ตอนที่แล้วบทที่ 6: เงื่อนงำในความตาย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 8: ชะตาอาภัพของเฉินเจียว

บทที่ 7: ชุมชนประตูตะวันตก


บทที่ 7: ชุมชนประตูตะวันตก

ช่วงเวลา... ก่อนฟ้าสางในขณะที่ยังไม่มีคนพบศพหนิงเฉิงอี้ เถ้าแก่เนี้ยของหอซือเซียนนอนตายอย่างน่าสยดสยอง ขณะนั้นที่ชุมชนทางประตูทิศตะวันตกของหัวเมือง หลูจิวฝูตื่นขึ้นมาเพื่อเตรียมวัตถุดิบในการขายเซาปิ่งของวัน

แสงยังไม่โผล่พ้นจากขอบฟ้า จันทรายังไม่ลับหาย มีหมอกหนาอยู่รอบกาย ทำให้อากาศรอบตัวเย็นชื้น บ้านของคนแถบนี้เป็นบ้านไม้ชั้นเดียว เก่าโทรมตามสถานะของผู้คน จิวฝูเดินออกมาที่หน้าบ้านหยิบนั่นจับนี่ ตั้งใจว่าจะไปนวดแป้งต่อหลังจากนี้ ใจเขายังนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่ตัวเองไม่กล้าเข้าไปห้ามซื่อเหนียงแย่งเซาปิ่งจากเด็กทั้งสอง มีเสี้ยวหนึ่งในความคิดที่เขายังรู้สึกว่าควรจะทำอะไรบางอย่างในตอนนั้น แต่ก็เหมือนเช่นทุกครั้งที่เขาเป็น ไม่กล้ามากพอ...

ระหว่างที่กำลังจมปรักอยู่กับปมที่ติดค้าง เสียงบางอย่างดึงความสนใจให้หันไปมอง ในความมืดร่างของสตรีนางหนึ่งกำลังก้มลงทำบางอย่าง

“ใครน่ะ?!” จิวฝูถาม คล้ายได้กลิ่นเน่าเหม็นของซากสัตว์ลอยมาตามลม

ไม่มีเสียงตอบ สตรีนางนั้นยังคงนั่งอยู่เช่นเดิมจนคนขายเซาปิ่งอดสงสัยไม่ได้ เขาเดินเข้าไปหาอย่างช้าๆ พร้อมตะเกียงไฟในมือ ไม่ได้คิดถึงโจรผู้ร้ายเพราะรู้อยู่แก่ใจว่า พวกนั้นไม่ปล้นคนอยู่สองประเภทคือพวกโจรด้วยกันกับคนจน ซึ่งที่แถบนี้มีเพียงคนสองประเภทนั้น สิ่งที่เขากำลังคิดคือสตรีนางนั้นอาจบาดเจ็บและต้องการความช่วยเหลือหรือไม่

เขาคิดถูก สตรีนางนั้นบาดเจ็บ เมื่อจิวฝูเดินเข้าไปใกล้ กลิ่นเน่าเหม็นยิ่งรุนแรง เลือดไหลนองเป็นแอ่งอยู่เต็มพื้น

“มะ แม่นาง เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า บะ บาดเจ็บเหรอ?” ตะเกียงไฟถูกยื่นออกไปเพื่อให้ความสว่าง

สิ้นคำถาม สตรีนางนั้นหยุดกระทำในบางสิ่งแล้วหันมา จิวฝูดวงตาเบิกโพลงอ้าปากค้าง จำได้ว่าใบหน้านั้นคือ หนิงเฉิงอี้ แม้จะมีรอยแผลฉีกขาดของผิวเนื้อกินลึกเข้าไปจนเห็นกระดูกบริเวณโหนกแก้ม เขาก็ยังจำนางได้ แม้ใบหน้านั้นจะเต็มไปด้วยเลือดเลอะท่วมปากและมีฟันแหลมคม เขาก็ยังจำนางได้ ถ้าหากเพียงว่าใบหน้านั้นและศีรษะของนางจะอยู่ในที่ที่ควรอยู่เขาคงแน่ใจว่าเป็นนางแน่นอน

ร่างกายผ่ายผอมส่งกลิ่นเน่าเหม็น ไม่มีศีรษะอยู่บนบ่า หากแต่กำลังโอบอุ้มศีรษะนั้นไว้ในมือ จิวฝูก้าวถอยหลังหวาดผวา สองเท้าลื่นไถลเพราะเลือดที่ไหลเต็มพื้น ตะเกียงไฟในมือกลิ้งหลุดไปด้านหน้า เผยให้เห็นว่าศีรษะของหนิงเฉิงอี้กำลังกัดกินร่างของใครบางคน เขาไม่รอดูเพื่อให้รู้ว่าเป็นใคร รีบลุกขึ้นวิ่งหนีกลับเข้าไปในบ้านของตัวเองทันที หนิงเฉิงอี้ไม่ได้ตามไป นางเพียงหันกลับไปกัดกินอาหารของตนเช่นเดิม

 

.............................

 

ช่วงเวลา... หลังจากที่ไป่ยู่ได้เดินทางมาที่กองปราบพร้อมกับเฉาเกา เพราะคำร้องขอของไป่ยู่คือต้องการไปดูศพของผู้เสียชีวิต หัวหน้ามือปราบไม่ขัดข้องซ้ำยังเอาใจอีกฝ่ายเต็มที่ เวลานั้นมีลูกน้องคนหนึ่งมารายงานโจวหม่าจง ว่าหัวหน้ามือปราบกลับมาแล้ว

หม่าจงจึงขอให้จอมยุทธ์ไป่ที่อยู่กับตนหลบอยู่ในหอซือเซียนก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์วุ่นวายที่เป็นผลพวงจากเรื่องเมื่อคืน จอมยุทธ์ไป่ไม่ขัด หม่าจงจึงสั่งให้ลูกน้องยกศพของหนิงเฉิงอี้กลับกองปราบ เมื่อไปถึงที่นั่น เขาพบเฉาเกายืนอยู่นอกห้องเก็บศพ

“ท่านมาทำอะไรอยู่ที่นี่?” หม่าจงถามตรงประเด็นเพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรลับหลังจนส่งผลเสียแบบเมื่อคืนอีก

“ทำไม ข้าจะอยู่ตรงไหนหรือทำอะไรก็เรื่องของข้า” เฉาเกาตอบอย่างไม่แยแส

หม่าจงไม่ต่อคำ มือกุมด้ามดาบค่อยๆ เลื่อนออกจากฝักทีละน้อย

“ขะ ข้าพาคนมาตรวจดูศพแม่นางเฉินน่ะ เจ้าใจเย็นๆ นะ”

“ใคร!?”

ไม่ทันได้คำตอบ เสียงจากภายในห้องเก็บศพก็ดังขึ้น รองหัวหน้ามือปราบจึงเดินเข้าไปดู

ห้องนี้อยู่ชั้นใต้ดินของกองปราบ กำแพงรอบด้านปิดทึบเพราะสองเหตุผล หนึ่งเพื่อให้อากาศเย็นชื้นจากผิวดินรักษาอุณหภูมิของศพ สองเพื่อจำกัดกลิ่นให้อยู่เพียงภายใน เพราะฉะนั้นแสงสว่างที่มีจึงมาจากไฟที่จุดไว้บนเทียนเท่านั้นและมันก็ไม่ได้มีมากเกินไปกว่าคำจำกัดความว่าสลัวราง

ในนั้นสิ่งที่หม่าจงเห็นคือชายผมสีดอกเลาในชุดเสื้อคลุมสีขาว ใบหน้าอ่อนเยาว์ราวอิสตรี งดงามจนสะกดให้หลงใหล คนผู้นั้นหันมามองก่อนจะละจากศพที่ตรวจอยู่ สองมือยกผสานคำนับเขา หม่าจงได้สติจึงกล่าวถาม

“เจ้าคือ...?”

“ข้าน้อยมีนามสั้นๆ ว่ายู่ เป็นผู้ช่วยที่ท่านหม่าส่งมาเพื่อตรวจสอบบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน”

เช่นนั้นหม่าจงจึงได้เข้าใจว่าทำไมเฉาเกาถึงได้ยอมให้เข้ามา

“เจ้าไม่ควรเข้ามาที่นี่”

“เป็นเหตุสุดวิสัย ของท่านมือปราบโปรดเข้าใจ แต่ไม่ต้องกังวล ข้าน้อยกำลังจะกลับออกไป ถ้าเพียงแค่...”

“แค่... อะไร” จังหวะนั้นลูกน้องของเขาแบกร่างของหนิงเฉิงอี้ที่มีผ้าคลุมปิดไว้เข้ามาในห้องพอดี ไป่ยู่มองแล้วกล่าว

“แค่ท่านยอมให้ข้าน้อยตรวจอีกศพที่เกิดขึ้นจากคดีนี้” หม่าจงนึกสงสัยทันทีว่าอีกฝ่ายรู้ได้เช่นไร ไม่รอให้ถาม ไป่ยู่เฉลยความ “ก่อนที่พี่เฉาจะกลับมาที่นี่ มีคนไปรายงานว่าเกิดเหตุขึ้นอีก”

พี่เฉา’ เรียกเสียสนิทปาก หม่าจงคิดในใจพาลทำให้รู้สึกไม่ถูกชะตากับคนเบื้องหน้าในทันใด

“เจ้าตรวจร่างแม่นางเฉินแล้วพบอะไร”

“กระทำการโหดเหี้ยม เต็มไปด้วยแรงพยาบาท ลงมือเพียงครั้งเดียว สิ้นใจไม่ทันรู้ตัว”

“เช่นนั้นก็เพียงพอแล้ว เพราะอีกศพก็ไม่ต่างกัน” หม่าจงกล่าว ไป่ยู่ยิ้ม

“ขอใต้เท้าอย่าเพิ่งใจร้อน ข้าน้อยยังกล่าวไม่หมด ศพเริ่มเน่า เพราะเสียชีวิตมาหลายชั่วยาม ทว่าเนื้อรอบลำคอยังไม่ตาย หากกดลงไปยังมีเลือดไหลออกมาจากบาดแผล เกินกว่านี้อาจเป็นเรื่องที่ไม่สามารถอธิบายได้ชัดในแบบที่จับต้องได้ แต่กลิ่นของเนื้อที่ยังไม่ตายมีกลิ่นเน่าเหม็นยิ่งกว่าส่วนอื่นของร่างกายที่ตายไปแล้ว”

หม่าจงคิ้วขมวดแน่น นึกถึงเรื่องที่จอมยุทธ์ไป่พูดถึงว่าเรื่องนี้ว่าคำถามอาจไม่ใช่ ‘ใครทำ’ แต่เป็น ‘อะไรทำ’ มากกว่า

“เจ้าหมายถึง...?”

“ข้าน้อยยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่กระทำเรื่องนี้เป็นอะไร แต่มั่นใจว่ามันไม่ใช่คน”

ไม่ทันที่รองหัวหน้ามือปราบจะได้ถามไถ่ให้รู้ความ เกิดเสียงเอะอะดังโวยวายขึ้นจากด้านนอกของห้อง หม่าจงเดินออกไปดูพร้อมกับลูกน้องที่แบกศพเข้ามา ไป่ยู่จึงถือโอกาสเดินไปเปิดผ้าคลุมศพของหนิงเฉิงอี้เพื่อสำรวจ สีหน้าเขามีแววคล้ายเข้าใจในบางเรื่อง เสียงเอะอะยังคงดังอยู่

“พี่จงเกิดเรื่องใหญ่แล้ว” ลูกน้องคนหนึ่งรายงานเหตุกับหม่าจง ทั้งที่เฉาเกายืนอยู่ทนโท่ “มีคนจากชุมชนทางประตูตะวันตกมาแจ้งข่าวว่าเกิดเหตุสังหารหมู่ขึ้นที่นั่น”

“เป็นพวกไหนกระทำ!! มองโกลเหรอหรือแคว้นต้าเว่ย”

“คนที่มาแจ้งข่าวบอกว่าเป็นผะ ผีไร้ร่าง” ทุกคนได้ฟังต่างนิ่งอึ้ง มีเพียงเฉาเกาที่เปล่งเสียงหัวเราะลั่น

“ผายลมชัดๆ อะไรคือผีไร้ร่าง?”

"ข้าก็ไม่ทราบ เขากล่าวเช่นนี้"

"สั่งคนให้จับไอ้คนแจ้งข่าวโบยยี่สิบไม้แล้วค่อยขังคุก”

“ทะ ทำไม่ได้แล้วครับใต้เท้า คนที่มาแจ้งข่าวตายแล้ว เขาบาดเจ็บแขนขาดเสียเลือดไปมากจึงทนพิษบาดแผลไม่ไหว พอพูดจบก็เสียชีวิตทันที” เฉาเกาได้ฟังรายงานก็เงียบปากลงเพราะตระหนก ทุกคนเริ่มมองหน้ากันอย่างสับสน

หม่าจงไม่รอช้าเดินขึ้นบันไดไปที่ชั้นบนทันที ลูกน้องทุกคนเร่งเดินตาม มีเพียงเฉาเกาที่ละล้าละลัง จนไป่ยู่เดินออกมาจากห้อง เขาได้ยินทั้งหมดเมื่อครู่แล้วจึงเดินตามไปอีกคน เฉาเกาที่ถูกทิ้งรั้งท้ายหมดทางเลือกอื่นนอกจากเดินไปด้วย ระหว่างนั้น สายตาของไป่ยู่เห็นคนคุ้นหน้า ซุนเถาและน้องสาวของฮูหยินเขา คงเพราะหมู่บ้านที่จิ่นสืออาศัยอยู่ใต้เขตปกครองของที่นี่ ทั้งสองจึงถูกพามาตัดสินโทษที่กระทำไว้

เมื่อไป่ยู่เดินขึ้นไปถึงชั้นบน พบเห็นศพของคนแจ้งข่าวนอนตายอยู่กลางลานของกองปราบ หม่าจงสั่งคนให้นำผ้ามาคลุมศพแล้วพาไปเก็บให้เรียบร้อย ก่อนจะแบ่งหน้าที่ให้มือปราบจำนวนหนึ่งตามตนไปที่ชุมชนประตูตะวันตก เขาคิด ต่อให้สิ่งที่สังหารคนที่นั่นจะเป็นคนแคว้นอื่นหรืออะไรก็ตาม ต้องไปพิสูจน์ให้เห็นกับตาก่อน

ไป่ยู่มองดูพลางนึก คนผู้นี้ท่าทางไม่เลว มีความสง่า องอาจและเป็นผู้นำ ผิดกับคนที่เพิ่งเดินตามหลังตนขึ้นบันไดมา

“น้องยู่ น้องพอใจกับการดูศพแล้วใช่หรือไม่ พี่ว่าเราควรจะไปขึ้นเงินที่ร้านแลกเงินเพื่อเรื่องค้างคาจะได้หายคาใจไปเสียที”

“พี่เฉาร้อนใจไปใย เงินทองใช่มีขาได้เดินหนี” ไป่ยู่ตบที่อกเสื้อของตน เพื่อสื่อว่าตั๋วแลกเงินไม่หายไปไหน “ข้ายังอยากดูศพอีก”

“น้องยู่หมายถึง... ??” เฉาเกาไม่พูดต่อ กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็นหวังว่าอีกฝ่ายจะไม่ทำอย่างที่ตนคิด ไป่ยู่ยิ้มให้ แล้วหันไปพูดกับหม่าจง

“ท่านมือปราบ ข้าขอติดตามไปด้วย”

“เหตุใดข้าต้องยินยอม” หม่าจงถามกลับ เฉาเกาลอบยิ้มอย่างยินดี ในใจคิดว่านิสัยขัดขาชาวบ้านของรองหัวหน้าจะช่วยให้ตนสะดวกขึ้นในเวลานี้ แต่พอเห็นไป่ยู่หันมายิ้มให้ จิ้งเหลนเจ้าเล่ห์เช่นเขาก็รู้ทันทีว่ามีคนที่เหลี่ยมจัดยิ่งกว่าตน

“เพราะพี่เฉาต้องการเช่นนั้น” หม่าจงฟังคำตอบของไป่ยู่ จึงหันไปมองเฉาเกาเห็นอีกฝ่ายแสยะยิ้มแปลกพิกล แต่เพราะกาลเร่งด่วนจึงไม่คิดต่อคำให้เสียเวลา

“อยากไปเสี่ยงชีวิตก็ตามมา” สิ้นคำรองหัวหน้ามือปราบรีบรุดออกไปนอกจวน เพียงสักพักก็มีเสียงควบม้าดังขึ้น

“นะ น้องยู่ พี่ว่าเราไปนั่งรับเงินกันให้สบายใจดีกว่านะ”

“พี่เฉาคงไม่ทราบ นอกจากเป็นยอดคนอย่างที่พี่เคยยกย่อง ตัวข้ายังนับเป็นคนแปลกยิ่ง เพราะชื่นชมการเสี่ยงชีวิตเป็นที่สุด หากพี่เฉาขัดข้องโปรดรอที่นี่เถิด แล้วเดี๋ยวข้าจะกลับมาพร้อมตั๋วเงินอย่างแน่นอน” พูดจบไป่ยู่ก็วิ่งตามหม่าจงออกไปนอกจวนกองปราบ

เฉาเกาขัดใจแต่ไม่อาจขัดขืน เขาทำได้เพียงกุมศีรษะกระทืบเท้าอย่างหงุดหงิดก่อนจะรีบตามออกไปอีกคน ชั่วชีวิตคนละโมบ แม้รักตัวกลัวตาย แต่ไม่วายยอมเสียทรัพย์เป็นอันขาด ต่อให้ต้องเสี่ยงชีวิตก็จะเอาตั๋วเงินกลับมาให้จงได้

ขบวนม้าเร่งรุดไปตามทาง หม่าจงอยู่หัวขบวนหันกลับมามองเห็นไป่ยู่กับเฉาเกาตามมาก็ยิ่งให้รู้สึกขัน เขาชื่นชมคนเก่งกล้า แม้ทระนงแต่ไม่เคยถือตัว ยกเว้นกับพวกคนประเภทแบบเฉาเกา คนชื่อยู่นับเฉาเกาเป็นพี่คงไม่พ้นมีนิสัยเฉกเช่นเดียวกัน จะรอดูว่าหากที่ที่กำลังจะไปมีเหตุร้ายจริง คนผู้นี้จะหนีหางจุกก้นหรือเซ่อซ่าจนต้องนอนตายอย่างหมาข้างถนนกัน

ที่ชุมชนประตูตะวันตกเงียบสงัดเปลี่ยวร้างราวกับไร้คนอาศัยอยู่ บ้านเรือนแม้ปกติจะเก่าโทรม แต่เวลานี้เห็นชัดว่ามันถูกทำลายจากการต่อสู้ ยามนี้อากาศยิ่งดูไม่เป็นใจเพราะมีเมฆครึ้มจนท้องฟ้าดูเหมือนราตรี หม่าจงมองรอบด้านอย่างระวัง เขาสั่งลูกน้องที่ตามมาจำนวนหกคนให้แบ่งออกเป็นสองกลุ่มเท่ากัน แยกกันไปสำรวจทั้งซ้ายและขวา ส่วนตัวเขาไปกับเฉาเกาและไป่ยู่

เฉาเกามีท่าที่หวาดระแวงในทุกย่างก้าว ไม่แปลกเพราะเวลานี้ใครมาเห็นก็มองออกว่าทีนี่เกิดเรื่องและไม่ปลอดภัยแน่นอน หม่าจงกำชับทุกคนว่าห้ามตะโกนหรือส่งเสียง หากไม่สุดวิสัยจริงๆ เพราะสิ่งที่กระทำการนี้อาจจะยังอยู่ในบริเวณรอบๆ

ไม่มีคน ไม่มีแม้กระทั่งสัตว์เลี้ยงหรือนกที่บินผ่าน ราวกับที่ชุมชนแห่งนี้ถูกทิ้งร้างไปเสียเฉยๆ เฉาเการำพึงรำพันเบาๆ กับตัวเองว่าไม่น่ามาเลยวนซ้ำอยู่คำเดียว ขณะที่ไป่ยู่กลับมีพฤติกรรมที่แปลกและคาดเดาได้ยากว่าคิดอะไรในสายตาของหม่าจง เพราะเขาเดินมองตามซอกหลืบช่องเล็กตามทางหรือไม่ก็ตามโอ่งเก็บน้ำตามบ้านราวกับกำลังหาของที่ทำตกหาย

สักพักเฉาเกาส่งเสียงร้องอุทานสั้นๆ ขึ้นมาก่อนจะปิดปากอย่างตระหนก สิ่งที่หัวหน้ามือปราบเห็นคือกองเลือดจำนวนมากที่ไหลออกมาจากประตูบ้านหลังหนึ่ง หม่าจงรีบนำหน้าสำรวจ เลือดยังไม่แห้งหรือแข็งตัว แปลว่าเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน เมื่อตั้งหลักจนพร้อมหม่าจงถีบประตูไม้จนพังก่อนจะบุกเข้าไป

ภายในค่อนข้างมืดมีเพียงแสงจากด้านนอกที่ส่องเข้ามา แต่ก็ทำให้เห็นทุกอย่างไม่ทั่วถึง พริบตานั้นไป่ยู่ที่เตรียมการอยู่ด้านนอกยื่นคบไฟที่จุดขึ้นส่งมาให้ราวกับรู้ว่าจะต้องใช้ หม่าจงรับมาแล้วเริ่มสำรวจ ไป่ยู่เดินตามเข้าไปมีเพียงเฉาเกาที่ตั้งมั่นยืนถือดาบอยู่ด้านนอกเพียงลำพัง

สถานที่ไม่ได้กว้างขว้าง เป็นเพียงบ้านไม้เล็กๆ ที่ยืนตรงกลางก็เห็นทั้งหมดชัด หม่าจงมองรอยเลือดที่ไหลรินเมื่อเดินตามเข้ามากลับไม่พบต้นเหตุ สิ่งที่เห็นมีเพียงร่องรอยของการลากเจ้าของเลือดไปตามทาง ขึ้นสูงไปบนกำแพงและไต่ไปจนถึงเพดาน

เมื่อมองไปจนถึงจุดนั้น หม่าจงถึงกลับหวาดผวาเพราะได้เห็นร่างไร้วิญญาณ ไร้อวัยวะภายในและไร้ศีรษะของชาวบ้านนับสิบๆ คนถูกแขวนห้อยในลักษณะที่ขาชี้ขึ้นด้านบนอยู่ที่นั่น

“แย่แล้ว! รีบดับไฟ!!” ไป่ยู่เอ่ยขึ้น หม่าจงที่ยังตะลึงส่องไฟขึ้นไปจนได้เห็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่า

ที่ร่างไร้วิญญาณห้อยอยู่บนนั้นได้มิใช่เพราะถูกเกี่ยวขึงด้วยเชือกอย่างที่เข้าใจ แต่เพราะที่เพดานนั่นมีศีรษะนับสิบๆ หัวติดแน่นอยู่บนนั้นด้วยขาเล็กๆ นับร้อยที่โผล่ออกมาจากใต้รอยแผลรอบลำคอและใช้ลิ้นยาวรัดรอบขาของศพทั้งหมดจนดูเหมือนถูกแขวนไว้ ทันทีที่ไฟส่องไปถึง ดวงตาที่ปิดอยู่ของพวกมันพลันเบิกโพลง สิ่งที่คนแจ้งข่าวเรียกว่าผีไร้ร่างกรีดร้องขึ้นพร้อมกัน พวกมันปล่อยร่างที่ยึดไว้ร่วงหล่นลงมา ก่อนที่จะพุ่งเข้าใส่ โจมตีคนทั้งสอง

ไป่ยู่โถมตัวใส่หม่าจงจนล้มลงไปด้วยกันเพื่อหลบการโจมตีนั่น ผีไร้ร่างทั้งหมดพุ่งเบี่ยงไปทางประตูมุ่งหาเฉาเกาที่กำลังยืนตะลึง หัวหน้ามือปราบที่อยู่ในอาการตระหนกไม่สามารถแม้แต่จะขยับตัว เขาถูกพวกมันรุมกัดร่างเลือดไหลท่วมตัวส่งเสียงร้องอย่างทรมาน ไป่ยู่รีบลุกขึ้นท่องคาถาที่หม่าจงไม่คุ้นหูก่อนจะสะบัดแขนตรงออกไป เกิดประกายไฟเป็นฝูงหมาป่าโจมตีพวกศีรษะนั่น

พวกมันโหยหวนถูกเผาไหม้ก่อนจะสลายหายไปกับอากาศ ทว่าส่วนใหญ่หลบการโจมตีกระจายหนีหายไปได้

“หนีก่อน” ไป่ยู่พูดขึ้นแล้ววิ่งไปดูเฉาเกาที่เนื้อหลายส่วนแหว่งหาย หม่าจงรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งตามไป

“เป็นไงบ้าง?”

“หนักหนาแต่ไม่ถึงตาย ต้องรีบตามทุกคนกลับมาแล้วออกไปจากที่นี่”

สิ้นคำ มีเสียงร้องขึ้นจากทางตะวันออกที่พวกเขาอยู่ ทั้งสองรู้แน่ว่าที่เหลือแย่แล้ว หม่าจงแบกร่างของเฉาเกาขึ้นบ่าแล้ววิ่งนำไป ไป่ยู่วิ่งตามใบหน้ามีเหงื่อไหลโซม ท่าทางไม่ปกติ แต่อีกฝ่ายไม่ทันสังเกต

เมื่อไปถึงต้นเสียง ภาพที่เห็นทำให้หม่าจงที่ไม่เคยหวั่นเกรงสิ่งใดยังต้องรู้สึกแตกตื่นจนแทบก้าวขาไม่ออก ลูกน้องหกคนที่พามา สองคนถูกพวกผีไร้ร่างนับสิบๆ หัวรุมกัดกิน หนึ่งในนั้นแขนขาดกระเด็น อีกสี่คนที่เหลือล้วนบาดเจ็บเลือดท่วมกายโดยมีผีไร้ร่างอีกร่วมร้อยหัววนเวียนโจมตีใส่เพื่อหาจังหวะสังหารพวกเขา

หม่าจงไม่รู้ว่าจะจัดการเช่นไร ทว่าไม่อาจปล่อยให้ลูกน้องต้องตายโดยไม่ช่วยเหลือ เขาวางร่างของเฉาเกาลงพื้นแล้วพูดกับไป่ยู่

“เจ้ารีบพาเฉาเกาหนีไป ข้าจะจัดการพวกมันเอง” หม่าจงตัดสินใจ อย่างมากก็แค่ตาย ไป่ยู่เห็นอีกฝ่ายเอาจริงรีบคว้าบ่าไว้

“ท่านมือปราบโปรดรอก่อน ข้ามีวิธีจัดการ” หม่าจงหันกลับมามองถึงได้เห็นท่าทางเหน็ดเหนื่อยของอีกฝ่าย

ไป่ยู่ใช้มีดสั้นที่พกติดตัวกรีดฝ่ามือตัวเองทั้งสองข้างจนเลือดไหลออกมา เขาเริ่มท่องคาถาอีกครั้งชั่วพริบตานั้น เลือดในฝ่ามือพลันเดือดขึ้นก่อนจะเกิดเป็นไฟลุกโชติช่วงแล้วพุ่งขึ้นฟ้า เสี้ยวเวลาหนึ่งลมหายใจเข้าออก ท้องฟ้าเกิดการเปลี่ยนแปรเมื่อเมฆครึ้มที่ลอยอยู่ก่อให้เกิดพายุฝนที่กลายเป็นเปลวเพลิงกระหน่ำลงมาเฉพาะบริเวณที่พวกเขายืนอยู่

ไป่ยู่ใช้ผ้าคลุมสีขาวของตนห่มร่างหม่าจงและเฉาเกา มองดูพายุไฟกระหน่ำใส่เหล่าผีร้ายจนพวกมันล้วนแหลกสลายหายไปในพริบตา

"ไฟนั่น! พวกเขา?"

"ขอท่านมือปราบโปรดอดทน ไฟนั่นส่งผลกับสิ่งมีชีวิตน้อยกว่าสิ่งไม่มีชีวิต ข้าน้อยรับรอง มันไม่ทำให้พวกเขาบาดเจ็บถึงตาย" หม่าจงได้ฟังก็คิดเพียงแต่เชื่อใจคนผู้นี้ เพราะตั้งแต่เมื่อครู่ที่ผ่านมา ตนได้เห็นกับตาแล้วว่าอีกฝ่ายไม่ได้ประสงค์ร้าย

ชั่วเวลานั้นเหมือนไป่ยู่และหม่าจงจะเห็นผีไร้ร่างตนหนึ่งแปลกไปจากตนอื่นเพราะมันมีร่างผ่ายผอมโอบอุ้มหัวที่เป็นของหนิงเฉิงอี้ไว้

ร่างนั้นทำท่าราวกับจะวิ่งหนีหายไป ไป่ยู่จึงสะบัดมีดสั้นในมือใส่จนหยุดการเคลื่อนไหวของมันได้ในที่สุด แล้วศีรษะของหนิงเฉิงอี้ก็ถูกฝนเพลิงแผดเผาให้สลายหาย เหลือไว้เพียงร่างไร้ศีรษะที่แน่นิ่งอยู่เช่นนั้นราวกับวิญญาณที่สิงสู่ถูกชำระล้างไปจนหมดสิ้นแล้ว

เมื่อทุกอย่างสงบลง ท้องฟ้ากลับกลายเป็นปลอดโปร่ง ไร้ฝนเพลิง ไร้ผีร้าย หม่าจงรีบวิ่งไปดูลูกน้อง สองคนที่บาดเจ็บสาหัสยังหายใจ ส่วนพวกที่เหลือ บ้างเจ็บหนัก บ้างไม่มีแผลฉกรรจ์

หม่าจงห้ามเลือดเบื้องต้นก่อนจะให้คนที่ขยับไหวช่วยหามเพื่อนกลับ ถอนกำลังออกจากที่นี่ก่อน ตอนนั้นเองที่หลูจิวฝูวิ่งออกมาจากที่หลบซ่อนเพื่อขอความช่วยเหลือจากเหล่ามือปราบ รองหัวหน้าคิดมีคนเป็นพยาน เขาน่าจะสอบถามเรื่องราวทั้งหมดได้ และคนชื่อยู่ก็คงไขข้อข้องใจทีมีให้กระจ่างชัดได้มากขึ้น

ทว่าเมื่อเขาหันไปมองไป่ยู่ อีกฝ่ายกลับทรุดลงอย่างอ่อนแรง หม่าจงรีบเข้าไปประคอง

“เป็นอะไรไหม?”

“รีบกลับ พวกนี้เป็นเพียงวิญญาณบริวาร ข้าน้อยรู้แล้ว ใครเป็น... ผู้... กระทำ...” สิ้นคำนั้นไป่ยู่ก็หมดสติลงไปในทันที

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด