ตอนที่แล้วบทที่ 7 ภารกิจหลักสองอย่าง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 9 เป้าหมายคือ ‘เจ้าตำหนัก’

บทที่ 8 นักเรียนใหม่จอมอวดดี


บทที่ 8 นักเรียนใหม่จอมอวดดี

ผู้คนในโรงอาหารเริ่มลุกฮือขึ้นมา บ้างส่งเสียงเร่งให้รีบเริ่มเปิดฉากเสียที บ้างก็ด่าทอว่าร้ายทั้งกลุ่มของทีก้าที่ไม่รู้จักมารยาท และสไปค์ที่เป็นตัวเด่นของปัญหา แต่ท้ายที่สุดแล้วใจความทั้งหมดก็บรรจบตรงที่ความรู้สึกเดียวกัน นั่นก็คือ “อยากเห็นสู้กันเต็มทน”

“คนเยอะจัง...ถอนตัวตอนนี้ยังทันนะ” สไปค์กล่าวเสียงเรียบ

“พูดกับตัวเองเถอะว่ะ!” ทีก้าไม่พูดเพียงปากเปล่า เขายังเร่งพลังปราณหมาป่าขึ้นราวกับต้องการจะขู่ให้อีกฝ่ายกลัว

ไม่รอช้าเสียเวลา คนอื่นรอบกายเริ่มเคลื่อนไหวทันที มีพลังปราณสีอำพันอันเป็นสัญลักษณ์ของปราณอินทรีย์พุ่งทะลวงเป็นลำแสงแหวกม่านอากาศเข้ามา สไปค์เร่งพลังปราณขึ้น วาดมือทั้งสองลงบนผิวอากาศรอบพลังปราณสีอำพันเส้นนั้นก่อนที่มันจะกระทบร่างของตน

เคล็ดสลายปีก

                ลำแสงเส้นนั้นสลายไปทันที แต่การต่อสู้ก็ไม่ได้สิ้นสุดลงแค่นั้น ชายอีกคนกระโดดเข้ามาจากข้างหลัง เปล่งพลังปราณพยัคฆ์ออกมาพร้อมกับฟาดเท้าขวาลงจากบนสู่ล่าง สไปค์หันหน้าเข้าหาตั้งแขนขึ้นสองข้างรับการจู่โจมนั้นไว้ พลังปราณของอีกฝ่ายเมื่อกระทบเข้ากับปราณไร้ลักษณ์ก็พลันสลายหายไป เมื่อครู่คือกระบวนท่าเคล็ดหักเขี้ยวอันเป็นกระบวนท่าเดียวกับที่ใช้พิชิตทีก้าในวันสอบเข้าสถาบัน

เมื่อเห็นกระบวนท่าดังกล่าวทีก้าก็รู้สึกคับแค้นใจขึ้นมา อารมณ์เดือดดาดปะทุขึ้นราวกับภูเขาไฟระเบิด ชายผมทองพุ่งตัวเข้าหาคู่อริแล้วตั้งท่าจิกเล็บฟาดปลายนิ้วเข้าใส่ เป้าหมายคือศีรษะของสไปค์ผู้ยังไม่แม้แต่จะตั้งท่ารับมือ

วืดด...

                        ทว่า...สิ่งที่น่าอัศจรรย์คือแม้จะไม่ตั้งท่ารับการจู่โจมของทีก้า แต่ปราณสีม่วงเข้มของสไปค์กลับเคลื่อนตัวเข้ามาบดบังการจู่โจมนั้นเอาไว้ มันมีลักษณะคล้ายระลอกคลื่นบาง ๆ ที่ลอยเคว้งเหมือนเป็นกำแพงบริเวณอากาศเบื้องหน้าทั้งสองคน บริเวณที่ปลายนิ้วของทีก้าจิกลงมามีรอยบุ๋มลงตามแรงกระทบ แต่นั่นก็หมายความว่าการจู่โจมนี้ไม่สามารถทะลุแนวป้องกันของสไปค์เข้ามาได้

ตึง!

                        เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ทีก้าที่กำลังอึ้งอยู่ก็ถูกเหวี่ยงล้มลงอัดกระแทกกับพื้นเสียงดังลั่น เขาล้มลงด้วยกระบวนท่าเดิม วิธีเดิม และความเดือดดาลก็ยิ่งปะทุมากยิ่งกว่าเดิม สไปค์หันความสนใจมายังคนอื่น ๆ ที่กำลังกรูกันเข้ามาหมายจะจู่โจมเขาให้ได้ในครั้งเดียว ชายหนุ่มเคลื่อนลำตัวหลบหลีกการโจมตีทั้งหมดอย่างคล่องแคล่ว พลันเคลื่อนไหวร่างกายอย่างนุ่มนวล ขัดกระบวนท่าทุกอย่างที่ปะทะเข้ามา แล้วส่งแรงกระแทกทั้งหมดคืนกลับไป

ชายสี่คนปลิวกระเด็นไปพร้อมกันรอบทิศทาง สร้างความตื่นตาให้กับทุกคนที่จ้องมองดูการต่อสู้ครั้งนี้ ทุกคนส่งเสียงโอดโอยออกมาไม่ขาดสาย สาเหตุเกิดจากการที่ร่างกายปลิวไปกระแทกกับสิ่งกีดขวางหลายอย่างที่มีมวลเป็นของแข็งกันทั้งนั้น ในสภาวะที่พลังปราณแสดงออกอย่างขัดข้องเพราะโดนจู่โจม ทำให้ทุกคนไม่สามารถใช้พลังปราณลดทอนอาการบาดเจ็บได้

สไปค์ยืนอยู่ในวงท่ามกลางคนทั้งสี่ที่กระจายออกไป โดยมีทีก้าเพียงคนเดียวที่พยายามยันตัวให้ลุกขึ้นมายืนอีกครั้ง ชายผมทองคนนี้ดูเหมือนจะไม่ลดละความพยายามที่จะแก้แค้น เขาวิ่งเข้าหาสไปค์ด้วยท่าทางสะเปะสะปะไม่เหมือนกับตอนแรก ดูเหมือนสติจะหลุดลอยไปไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้

หมับ!

                        คราวนี้สไปค์ไม่แม้แต่จะใช้พลังปราณ เขาใช้เพียงมือขวาข้างเดียวกุมข้อมือของอีกฝ่ายเอาไว้ทันท่วงที ก่อนจะหมุนวงแขนเหวี่ยงร่างทั้งร่างนั้นให้อัดกระแทกลงกับพื้นอีกครั้ง การกระทำนี้บ่งบอกถึงพลังกล้ามเนื้ออันมีมากมายมหาศาล ทุกคนรู้สึกได้เปิดหูเปิดตาเป็นอย่างมาก ข่าวลือที่ว่านักเรียนใหม่คนนี้สามารถล้มทีก้าได้ในกระบวนท่าเดียวดูจะเป็นความจริงที่ยิ่งกว่าความจริง

สไปค์เผยรอยยิ้มเบา ๆ ให้กับคู่ต่อสู้ทุกคนก่อนจะโค้งคำนับแล้วเดินกลับมาหาฟาร์ชูลันและซิลเวอร์ ทั้งสามคนนั่งลงบนโต๊ะเดิมและรับประทานอาหารที่ยังคงมีไออุ่นเหลืออยู่ พอเสร็จแล้วก็เดินกลับไปห้องเรียนเดิมเพื่อจะเรียนต่อช่วงบ่าย อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ได้มีการกระจายข่าวลือออกไปอีกเป็นจำนวนมากจนทำให้ชื่อเสียงของสไปค์โด่งดังมากยิ่งขึ้น

กระทั่งได้รับชื่อหนึ่งว่า “นักเรียนใหม่จอมอวดดี”

 

ใกล้กับใจกลางสถาบันปราณลำดับที่หนึ่งจะมีหอคอยสี่หอตั้งอยู่สี่ทิศและมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป เมื่อเดินไปทางทิศเหนือจะพบกับหอคอยวายุอันเป็นสัญลักษณ์ของดินแดนดังกล่าว พื้นที่แห่งนี้แม้จะอยู่ภายในรั้วสถาบันแต่ก็นับว่าอยู่นอกเหนือขอบเขตปกครองของสถาบัน หรือพูดให้ถูกก็คือหอเจ้าตำหนักทั้งสี่นั้นจะเป็นอิสรภาพโดยสิ้นเชิงและจะรับคำสั่งโดยตรงจากจักรวรรดิเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

อาณาเขตของตำหนักวายุจะรายล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่หลายต้น มีบ่อน้ำที่เลี้ยงปลาคาร์ฟเอาไว้หลายตัว ศาลาที่ปูทับด้วยหลังคาสีแดง ประตูทางเข้าตำหนักยังมีรูปปั้นมังกรสองตัวขนาบคู่เคียงกันให้ความรู้สึกองอาจน่าเกรงขาม ตรงส่วนของทางเดินจะทอดยาวเป็นเส้นทางคล้ายงูเลื้อยและมีพื้นหญ้าล้อมรอบเอาไว้ ที่ปลายสุดของเส้นทางงูเลื้อยจะพบอาคารใหญ่หลังหนึ่ง ที่แห่งนั้นคือถิ่นที่อยู่ของเจ้าตำหนักวายุนั่นเอง

“งั้นเหรอ แล้วยังไงต่อ”

น้ำเสียงดังกล่าวถูกเปล่งออกมาจากปากของชายผู้มีผิวสีแทน เขาใช้แววตาคมกริบจ้องมองไปยังข้ารับใช้ชุดดำที่กำลังนั่งชันเข่าอยู่เบื้องล่าง นัยน์ตาสีเขียวอ่อนแม้ดูเหมือนอ่อนโยนแต่เมื่อดูจากสีหน้าของชายผิวแทนแล้ว กลับไม่เห็นวี่แววถึงความอ่อนโยนดังกล่าวเลย

“เขาเอาชนะทีก้า นักเรียนที่มีแววเป็นตัวเต็งของการสอบเข้าได้อย่างเด็ดขาด รวมถึงพรรคพวกที่ทีก้าพามาด้วยเช่นกัน นี่แสดงให้เห็นว่าเขามีฝีมือพอตัวขอรับ” ชายชุดดำก้มหน้ารายงานข่าวต่อไป ในขณะที่ชายผิวสีแทนกลับเงยหน้าขึ้นมองบน สีหน้าเบื่อหน่ายแสดงออกเด่นชัด

“คราวที่แล้วเจ้าก็บอกข้าแบบนี้ สุดท้ายนักเรียนใหม่แต่ละคนก็ไม่ได้มีอะไรดีสักเท่าไหร่เหมือนเดิม”

บรรยากาศรอบตัวเขาเปลี่ยนไป ออร่าสีแดงเลือดไหลท่วมท้นออกมาจากรูขุมขนทั่วทั้งร่างกาย นี่คือปราณพยัคฆ์แน่นอน แต่บรรยากาศของปราณกลับแตกต่างจากคนอื่น ๆ อย่างสิ้นเชิง ข้ารับใช้ชุดดำถึงกับตัวสั่นเทิ้มเมื่อสัมผัสถึงจิตอาฆาตที่แฝงออกมาพร้อมกับพลังปราณกลุ่มนั้น

“ต แต่ดูเหมือนว่าคนที่ชื่อสไปค์นี้จะมีฝีมืออยู่จริง ซ้ำยังเหมือนมีความสัมพันธ์บางอย่างกับท่านเจ้าตำหนักเมฆาด้วย!”

ปราณสีแดงเลือดเริ่มสงบลง ชายผิวแทนทำหน้านิ่งเพ่งสมาธิไปยังคำพูดประโยคก่อนหน้านั้น

“รู้จักกับฟลอร์เลน?”

“ขอรับ ...เอ่อ เพราะตอนที่ท่านเจ้าตำหนักเมฆาเดินทางไปให้คำแนะนำกับนักเรียนใหม่ เจ้าสไปค์คนนี้ได้ทำสีหน้าตื่นตระหนกราวกับเคยพบเจอกันมาก่อน” ข้ารับใช้ชุดดำแอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ภายใต้หมวกที่ครอบคลุมเอาไว้ทั่วทั้งศีรษะและใบหน้า

“อืม...ข้าจะลองเชื่อเจ้าอีกสักครั้งก็ได้”

ข้ารับใช้ชุดดำเงยหน้าขึ้นและทำตาเบิกกว้างขึ้นทันใด

“ข้าจะนำทางท่านไปขอรับ!”

ชายผิวสีแทนพยักหน้าเบา ๆ เป็นคำตอบ เขาเดินลงจากที่นั่งของตน นั่นคือบัลลังก์สีหยกที่มีลวดลายประทับเป็นมังกรเลื้อยพาดไปมา ขณะที่เดินลงก็เผยให้เห็นสรีระร่างกายที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่ความน่าเกรงขามกลับแผ่ออกมาจากทั่วทั้งร่างชัดเจนจนไม่อาจดูถูกดูแคลนได้ เรือนผมสีขาวหยักศกของเขาช่วยตัดสีผิวเป็นอย่างดี โครงหน้าเขาเรียวเล็กจนเมื่อมองประกอบกับขนาดของร่างกายแล้วให้ความรู้สึกเหมือนกับเป็นผู้ชายอ้อนแอ้นคนหนึ่ง แต่ที่ขัดกันชัดเจนคือสีหน้าและแววตาที่ไม่ได้อ้อนแอนตามไปด้วย

บุรุษผู้นี้คือ เจ้าตำหนักวายุ ซิลเฟร์ เฟอร์มากัส

หนึ่งในสี่ยอดคนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของสถาบันฝึกปราณลำดับที่หนึ่ง เทียบเท่ากับฟลอร์เลนซึ่งเป็นเจ้าตำหนักเมฆาที่ปกครองเขตแดนฝั่งทิศใต้ หากมองว่าฟลอร์เลนคือดาวประดับฟ้าที่ไม่มีวันเอื้อมคว้าถึง ซิลเฟร์ก็คือก้อนดินที่ไม่มีวันผุกร่อน ซ้ำยังจะเป็นก้อนดินที่ขยายขนาดใหญ่ขึ้นไปอีกไม่มีวันสิ้นสุด

เขารักการต่อสู้อย่างที่สุด เพราะการนั้นจึงดิ้นรนทำทุกวิถีทางเพื่อไขว่คว้าหาความแข็งแกร่ง และต่อสู้กับใครหลายคนเพื่อพิสูจน์ว่าตนนั้นเหนือกว่า หากไม่มีกฎที่ว่าเจ้าตำหนักห้ามต่อสู้กันเองแล้วล่ะก็ คงจะมีศึกระหว่างเจ้าตำหนักด้วยกันไม่เว้นในแต่ละวันแน่ ๆ

อย่างไรก็ตาม ในเวลาที่มีนักเรียนใหม่เข้ามาและดูท่าจะมีแววความแข็งแกร่งล่ะก็ ข้ารับใช้ส่วนตัวจะคอยนำข่าวมารายงานเขาเสมอ แต่ในทุก ๆ ครั้งเด็กใหม่ที่ว่าก็จะถูกบดขยี้ด้วยพลังของเขาจนหมดความมั่นใจไปเลย บางคนถึงกับคิดอยากลาออกจากสถาบันกลับไปใช้ชีวิตเฉกเช่นคนธรรมดาเสียด้วยซ้ำไป

ครั้งนี้ก็เช่นกัน เพราะข่าวลือของสไปค์หนาหูมากเกินไปจนกลายเป็นจุดเด่น ซิลเฟร์ได้รับข่าวนี้จากข้ารับใช้ชุดดำมาตั้งแต่วันที่สไปค์ผ่านการสอบเข้ามาเรียนแล้ว แต่ก็คิดว่าคงเหมือนกับเด็กใหม่คนอื่น ๆ ที่เหมือนจะมีฝีมือแต่สุดท้ายก็ต้องสยบแทบเท้าเขาเสียทุกครั้ง ดังนั้นซิลเฟร์จึงไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก

กระทั่งข่าวล่าสุดบอกกับเขาว่าสไปค์เหมือนจะมีความเกี่ยวพันกับฟลอร์เลน...

ความเกี่ยวพันต่อเจ้าตำหนักไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง ล้วนแล้วแต่มีคุณค่าพอให้เกิดความสนอกสนใจ แม้จะไม่รู้ว่าเกี่ยวพันอย่างไรก็ยังควรค่าให้ไปยลโฉมอีกฝ่ายด้วยสายตาตนเอง ดังนั้นซิลเฟร์จึงลุกออกจากบัลลังก์ภายในตำหนักวายุ และเดินทางไปยังห้องเรียนเกรดหนึ่งที่ยังเรียนกันไม่เสร็จ เขาใช้เวลาไม่นานนักในการเดินทางมาถึงที่นี่ ขณะที่เดินทางมาก็ปรากฏเสียงฮือฮามากมาย มีคนมากหน้าหลายตาต่างแอบมองเขาจากระยะไกล และไม่กล้าเข้ามาใกล้เพราะความหวาดกลัว

ห้องเรียนเกรดหนึ่งอยู่ตรงหน้า ซิลเฟร์ยืนอยู่หน้าประตูนั้นก่อนจะลอบมองไปทางข้ารับใช้ชุดดำ ชายคนนั้นพยักหน้าลงหนึ่งครั้งก่อนจะชี้นิ้วไปทางทิศที่มีผู้ชายผมสีน้ำตาลอ่อนนั่งอยู่ คน ๆ นั้นก็คือสไปค์ที่กำลังหาวหวอดหนึ่งครั้งในเวลาเรียน

“ท่าทางอ่อนแอ ดูไม่เหมือนผู้มีฝีมือ” ซิลเฟร์กล่าวออกมา

“ทุกคนคิดแบบนั้นตั้งแต่วันที่เขาเข้ารับการสอบเข้า สุดท้ายก็คิดผิด เขาแข็งแกร่ง” ข้ารับใช้ชุดดำบอก

ซิลเฟร์พยักหน้าอีกครั้ง ก่อนจะใช้เรียวแขนเล็ก ๆ ผลักประตูเข้าไป เมื่อมีเสียงเปิดประตูทุก ๆ คนก็หันความสนใจมา มีหลายคนตื่นตระหนกตกใจจนเผลอเอามือป้องปากไว้ไม่ได้ กระทั่งอาจารย์ลูคัสยังพูดไม่ออก เพราะมันกะทันหันเกินไป ซิลเฟร์ไม่ได้สนใจปฏิกิริยาของนักเรียนเหล่านั้น ร่างของเขาหายไปในพริบตาเดียว

หมับ!

                        ก่อนจะคว้าเอาคอเสื้อของชายหนุ่มที่เป็นเป้าหมายออกมาจากที่นั่ง แล้วก็หายไปอีกครั้ง... ในช่วงจังหวะที่ทุกคนต่างก็ไม่ทันตั้งตัว ซิลเฟร์ได้ยินเสียงเรียกชื่อ ‘สไปค์!’ ไล่หลังมา แต่เขาก็หาได้สนใจไม่ คนอื่น ๆ ไม่ได้อยู่ในสายตาเขาเลยสักนิด เขาใช้เวลาไม่นานนักในการพาเป้าหมายของเขามายังสนามประลองยุทธ์ของสถาบัน และทิ้งร่างของสไปค์ลงกระแทกกับพื้นที่ก่อด้วยกระเบื้องแข็งสีขาว

“นี่มันเรื่องอะไรกัน” สไปค์เอามือจับก้นของตัวเองหลังจากที่พึ่งกระแทกกับพื้นกระดานไปหมาด ๆ

“สู้กับข้า” ซิลเฟร์กล่าวสั้น ๆ

“สู้กับเจ้า? เจ้าเป็นใคร?” สไปค์ถามกลับ

“หน้าที่ของเจ้าไม่ใช่ถามคำถาม แต่คือทำตามคำสั่ง” กล่าวจบซิลเฟร์ก็เคลื่อนไหวร่างกายทันที เขาชกไปที่ใบหน้าของสไปค์ และแน่นอนว่าปฏิกิริยาของสไปค์ก็ยังเร็วพอที่จะต้านรับการจู่โจมนั้นไว้ได้ทันท่วงที

แต่...แม้จะต้านไว้ได้ มันก็ยังหนักหน่วงเกินพอที่จะทำให้ร่างของสไปค์ปลิวไปอีกทาง!

เปรี้ยง!

ไม่มีเวลาแม้จะส่งเสียงร้อง ซิลเฟร์เคลื่อนตัวตามร่างของสไปค์จนทันและใช้หมัดจำนวนมากจู่โจมใส่ราวกับพายุ สไปค์ปล่อยปราณไร้ลักษณ์ออกมา ปัดป้องการโจมตีเหล่านั้นได้ทุกกระบวนท่าก่อนจะโต้กลับด้วยการพยายามจะจับอีกฝ่ายให้อัดกระแทกเข้ากับพื้นเฉกเช่นคู่ต่อสู้คนอื่น ๆ แต่ซิลเฟร์ไม่ได้กระจอกพอที่จะปล่อยให้เขาใช้กระบวนท่าจัดการได้แบบนั้น

ผัวะ!

                        ปลายเท้าเสยขึ้นเตะเข้าที่ปลายคางของสไปค์จนลอยขึ้นไปบนฟ้า ร่างของซิลเฟร์หายไปอีกครั้งและปรากฏอยู่เหนือร่างของสไปค์ เขาจับใบหน้าของอีกฝ่ายที่กำลังลอยอยู่กลางเวหาพร้อมทั้งใช้แรงเหวี่ยงทะยานลงมา หมายจะให้ศีรษะที่อยู่ในกำมือกระแทกเข้ากับพื้นลานประลอง

ปรากฏปราณสีม่วงเข้มทะลักออกมาเป็นจำนวนมาก ก่อนที่ร่างของสไปค์จะถูกฟาดลงกับพื้น เสียงดังเปรี้ยงใหญ่ราวกับสายฟ้าฟาดนั้นก้องกังวานไปทั่วลานประลอง

“สไปค์!” มีเสียงเรียกมาจากทางเข้าลานประลอง ผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นมาคือหญิงสาวในชุดวิคก้าสไตล์ พร้อมกับชายผมแดงใบหน้าหล่อเหลาดูมีชาติตระกูล ทั้งสองคนผู้เป็นสหายของสไปค์ต่างก็ส่งเสียงเรียกชื่อของเขาพร้อม ๆ กัน และวิ่งตรงมาทางนี้ทันที

“พึ่งจะผ่านไปไม่นานแท้ ๆ ทำไมถึงมีคนรู้ว่าข้ามาที่นี่ จนถึงกับตามมาทันทีได้?” ซิลเฟร์สงสัย

“หนอย...แก”

“!!?”

ซู่มม!!

                        บังเกิดเสียงลมกระชากขึ้นใกล้ ๆ ซิลเฟร์เอี้ยวตัวหลบทันควันก่อนจะถอยร่นห่างออกไปหลายเมตร หมัดของสไปค์เมื่อครู่พลาดเป้าอย่างน่าเสียดาย แต่อย่างน้อย...มันก็เฉี่ยวผิวแก้มของซิลเฟร์ไปจนเกิดรอยบาดเลือดไหลออกมา

“ท่านเจ้าตำหนัก!” ข้ารับใช้ชุดดำเมื่อเห็นดังนั้นก็ลนลานขึ้นมาทันที

“หึหึ” ซิลเฟร์เอามือปาดรอยเลือดที่ผิวแก้มออกก่อนจะใช้ปลายลิ้นเลียเลือดที่ติดปลายนิ้วออกจนหมด

นี่มันนานแค่ไหนแล้วที่ข้าไม่ได้เสียเลือดให้กับการต่อสู้...?

                        “ไม่รู้หรอกว่าเจ้าเป็นใคร...แต่ว่า” ปราณสีม่วงเข้มทะลักออกมาจากร่างของสไปค์ “หาเรื่องผิดคนแล้ว!”

“งั้นหรือ? เจ้านี่...น่าสนใจดี” ซิลเฟร์ตั้งท่ารับมืออีกฝ่าย เขาผุดรอยยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มแห่งความยินดี...ยินดีที่ได้เจอคู่ต่อสู้ที่น่าสนใจหลังจากที่ไม่ได้เจอมานานปีดีดัก

“เดี๋ยวก่อนนะ สไปค์!” กลับเป็นซิลเวอร์ที่ส่งเสียงเข้ามาแทรก “คน ๆ นั้นคือเจ้าตำหนักวายุ! เจ้าไม่ใช่คู่มือเขาหรอก กลับมาเถอะ!” ซิลเวอร์แสดงอาการลนลานอย่างเห็นได้ชัด แน่นอนว่าเรื่องที่เด็กใหม่ที่มีพลังร้ายกาจมักจะถูกซิลเฟร์เพ่งเล็งนั้น เขาเองก็เคยได้ยินมา แต่ก็ไม่นึกว่าจะเกิดขึ้นกับสไปค์ที่เขานับถือเป็นสหายได้ไม่กี่วัน

“เจ้าตำหนักวายุ...? เจ้าน่ะรึ” สไปค์ถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“รู้แบบนี้แล้วยังคิดอยากจะสู้กับข้าอีกรึเปล่าล่ะ เจ้าหนู บอกไว้ก่อนนะว่าเจ้าไม่มีสิทธิ์เลือก”

“กลับกันเลย...” กลับเป็นฝ่ายสไปค์ที่แสดงรอยยิ้มออกมาบ้าง “ถ้าชนะเจ้าได้ ข้าก็คงเข้าใกล้เธอได้มากขึ้น”

ปราณสีม่วงเข้มยิ่งทะลักไหลออกมาอย่างบ้าคลั่ง เป็นภาพที่น่าหวาดหวั่นเกินกว่าจะทำให้รู้สึกเป็นอย่างอื่น ซิลเฟร์เบิกตาโตเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ตนได้ยิน แม้ ‘เธอ’ ที่อีกฝ่ายพูดถึงจะเป็นใครไม่รู้ แต่พึ่งจะมีคนแรกที่กล้าหาญพอจะสู้กับเขาทั้งที่กลายเป็นเจ้าตำหนักแล้ว

พอเป็นแบบนั้นแล้ว...ปราณสีแดงก็ไหลทะลักออกมาจากร่างของซิลเฟร์เช่นกัน กระแสปราณทั้งสองพุ่งเข้าปะทะกันอย่างหนักหน่วงจนทำให้พื้นที่โดยรอบสั่นสะเทือนเลือนลั่น ซิลเวอร์เอาแขนทั้งสองยกขึ้นไขว้กันเป็นกากบาทป้องกันตัวเองไว้ ในขณะที่ฟาร์ชูลันกลับยกมือขึ้นฟ้า แล้วก็มีกำแพงโปร่งแสงบาง ๆ ครอบคลุมร่างของเธอกับซิลเวอร์เอาไว้

“โห พลังเวทมนตร์นี่สะดวกดีแฮะ”

ฟาร์ชูลันไม่ตอบอะไรกลับไป แล้วโฟกัสไปที่การต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้น

คงจะหยุดการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ได้แล้ว...

                        เธอรู้สึกแบบนั้น...

พลังปราณพยัคฆ์ของซิลเฟร์แม้ไม่ต้องสัมผัสโดยตรงก็รับรู้ได้เองว่าไม่เหมือนกับใครหลายคนที่เคยต่อสู้มา สไปค์ปล่อยปราณไร้ลักษณ์ของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่แต่ก็ยังกดข่มอีกฝ่ายไม่ได้ แสดงให้เห็นว่าคู่ต่อสู้คนนี้เป็นของจริง!

“เป็นสีปราณที่แปลก...หนำซ้ำยังแสดงพลังออกมาได้ถึงระดับที่สองทั้งที่ยังเป็นเด็กใหม่ น่าสนใจ ๆ” ชายผิวแทนกล่าวเช่นนั้น เรือนผมสีขาวของเขาโบกสะบัดตามแรงลมที่เกิดจากการปะทะ สไปค์ไม่ตอบอะไรเขากลับไปทั้งสิ้น เพราะรู้สึกได้ว่าหากพลาดเปิดช่องโหว่แม้แต่นิดเดียว ลำคออาจจะถูกแทงทะลุได้ในทันที

พอจ้องตากันได้สักพักหนึ่งซิลเฟร์ก็ตัดสินใจพุ่งทะยานออกไปด้านหน้า ก่อนที่ร่างของเขาจะหายตัวไปกลางคัน มีเสียงสายลมดังฟุ่บฟั่บรอบทิศทางจนชวนให้รู้สึกสับสน แต่สไปค์ก็ยังคงตั้งสมาธิเอาไว้อยู่ แม้เหงื่อกาฬจะเริ่มไหลลงมาอาบแก้มแล้วก็ตามที

ซู่มม!!

                มีเสียงดังขึ้นจากทางขวามือ สไปค์สัมผัสได้ถึงก้อนหมัดที่อาบไปด้วยพลังปราณมหาศาล เขาเอี้ยวตัวหลบหมัดพิฆาตของซิลเฟร์เอาไว้ได้อย่างฉิวเฉียดก่อนจะสอดมือเข้าไปที่ใต้วงแขนของฝ่ายตรงข้าม

“เคล็ดหักเขี้ยว!”

ร่างของซิลเฟร์ถูกหมุนควงกลางเวหาในเสี้ยวพริบตาเดียว สร้างความฮือฮาให้กับซิลเวอร์และฟาร์ชูลันที่กำลังดูอยู่จากไกล ๆ แต่ก็แค่ไม่ทันไรเท่านั้น ซิลเฟร์เผยอรอยยิ้มแสยะพร้อมกับฟาดปลายเท้าเข้าหาสไปค์จากมุมอับ

“เขาแกล้งทำเป็นถูกจู่โจมเพื่อจะสร้างจังหวะในการสวนกลับ!” ฟาร์ชูลันตะโกนออกมาแต่ก็สายเกินไปแล้ว

จังหวะที่ปลายเท้ากำลังจะเตะเข้าไปที่ใบหน้าของสไปค์ ในเสี้ยววินาทีนั้น...ไม่ทันแล้ว หลบหลีกไม่ได้ ปัดป้องไม่ทันแน่ แม้กระทั่งสไปค์ก็จนปัญญาจะต้านรับการจู่โจมดังกล่าว เขาหลับตาแน่นรอรับลูกเตะท่อนนั้น

แต่สิ่งที่ควรจะเกิดกลับไม่เกิด...

ซ้ำยังมีกลิ่นบาง ๆ ชวนให้ถวิลหาลอยเข้ามา...

“คิดจะทำอะไรของเจ้า ฟลอร์เลน” เสียงของซิลเฟร์ดังขึ้น ฉุดสติของสไปค์ให้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง

ฟลอร์เลนเป็นผู้ที่รับการโจมตีของซิลเฟร์เอาไว้ได้ทันพอดิบพอดี กระทั่งซิลเฟร์ถอยร่นกลับออกไปเพื่อทิ้งระยะจู่โจมครั้งใหม่ สไปค์อ้าปากค้างเพราะไม่นึกว่าฟลอร์เลนจะปรากฏกายขึ้นมาที่นี่ เธอหันกลับมามองดูสไปค์ด้วยใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ

“เจ้ามีความเกี่ยวข้องกับชายคนนี้จริง ๆ สินะ” ซิลเฟร์เอ่ยออกมา ฟลอร์เลนยังคงนิ่ง...กระทั่งเธอตัดสินใจตอบกลับไป

“อย่างน้อย ๆ เจ้าชีวิตเขาก็ไม่ใช่เจ้า ซิลเฟร์”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด