ตอนที่แล้วบทที่ 5: ผีไร้ร่าง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 7: ชุมชนประตูตะวันตก

บทที่ 6: เงื่อนงำในความตาย


บทที่ 6: เงื่อนงำในความตาย

“จำไว้นะว่าเจ้าไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ พี่จะจัดการกับมันเอง” เฉินเจียวย้ำกับน้อง ก่อนที่จะเดินจากไป เด็กแซ่เฉินพยายามรั้งพี่สาวตัวเองไว้

“ท่านพี่ อย่าไป ข้าจะช่วยจัดการมัน ให้ข้าช่วย...” เสียงเด็กน้อยกลืนหายไปกับความมืดเช่นเดียวกับที่ร่างของเฉินเจียวลับหายไปจากสายตา

เด็กน้อยเดินสับสนน้ำตาเริ่มรินไหล แต่มือเล็กๆ นั่นปาดมันออกทันที ฉับพลันรอบกายสว่างขึ้น เด็กน้อยพบตัวเองกำลังยืนอยู่บนถนนใกล้กับหอซือเซียน สักพักเกิดเสียงกรีดร้องจากที่นั่น ผู้คนเริ่มวิ่งกรูกันเข้าไป เด็กน้อยหันไปถามคนใกล้ตัว

“เกิดอะไรขึ้น ข้างในมีอะไร?”

“พี่สาวเจ้าตายแล้ว! นางถูกฆ่าตัดคอ หม่าซือเต้าเป็นคนทำ!!”

เด็กน้อยรีบวิ่งเข้าไปในที่เกิดเหตุ แต่ถูกกันไว้ไม่ให้เข้าไปในห้อง เด็กน้อยเห็นร่างเปื้อนเลือดของใครคนหนึ่งถูกผ้าคลุมปิดไว้ แม้จะไม่เห็นว่าเป็นใคร แต่เด็กน้อยจำมือที่มีแผลเป็นจากน้ำร้อนลวกนั่นได้ รอยที่พี่สาวช่วยตัวเองเอาไว้จนทำให้เกิดแผล

ความเสียใจถาโถม แม้ปากจะพร่ำย้ำว่าไม่จริง แต่ก็ไม่เปลี่ยนสิ่งที่เกิดขึ้น รอบตัวเกิดเสียงมากมาย หนึ่งในนั้นเป็นเสียงของเถ้าแก่เนี้ยเจ้าของหอซือเซียน

“เจ้าไม่ต้องกลัวนะ ข้าจะดูแลเจ้าเอง” แต่เด็กน้อยไม่สนใจฟัง

“รีบพาตัวออกไป ใครปล่อยให้เด็กเข้ามา” มีเสียงอีกมากที่ดังอื้ออึงและหนึ่งในนั้นคือเสียงของคนที่ตนเกลียดชัง

“ข้าไปก่อนนะ” เด็กน้อยหันไปมอง เห็นหม่าซือเต้าหลบออกไปจากที่เกิดเหตุ ไม่รอช้าจึงรีบวิ่งตามไป

แต่แล้วความมืดก็กลับมาอีกครั้งทำให้เด็กน้อยไม่เห็นอะไร ทุกอย่างคล้ายถูกกลืนกินหายไปในหลุมลึกไร้ก้นรวมทั้งตนเอง

เด็กแซ่เฉินสะดุ้งตื่นขึ้นเพราะเสียงของเฉาเกา

“ข้ามาพบท่านหม่า” จิ้งเหลนเจ้าเล่ห์บอกกับบ่าวของเศรษฐีที่หน้าประตูจวน ก่อนที่จะได้รับการเชื้อเชิญเข้าไปด้านใน

เด็กน้อยรีบขยับตัวลุกขึ้น พยายามมองหาว่ามีทางลอบเข้าไปภายในหรือไม่ หลังจากที่เมื่อวานตามมาถึงนี่แต่อ่อนเพลียจนเผลอหลับไปเสียก่อน เด็กน้อยสาบานกับตัวเองว่าจะจัดการกับหม่าซือเต้า เพื่อล้างแค้นให้กับพี่สาวและโศกนาฏกรรมที่เกิดกับตระกูลของตน

..............................................

 

 

เสียงนกร้องและแสงแดดจากด้านนอกบอกให้รู้ว่าตอนนี้เป็นรุ่งเช้าของวันใหม่ ในเวลาเดียวกันกับที่เฉาเกาไปหาหม่าซือเต้า แต่โจวหม่าจงกลับต้องมายืนอยู่ที่หอนางโลมซือเซียนอีกครั้ง ด้วยเหตุที่เกิดซ้ำขึ้นเช่นเดียวกันกับเมื่อวาน เหตุคนตาย

เพราะปานแดงที่ต้นขาจึงสามารถระบุได้ว่าผู้ตายเป็นใคร หม่าจงกำลังอยู่ในห้องนอนของหนิงเฉิงอี้ ผู้เป็นทั้งเถ้าแก่เนี้ย ทั้งแม่เล้าของหอนางโลมและบัดนี้นางเป็นกระทั่งศพนอนตายสยดสยองอยู่ที่นี่ด้วย

โลหิตสีแดงฉานนองเต็มพื้น สภาพการณ์บอกชัดถึงการดิ้นรนต่อสู้ ช่องท้องของศพเป็นแผลเหวอะ อวัยวะภายในหายไปหลายส่วน เช่นเดียวกับนิ้วที่มือ มีร่องรอยของการกัดกระชากบริเวณปากแผลที่เหมือนกันทั้งสองจุด ทว่านอกเหนือจากที่กล่าวมาส่วนศีรษะของเฉิงอี้ก็หายไป ซ้ำบริเวณบาดแผลรอบคอยังเหมือนกันกับศพของเฉินเจียว

หรือฆาตกร จะเป็นคนเดียวกัน...

กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งจนทั่วห้อง แม้เปิดหน้าต่างระบายอากาศก็ไม่อาจช่วยให้ดีขึ้น ลูกน้องหลายคนต้องใช้ผ้าปิดจมูกไว้ แต่กระนั้นก็ยังมีคนทนไม่ไหวจนต้องวิ่งออกไปอาเจียน เมื่อทุกคนตรวจสอบครบถ้วน ลูกน้องคนหนึ่งถามรองหัวหน้าของตน

“พี่จง จะให้ยกศพกลับไปที่กองปราบเลยไหมครับ?” เสียงนกร้องเงียบหายไปแล้ว หม่าจงมองไปนอกหน้าต่างแล้ว ส่ายศีรษะแทนคำตอบ

“พวกเจ้าออกไปก่อน อย่าเพิ่งให้ใครเข้ามา ข้าต้องการใช้ความคิด” หลังบอกกล่าว ลูกน้องรับคำสั่งแล้วปฏิบัติตาม จนเมื่ออยู่เพียงลำพัง หม่าจงจึงนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น

“พี่ไป่ ในเมื่อมาถึงแล้วใยถึงไม่เข้ามาข้างใน จะยืนอยู่ด้านนอกให้เหล่านกน้อยต้องหวาดกลัวไปทำไม” สิ้นคำจอมยุทธ์แซ่ไป่ก็ปรากฏกายก้าวข้ามบานหน้าต่างมาด้านใน

สายตาผู้มาใหม่จับจ้องมือปราบเพื่อดูเชิงก่อนจะเดินไปสำรวจที่ศพเฉิงอี้ วูบหนึ่งสีหน้าของเขาดูกังวลแล้วก็กลับมาสงบนิ่งเช่นดังเดิม ทว่าเพียงชั่ววูบที่ผันเปลี่ยนนั้น หาได้พ้นสายตาหม่าจงไม่

“เมื่อคืนข้าได้ยินว่าศพที่ตายก็โดนตัดหัว”

“เป็นเช่นนั้น ทั้งสองศพถูกตัดหัวไปในลักษณะเดียวกัน เพียงแต่ว่าศพนั้นไม่สยดสยองเท่าศพนี้”

“เยี่ยงนั้นก็ชัดเจนว่าท่านน้าจิ่นสือบริสุทธิ์”

“ถูกของพี่ไป่”

“แล้วเหตุใดทำไมยังกักตัวเขาไว้”

“เพราะแค่บริสุทธิ์ยังไม่พอ” หม่าจงเอ่ยแล้วทอดถอนใจ จอมยุทธ์ไป่นิ่งเงียบคล้ายต้องการคำอธิบายเพิ่มเติม “เฉาเกา คนที่เมื่อคืนพี่ไป่จะฆ่าให้ตาย คือหัวหน้ามือปราบของที่นี่ ไม่เฉพาะท่านที่อยากทำ หลายคนที่นี่ก็เกลียดเขา ทว่าไม่มีใครสามารถทำอะไรได้ เพราะเขาเป็นคนของเสนาบดีฝ่ายพลเรือนในวังหลวง ครั้งนี้เขารับสินบนจากเศรษฐีหม่าซือเต้า ผู้ที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งของคดี จึงทำให้เขาใส่ร้ายหนานจิ่นสือซึ่งเป็นเพียงนายพรานจากหมู่บ้านชนบทว่าคือคนร้าย มันไม่เกี่ยวกับว่าหนานจิ่นสือจะบริสุทธิ์หรือไม่”

“ข้าจะไปฆ่าเฉาเกา”

“ไม่ต้องทำเช่นนั้น กับเฉาเกาข้ามีวิธีจัดการ เพียงแต่ยังไม่ใช่เวลานี้”

“ถ้าเช่นนั้นทำไมเจ้าไม่ไปจับหม่าซือเต้ามารับโทษ”

“จากบาดแผลของผู้ตายทั้งสอง หากเป็นพี่หรือข้าคงสามารถทำเช่นนั้นได้ ลงมือครั้งเดียวหัวขาดกระเด็น แต่กับเศรษฐีหม่าไม่มีทาง ถึงจะเป็นผู้ต้องสงสัย แต่ก็ไม่ใช่คนร้าย เขาอายุเกือบหกสิบ ไร้วรยุทธ์ ด้วยปัจจัยเหล่านี้ ข้าว่าเขาเป็นเพียงบุคคลที่อยู่ในที่เกิดเหตุมากกว่า”

“เช่นนั้นก็เท่ากับพยาน”

“ก่อนไปถึงจุดนั้น ขอข้าเรียนถาม ทำไมพี่ไป่ถึงออกตัวช่วยหนานจิ่นสือ” จอมยุทธ์แซ่ไป่นิ่งเงียบ แม้ในใจลึกๆ จะรู้ดีว่าเพราะภาพสองพ่อลูกแซ่หนาน ดูคล้ายกับภาพบิดาและตนเองในวัยเยาว์จนทำให้อยากช่วยเหลือ แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลหลักที่เขาอยากจะนำมาพูดถึง

“ท่านน้าจิ่นสือบอกว่าล่าหมีได้ด้วยความช่วยเหลือของคนปริศนาในชุดเสื้อคลุมเกล็ดมังกร เอ่อ... เสื้อคลุมสีขาว ข้ากำลังตามหาคนๆ นั้น”

“เป็นเช่นนั้นเอง นับว่ามีเหตุผล”

“บอกเรื่องคำให้การมา”

“หม่าซือเต้าบอกไม่รู้อะไร ตอนเกิดเหตุมืดมากและไม่มีใคร นอกจากเขากับผู้ตาย”

“ไม่ใช่ใคร แต่เป็นอะไรมากกว่า”

“พี่ไป่หมายถึง?” หม่าจงถามขึ้นอย่างสงสัย

“เจ้าไม่รู้หรือ”

“ข้าไม่รู้ โปรดพี่ไป่ช่วยชี้แนะ”ท่านน้าเป็นอย่

างไรบ้าง” จอมยุทธ์ไป่ตอบคำถามด้วยอีกคำถาม

“ข้าตามหมอมารักษาเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้พักอยู่ในจวนรับรองของกองปราบ ขอพี่ไป่โปรดอย่าได้กังวล” แม้พูดไปเช่นนั้น แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะยังไม่ต้องการเฉลยความที่หม่าจงสงสัย เขาจึงกล่าวเพิ่มเติม “อย่างที่ข้าชี้แจงให้พี่ไป่ทราบ การช่วยหนานจิ่นสือ ไม่เพียงแค่บอกว่าเขาบริสุทธิ์ก็ช่วยได้ แต่ต้องหาตัวการที่ก่อคดีนี้”

“ตอนนี้แผ่นดินจงหยวนไม่เหมือนเดิม มันไม่ได้มีแต่คน ยังมีสิ่งชั่วร้ายอื่นๆ ที่คาดไม่ถึง เจ้าบอกว่าแม้จะเป็นการตัดคอในลักษณะเดียวกัน แต่สภาพศพนี้เละเทะกว่า ถ้าเช่นนั้นเจ้าคิดว่าเป็นคนหรือ ที่กัดกินเครื่องในและนิ้วมือของนาง”

“ถึงจะเคยได้ยิน แต่ไม่เคยพบเจอ ที่พี่ไป่พูดหรือจะหมายถึงพวกสัตว์ป่าอสูรกายที่คนเล่าลือกัน” หม่าจงไม่แน่ใจที่อีกฝ่ายต้องการบอกจึงถามย้ำ

“นั่นเป็นสิ่งที่มือปราบเช่นเจ้าต้องหาคำตอบ”

ขอบเขตความเข้าใจของหม่าจงในตอนนี้มีเพียงการหาจุดเชื่อมโยงของผู้ลงมือ ว่าเหตุใดต้องฆ่าแม่นางเฉินเจียวและเถ้าแก่เนี้ยหนิงเฉิงอี้เท่านั้น แต่หากที่จอมยุทธ์ไป่พูดมาว่าสิ่งที่ลงมือไม่ใช่คน จะกลับกลายเป็นว่าจุดเชื่อมโยงนั้นไม่สำคัญ เพราะไม่แน่ว่าอะไรที่ว่าจะมีเหตุผลในการลงมือ

“ตอนนี้ฮุ่ยจือลูกของท่านน้าได้รับการดูแลจากท่านหมอแล้ว แต่ข้าต้องการให้เขาไปอยู่ดูแลลูกด้วยตัวเอง ข้าให้เวลาสามวัน หากไม่ปล่อยตัวท่านน้า ข้าจะบุกกองปราบพาเขากลับไปด้วยตัวเอง” จอมยุทธ์ไป่แสดงเจตนาชัดแจ้ง

“แต่ว่า...”

“สองวัน”

“เอ่อ... พี่ไป่”

“หนึ่งวัน หากเจ้ายังมีข้ออ้างในการทำงานอีก ข้าจะบุกไปกองปราบเดี๋ยวนี้เลย”

“ก็ได้! แต่ท่านต้องช่วยข้าในการนี้ด้วย”

“เจ้ามีแผน?”

“แน่นอนข้าย่อมมี และในแผนของข้าย่อมมีท่าน”

จอมยุทธ์ไป่มองมือปราบอย่างหยั่งเชิง รู้สึกคนผู้นี้แม้นิสัยจะนับว่าไม่เลว แต่ก็ดูจะมีเล่ห์เหลี่ยมไม่น้อย ส่วนหม่าจงนั้นคิดในใจว่า หากได้คนผู้นี้ไว้ใกล้ตัวคงไขคดีนี้ให้กระจ่างได้ในอีกไม่นาน

 

.........................................................

 

เฉาเกานั่งรอหม่าซือเต้าอยู่ในจวนรับรองมาค่อนเช้า จากอารมณ์ดีที่กำลังจะได้เงินก้อนโต บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นหงุดหงิด หรือเศรษฐีจะคิดตุกติกไม่ทำตามคำเจรจา

ระหว่างที่กำลังคิดกังวลหม่าซือเต้าก็เดินเข้ามาพร้อมกับใครอีกคนหนึ่งที่เฉาเกาไม่คุ้นหน้า ทว่ามีรูปลักษณ์ที่ติดตาโดยเฉพาะผมสีดอกเลานั่น

“ขออภัยมือปราบเฉาที่ปล่อยให้รอนาน พอดีข้ามีเหตุเร่งด่วนที่ต้องรีบสะสาง เลย...”

“ไม่ต้องมากความให้เสียเวลา ข้าเองก็มีงานด่วน รีบส่งเงินมาแล้วจะได้รีบแยกย้าย”

“นั่นแหละคือเรื่องที่ข้าจะบอกกับท่าน ผู้นี้คือท่านยู่ เป็นผู้ช่วยของข้า พอดีว่าตอนนี้ข้าไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้นติดตัว จะมีก็แค่ตั๋วแลกเงิน เขาจึงจะเป็นคนพาท่านไปรับเงินที่ร้านรับแลกเงินในเมือง”

“ไม่เห็นต้องยุ่งยาก ท่านก็เอาตั๋วแลกเงินมาให้ข้าเสียก็สิ้นเรื่อง”

“ท่านเข้าใจใช่ไหม ว่าท่านเรียกเงินจากข้าเพราะเหตุใด การรับตั๋วไปก็เท่ากับ... จะมีหลักฐานการจ่ายเงินจำนวนนี้ในตอนที่ท่านนำไปแลกเงินเอง ซึ่งถ้าหากมีการตรวจสอบในภายหลัง ไม่ใช่แค่ข้าเท่านั้นที่จะเดือดร้อน แม้แต่ตัวท่านเองก็คงโดนพาดพิงถึง เราทำอะไรที่มันยุ่งยากในตอนนี้ ดีกว่าจะต้องมายากลำบากในภายหลัง มันจะดูเหมาะสมกว่า ท่านก็คงเห็นด้วยใช่หรือไม่”

เฉาเกาจำนนด้วยเหตุผล เพราะถึงจะมีเส้นสายที่มั่นใจได้ว่าสามารถช่วยให้รอดพ้นในทุกเรื่องที่ทำ แต่เงินที่จะได้ในครั้งนี้ก็มากกว่าทุกทีที่ได้รับหลายเท่านัก ยังไงปลอดภัยไว้ก่อนน่าจะเหมาะสมกว่า

“กะก็ได้ งั้นก็ไปกันเลยเถิดจะได้ไม่เสียเวลา” เฉาเกาลุกขึ้นเพื่อเป็นการเร่งอีกฝ่ายทางอ้อม คนละโมบต้องการเงินเร็วขึ้นแม้จะแค่เพียงช่วงเวลาหนึ่งก้านธูปเดียวก็ตามที

ไป่ยู่กับซือเต้าลุกตาม ทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดไว้ หลังฟังเรื่องราวทั้งหมดที่สงสัยและน่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น ไป่ยู่ต้องการให้ซือเต้าเก็บตัวอยู่แต่ในจวนพักซึ่งเขาได้ลงคาถาป้องกันไว้ ส่วนตัวเขาจะไปไขปริศนาส่วนที่เหลือเพื่อให้คดีนี้กระจ่างทั้งหมด โดยเริ่มจากที่เกิดเหตุ จึงให้ซือเต้าแนะนำตัวเขากับเฉาเกา แต่ไม่ต้องเปิดเผยตัวจริงของไป่ยู่ให้อีกฝ่ายรู้ เพราะเขาต้องการกันความยุ่งยากบางส่วน

เมื่อทั้งสองมาถึงหน้าจวน มือปราบคนหนึ่งขี่ม้าเร็วมาถึงพอดี

“ใต้เท้าครับ พี่หม่าจงให้ข้ามาท่าน” ลูกน้องรายงานทั้งที่ยังเหน็ดเหนื่อย

“ตามทำไม ข้าไม่อยู่คนเดียวทำงานกันไม่ได้เลยหรือไง”

“มีคนตายอีกแล้วครับ คราวนี้เป็นเถ้าแก่เนี้ยหนิงเฉิงอี้ ตายแบบเดียวกันเลยครับ โดนตัดหัวเหมือนกับแม่นางเฉิน”

เฉาเกาได้ฟังก็หน้าเสีย รีบปรามให้อีกฝ่ายหยุดรายงาน เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในศพที่สองนอกจากจะเป็นการยืนยันว่าหนานจิ่นสือบริสุทธิ์ มันยังบอกอีกสิ่งหนึ่งด้วยเช่นกันว่า หม่าซือเต้าก็ไม่ใช่ฆาตกร และเมื่อเป็นเช่นนั้นเศรษฐีก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินสินบนก้อนนี้

เฉาเการีบหันไปหาไป่ยู่ ภาวนาให้อีกฝ่ายไม่ได้ยิน แต่ก็เป็นเพียงเรื่องเหลวไหล ในเมื่อลูกน้องตนพูดเสียงดังขนาดนั้น ไป่ยู่ได้ฟังข่าวใหม่เช่นนั้นก็รู้สึกยิ่งเข้าแผนตน เขาบังคับม้าให้เข้าไปใกล้อีกฝ่ายแล้วกระซิบบอก

“เรื่องที่ได้ฟังเมื่อครู่ น่าสนใจไม่ใช่น้อย”

“ไม่ได้น่าสนใจอะไรหรอกน้องยู่” เฉาเกาแสร้งยิ้ม

“อย่าดูแคลนข้าเช่นนั้นพี่เฉา เรื่องที่พี่คิดได้ ใยข้าจะคิดไม่ได้” เฉาเกาฟังแล้วหน้าเสีย เงินก้อนใหญ่กำลังจะหลุดลอยหายไปในพริบตา “แต่เรื่องนี้เราน่าจะคุยกันได้จริงไหม”

“นะน้องยู่หมายถึง?”

“ก็หากท่านไม่พูด ข้าไม่พูด ท่านหม่าจะรู้ได้เช่นใดว่า...” ไป่ยู่ละคำพูดไว้แค่นั้น “แล้วที่นี่เงินตั้งขนาดนี้ หากเราจะมีน้ำใจแบ่งปันกัน ก็นับว่าประเสริฐยิ่ง พี่เฉาเห็นด้วยกับข้าไหม”

เฉาเกาได้ฟังก็เข้าใจในความคิดของอีกฝ่ายทันที เขาหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างพึงพอใจ ถึงต้องแบ่งแต่ก็นับว่ายังได้ ดีกว่าอดทั้งหมด

“น้องยู่นับว่าเป็นยอดคน นับเป็นยอดคน พี่เฉาคนนี้นับถือๆ”

“เพียงแต่ว่าข้ามีเรื่องอยากไหว้วานรบกวนพี่เฉาสักเล็กน้อย”

“ได้ทั้งนั้น น้องยู่ต้องการอะไรบอกพี่เฉาคนนี้ได้เลย” ไป่ยู่ได้ฟังก็ลอบยิ้ม

ทั้งหมดควบม้าจากไป บ่าวรับใช้กำลังจะปิดประตูก็ได้ยินเสียงแปลกๆ ดังขึ้นจากทางด้านขวา จึงเดินไปดู เด็กแซ่เฉินอาศัยจังหวะนี้วิ่งออกมาจากที่หลบซ่อนลอบเข้าไปในจวนแล้วรีบหาที่เร้นกาย บ่าวรับใช้เดินกลับมาด้วยความงุนงงว่าไม่พบอะไรจึงปิดประตูแล้วกลับเข้าจวน เด็กน้อยมองตาม คิดในใจว่าต้องรอเวลาอีกนิด

 

......................................................

 

เย่วเล่อนั่งกินข้าวอยู่ในห้องพักของเย่วหลาน หญิงคณิกาที่ทำงานในหอซือเซียน เด็กน้อยกินมูมมามท่าทางหิวโซจนพี่สาวต้องเช็ดปากที่เลอะเปื้อนให้ เด็กน้อยหันมายิ้มให้กับพี่ก่อนจะหน้าซึมลง

“เป็นอะไรหรือ” เย่วหลานถามน้องสาวตนเอง

“เดี๋ยวข้าก็ต้องออกไปแล้วใช่ไหมท่านพี่” เด็กน้อยถามขึ้นอย่างเศร้าโศก เพราะที่แห่งนี้ไม่ยินยอมให้เด็กเข้ามา ชั่วชีวิตนาง นี่นับเป็นเพียงครั้งที่สองเท่านั้นที่ได้เข้ามา

ที่นี่สวยงามและมีของอร่อยๆ ให้กิน เย่วเล่อไม่อยากกลับออกไปแล้วต้องไปใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านไม้ผุๆ ไร้ของกินดังเช่นทุกวันอีก หากเลือกได้เด็กน้อยอยากอยู่ที่นี่

เย่วหลานลูบศีรษะน้องสาว เอ็นดูในความเดียงสา ก่อนจะเชยคางของอีกฝ่ายขึ้น แม้จะยังเป็นเด็กน้อยแต่หากนับตามปี ตอนนี้น้องสาวก็อายุร่วมสิบสามย่างสิบสี่แล้ว

“ไม่ต้องแล้ว ข้าจะให้เจ้าอยู่ที่นี่”

เย่วหลานคิด นอกจากเฉินเจียวจะตายไป กระทั่งหนิงเฉิงอี้ก็ยังมาตายตาม ที่นี่ไม่มีทั้งอันดับหนึ่งและเจ้าของ หากไม่คว้าโอกาสนี้ไว้ก็คงโง่เขลาเต็มที่ นางตั้งใจ จะทำทุกอย่างเพื่อครอบครองหอซือเซียน ทำทุกอย่าง...

 

.....................................................

 

ซื่อเหนียงหญิงคณิกาตกอันดับของหอซือเซียนเก็บตัวอยู่ภายในห้อง นางตัวสั่นหวาดกลัวอยู่ใต้ผ้าห่มบนเตียงนอน เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน สักพักคล้ายได้ยินเสียงๆ หนึ่ง

“ข้ากลัวแล้ว ข้ากลัวแล้ว อย่ามาหลอกหลอนกันอีกเลย ข้ากลัวแล้ว” นางพร่ำพูดอยู่แต่ประโยคเดิมซ้ำๆ

ในความคิดมีภาพหนิงเฉิงอี้โดนฆ่าตายอย่างสยดสยองที่ตนเองได้เห็นมา เหตุการณ์นั้นวนเวียนจนทำให้ความกลัวถาโถมเข้าสู่จิตใจ

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด