขืนเรื่องนี้เข้าหูฮ่องเต้ มีหวังท่านโดนทำโทษแน่” เจ้าตัวแสบเลิกคิ้ว

“โดนก็โดนสิ ยังไงก็ไม่ถึงตาย แถมมีอะไรก็ให้เจ้าอ้างๆ ไป ว่าข้าบ้า ข้าทำไปไม่รู้ตัว” จินหลงโยนเรื่องกลับมาที่ท่านหมอ

“..นี่ท่านเห็นข้าเป็นกำบังหรืออะไร!” ท่านหมอโวยวาย

รอได้ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจากค่ายทหาร หัวหน้าหน่วยตรวจการรีบวิ่งกระหืดกระหอบมาดูพร้อมกับตราของจินหลง ด้านหลังมีขุนนางไม่คุ้นหน้าวิ่งตามมาคนหนึ่ง

“เจ้าของตรานี่อยู่ที่ไหน!” หัวหน้าทหารหันมาถามทหารหนุ่มที่ฉงน เขาจึงชี้มาที่จินหลง

“เด็กนี่ครับท่าน ไม่ทราบว่านี่คือตราอะไร เหตุใดท่านต้องรีบร้อนเช่นนี้” ทหารหนุ่มตอบและถามกลับ ทว่าหัวหน้าทหารไม่สนใจ รีบหันไปมองหน้าจินหลงบนรถม้า สายตาไม่อยากเชื่อว่าเด็กคนนี้จะเป็นเจ้าของตรา

“ขุนนางอู๋ ท่านดูที เด็กคนนี้ใช่คนผู้นั้นจริงหรือไม่?” หัวหน้าทหารวัยกลางคนหันไปทางขุนนางที่ตามมา เมื่อได้ยินคำเรียกนั้น จินหลงจึงหน้าถอดสี ก่อนจะหันไปมองหน้ากันกับเมิ่งชงหยวน

“ข..ขุนนางอู๋หรือ?” จินหลงหน้าถอดสี แทบกระอักเลือด ทำไมเขาขว้างงูไม่เคยจะพ้นคอเล๊ยยยย

“อย่าบอกนะว่าท่านคือท่านพ่อของคุณชายอู๋เจียงสง” น้ำตาเจ้าตัวแสบแทบจะไหลพราก

“เจ้าลูกจักลูกชายข้าด้วยหรือ” คุณนางอู๋หยั่งเชิง

“ฮือออ ยิ่งกว่ารู้จักอีกกก ท่านห้ามบอกเจียงสงเชียวนะ ว่าข้าหนีออกมานอกวังแบบนี้ ขืนเขารู้ล่ะก็ มีหวังได้ตามลากตัวข้ากลับวังแน่!” จินหลงแหกปากโวยวาย แต่เนื้อหาที่ออกมา ทำให้คุณนางอู๋ตะลึง เขารีบคุกเข่าถวายความเคารพ

“ถวายบังคมพะยะค่ะองค์ชายสี่ ขออภัยที่กระหม่อมไม่ได้เตรียมการต้อนรับพระองค์!” ท่าทางของขุนนางอู๋ทำเอาหัวหน้าทหารต้องรีบคุกเข่าทำความเคารพตาม สร้างความตกใจให้กับทุกคนยิ่งนัก

“พวกเจ้ารีบคุกเข่าเร็วเข้า ไม่เห็นหรือไงว่าองค์ชายสี่เสด็จมาเยือน!” หัวหน้าทหารเอ็ด ทำเอาเหล่าลูกน้องต้องรีบคุกเข่าตามด้วยความงุนงง

เด็กมอมแมมเนี่ยนะองค์ชาย?!

“ไม่ต้องมากพิธีหรอก ทีนี้ให้ข้ากับท่านหมอผ่านไปได้หรือยัง?” จินหลงรีบเข้าประเด็น

“..เรื่องนั้นเกรงว่า..” หัวหน้าทหารหันไปมองหน้ากันกับขุนนางอู๋

“ขนาดมีข้ารับรองยังผ่านได้อีกหรือ?” เจ้าตัวแสบหงุดหงิด

ทำไมเรื่องมันยากขนาดนี้วะ!

“กระหม่อมขอเรียนถามได้หรือไม่ เหตุใดองค์ชายจึงคิดขัดราชโองการ พาท่านหมอเมิ่งชงหยวนออกนอกเมือง?” ขุนนางอู๋ถาม จินหลงนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบ

“คุยที่นี่ไม่สะดวกนัก พวกเจ้าช่วยจัดที่ที่เป็นส่วนตัวที แล้วห้ามใครแพร่งพรายเรื่องที่ข้ามาที่นี่เด็ดขาด” องค์ชายน้อยสั่งการ ก่อนจะกระโดดลงจากรถม้า และเดินตามขุนนางอู๋ไปยังกระโจมแห่งหนึ่งพร้อมกับท่านหมอเมิ่ง

เมื่อเข้ามาในกระโจม จินหลงจึงเริ่มเล่าทันที

“จริงๆ ข้าก็ไม่ค่อยอยากให้ใครรู้เรื่องนี้นักหรอก แต่ข้าบังเอิญไปพบเด็กกำพร้ากลุ่มหนึ่งนอกเมือง พวกเขาดูเหมือนจะติดโรคระบาดมาจากต่างเมือง โรคนี้รุนแรงนัก จึงคิดให้ท่านหมอเมิ่งไปรักษาก่อนโรคเหล่านั้นจะแพร่ระบาดเข้าเมือง” จินหลงไม่ปิดบัง

“ท่านหมายถึงโรคอะไรกัน?” ขุนนางอู๋ถามต่อ จินหลงจึงหันไปมองหน้าท่านหมอเมิ่ง ก่อนจะตอบพร้อมกัน

“กาฬโรค”

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด