ตอนที่แล้วบทที่ 8 นักเรียนใหม่จอมอวดดี
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 10 การหายตัวไปของฟาร์ชูลัน

บทที่ 9 เป้าหมายคือ ‘เจ้าตำหนัก’


บทที่ 9 เป้าหมายคือ ‘เจ้าตำหนัก’

“จะบอกว่าเจ้าคือเจ้าชีวิตของชายผู้นั้นงั้นรึ?”

ซิลเฟร์คลายการตั้งท่าลงก่อนจะยืดตัวยืนขึ้นในท่ายืนปกติ กระแสปราณสีแดงเลือดค่อย ๆ ไหลกลับสู่ร่างเป็นหลักฐานบ่งบอกว่าการต่อสู้คงจะสิ้นสุดลงเพียงแค่นี้ ฟลอร์เลนไม่ได้ตอบคำถามนั้นกลับไป ปล่อยให้ซิลเฟร์นิ่งคิดเกี่ยวกับคำพูดประโยคนั้นของเธอเพียงลำพัง

สไปค์เกิดอาการนิ่งงันเหมือนคนไม่มีสติทั้งที่ยังมองเห็นภาพเหตุการณ์ทุกอย่าง เขามองดูแผ่นหลังของฟลอร์เลนที่ยืนขวางหน้าเอาไว้ ใจหนึ่งก็อยากจะพูดคุยกับเธอ แต่อีกใจหนึ่งก็ยังรู้สึกว่าการต่อสู้ยังต้องดำเนินต่อไปอีก แต่เมื่อเห็นท่าทีของซิลเฟร์ที่เหมือนจะหมดความรู้สึกที่จะต่อสู้แล้ว สไปค์ก็เกิดร้อนรนขึ้นมา

แต่มือข้างหนึ่งของฟลอร์เลนกลับขวางไม่ให้สไปค์คิดทำอะไรต่อ...

“ให้ข้าได้ต่อสู้กับเจ้าหมอนั่น!” อย่างน้อยชายหนุ่มก็คิดว่าการที่โดนโจมตีอยู่ฝ่ายเดียวต่อหน้าฟลอร์เลนเป็นเรื่องที่น่าอับอายจนเกินไป

คราวนี้ฟลอร์เลนถึงกับหันใบหน้ากลับมามอง เรือนผมสีดำของเธอพลิ้วไสวตามการขยับเคลื่อน สไปค์พึ่งสังเกตเห็นว่าสีผมของเธอเปลี่ยนไป เพราะถึงอย่างไรแม้จะผ่านมานานเขาก็เคยจำได้ว่าสีผมของเธอเคยเป็นสีน้ำตาลแดงอ่อน ๆ แต่ในปัจจุบันที่เจอกันนี้กลับเปลี่ยนกลายเป็นสีดำไปเสียแล้ว ชั่วจังหวะที่แสงสาดลงมากระทบกับผิวแก้มและดวงตาสีดำที่มองดูเรียบเฉยต่อทุกสิ่งนั้น ช่างให้ความรู้สึกห่างไกลอย่างบอกไม่ถูก สไปค์เกิดอาการผงะจนเผลอถอยห่างออกไปสองก้าว ฟลอร์เลนเผยอริมฝีปากขึ้นมาช้า ๆ

“จะเอาชีวิตไปทิ้งง่าย ๆ รึ” ดวงตาดำขลับราวกับมณีนิลจับจ้องอย่างเฉยเมย “หรือท่านลืมไปแล้วว่าชีวิตที่ใช้อยู่เคยได้รับมาจากใคร”

สิ้นเสียงของฟลอร์เลน หัวใจของชายหนุ่มพลันเต้นตึกตักขึ้นมา จังหวะหัวใจนี้...กำลังบ่งบอกว่าเขาไม่ได้หวั่นเกรงต่อคำพูดของเธอ แต่มันเต้นเพราะนั่นคือ ‘เสียงที่ชวนให้นึกถึง เสียมากกว่า

การพบเจอกันอีกครั้งในห้องเรียนเกรดหนึ่ง ฟลอร์เลนไม่ได้แสดงออกถึงท่าทีว่าจดจำเขาได้ หรืออาจเคยรู้จักกันมาก่อนเสียด้วยซ้ำ สิ่งที่เธอแสดงออกคือความห่างเหินชนิดที่ไม่อาจเอื้อมไปถึง แต่ในตอนนี้ ...และ ณ เวลานี้ สุ้มเสียงที่เธอใช้รวมทั้งสรรพนามที่เธอเรียก ทุกอย่างเปลี่ยนไปทั้งหมดจนทำให้สไปค์นึกถึงอดีตที่เคยได้พบเจอกับเธอ

ท่านยังจำข้าได้...แม้ผ่านมานานถึงเจ็ดปี

                        “สไปค์” กลับเป็นฟาร์ชูลันที่ส่งเสียงทำลายความเงียบขึ้น เธอก้าวเท้าเดินตรงมาหาสไปค์พร้อมกับซิลเวอร์ที่ยังคงมีท่าทีหวาดระแวงอยู่ อย่างไรซะก่อนหน้านี้เขาก็ใช้ชีวิตมาด้วยความเคยชินที่ว่าเจ้าตำหนักนั้นสูงส่งจนไม่อาจเอื้อม แต่ตอนนี้กลับสามารถเข้ามาใกล้ได้ง่าย ๆ ซะอย่างนั้น

จังหวะนั้นเอง ช่วงเวลาที่รู้สึกว่าได้ใกล้ชิดฟลอร์เลนที่สุด กลับเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่รู้สึกว่าอีกไม่นานเธอก็คงจากไปอีกเหมือนเดิม สไปค์พลันฉุกคิดเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ เขาหันไปหาซิลเวอร์ที่ยังคงมีสีหน้างงงวยเพราะถูกจ้องมากะทันหัน

“เจ้าเคยบอกว่าการสอบเลื่อนเกรดนั้นไม่จำเป็นต้องสอบตามขั้นบันได สามารถเริ่มสอบตั้งแต่เกรดแปดก็ได้เลย ใช่มั้ย?”

“มันก็ใช่อยู่หรอก...แต่ทำไมถึงถามแบบนี้ล่ะ” ซิลเวอร์สงสัย

“งั้นถ้าสมมติว่าไม่ต้องสอบเกรด แต่ถ้าเอาชนะเจ้าตำหนักได้ล่ะก็ จะได้กลายเป็นเจ้าตำหนักทันทีเลยรึเปล่า?”

“!!”

คราวนี้แม้กระทั่งฟลอร์เลนยังมีสีหน้าเปลี่ยนไปกะทันหัน ไม่เว้นแม้กระทั่งซิลเฟร์ที่ขมวดคิ้วเข้าหากัน แม้จะยืนอยู่ไกลห่างแต่ก็ได้ยินที่อีกฝ่ายสนทนากันทุกประการ ซิลเวอร์เหงื่อตกหลังจากได้ยินคำถามนั้นก่อนจะทำท่าทางเลิ่กลั่กเหมือนกำลังรวมสมาธิเรียบเรียงคำพูดอยู่

“คือว่านะ จริง ๆ มันก็มีกฎที่บอกว่าการจะเป็นเจ้าตำหนักได้ต้อง ‘ชนะในการประลองกับเจ้าตำหนัก’ อยู่หรอก แต่ก็ไม่มีใครคิดจะทำแบบนั้นหรอกนะ การทำแบบนั้นไม่ต่างกับฆ่าตัวตายหรอกรู้มั้ย” ในที่สุดซิลเวอร์ก็เรียบเรียงคำพูดออกไปจนได้ เมื่อได้รับคำตอบแล้ว รอยยิ้มก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้าของสไปค์

“งั้นก็ดีเลย เอาล่ะ” เขาก้าวเท้าเดินเอียดอาดมายืนขวางหน้าฟลอร์เลน ใช้สายตาจับจ้องไปทางซิลเฟร์ไม่วางตา

“ข้าจะสู้กับเจ้า โดยมีตำแหน่งเจ้าตำหนักเป็นเดิมพัน!” สไปค์ประกาศกร้าวเสียงดัง

จังหวะเดียวกันก็มีนักเรียนมากหน้าหลายตาเดินเข้ามาในลานประลอง พวกเขาต่างพากันตามหาพวกสไปค์กันจนกระทั่งในที่สุดก็ตามมาทันแล้ว แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงกลับเป็นเสียงที่สไปค์เปล่งออกมา ถ้อยคำประโยคนั้นที่กล่าวกับชายอีกคนที่เป็นถึงเจ้าตำหนักวายุ นั่นทำให้ทุกผู้คนต่างก็คิดอยากหลบเลี่ยงหนีออกไปจากที่นี่ทันใด

ไอ้หมอนี่มันบ้าไปแล้ว!

                        คนที่ยังรักตัวกลัวตายอยู่ต่างก็พยายามถอยห่างจากอะไรก็ตามที่กำลังจะเกิดขึ้นโดยฝีมือของเจ้าตำหนักวายุผู้นั้น แม้สีหน้าของซิลเฟร์จะยังเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์ใดออกมาเลยก็ตามที

“ไม่เอาล่ะ” ซิลเฟร์พูดขึ้น “ข้าไม่สนใจคนอย่างเจ้าแล้ว” กล่าวจบ ปลายเท้าของซิลเฟร์ก็ค่อย ๆ ลอยตัวขึ้นสู่เบื้องบน เขาไม่ได้เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงอย่างเช่นตอนแรก หากแต่เป็นการล่องลอยขึ้นไปอย่างเชื่องช้าพร้อมทั้งใช้สายตาดูถูกจ้องมองลงมาจากเบื้องสูง

ทุกผู้คนต่างตกตะลึงเมื่อได้เห็นซิลเฟร์ลอยอยู่เหนือเวหา เกิดเสียงฮือฮาขึ้นมาไม่หยุดหย่อน

“พลังปราณระดับสาม ขั้นเทวการุณ!

ชายผิวแทนแสยะยิ้มก่อนจะทะยานหายไปจากจุดนั้นพร้อมกับข้ารับใช้ชุดดำ ปล่อยให้ความวุ่นวายบังเกิดขึ้นในชั่วระยะเวลาสั้น ๆ ซิลเวอร์ยังมองตาค้างไปยังจุดที่ซิลเฟร์เคยอยู่ เขาพยายามจะเปล่งเสียงออกมาแต่กระทั่งกลืนน้ำลายยังทำได้ยาก ในขณะที่สไปค์กลับแสดงท่าทางตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด เดิมทีเขาตั้งใจจะต่อสู้กับซิลเฟร์อีกรอบเพื่อเอาชนะและกลายเป็นเจ้าตำหนัก แต่อีกฝ่ายกลับไม่เล่นด้วยเสียนี่

“เจ้าตำหนักแม้จะมีฝีมือ แต่ก็ไม่คิดจะเดิมพันอะไรไร้สาระกับนักเรียนใหม่ที่ไม่รู้ประสีประสาหรอก” กลับเป็นฟลอร์เลนที่เอ่ยคำพูดออกมาทำลายความเงียบ “ท่านอย่าได้แสดงตนแบบนั้นต่อหน้าเจ้าตำหนักอีก เห็นหรือยัง กระทั่งความเข้มข้นของปราณท่านก็ยังเทียบเขาไม่ได้ นั่นยังไม่ใช่พลังที่แท้จริงของเขาเสียด้วยซ้ำ”

กล่าวจบร่างของฟลอร์เลนก็ค่อย ๆ ลอยตัวสูงขึ้น เช่นเดียวกับที่ซิลเฟร์ทำก่อนหน้า!

“เดี๋ยวสิ!” สไปค์รีบส่งเสียงเรียก เขารู้สึกว่าถ้าจากกันครั้งนี้ก็คงอีกนานกว่าจะได้เจอกันอีก

ฟลอร์เลนไม่กล่าวอะไรออกมา ท้ายที่สุดแล้วร่างของเธอก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย อารมณ์ช่างแตกต่างกับซิลเฟร์ที่ทะยานหายไปประดุจลมพายุโหมกระหน่ำ สำหรับฟลอร์เลนนั้นเหมือนจะค่อย ๆ ล่องหนไปเสียมากกว่า

“ก่อนหน้าที่จะคิดทำอะไรนะสไปค์ ดูความวุ่นวายนั่นซะก่อนสิ” เป็นฟาร์ชูลันที่เรียกสติชายหนุ่มให้คืนกลับมาดังเดิม เขามองดูความวุ่นวายที่เกิดขึ้นจากนักเรียนจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยคน พวกเขากำลังยื้อยุดกันเพื่อที่จะเข้ามายังลานประลองที่มีเนื้อที่ไม่พอจะรองรับจำนวนพวกเขาทั้งหมด มีเสียงก่นด่ามากมายลอยมาตามลม

“แก! หัดเจียมตัวซะบ้าง ไอ้เด็กใหม่จอมอวดดี! อวดดีสมชื่อมันจริง ๆ!”

“เข้าเรียนได้ไม่กี่วันถึงกับกล้าท้าทายท่านเจ้าตำหนัก มิน่าล่ะ ท่านซิลเฟร์ถึงกับเดินทางมาสั่งสอนด้วยตนเอง แต่กระนั้นแกก็ยังไม่สำนึก!”

“คนอย่างแกไม่มีวันได้รับการยอมรับหรอก รู้ไว้ด้วย!”

“ไอ้ตัวประหลาดเอ๊ย!”

เสียงก่นด่าสาปแช่งยังคงลอยมาไม่มีหยุด... นี่มันทำให้นึกถึงอดีตที่แสนขมขื่นเหลือเกิน ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มออกมาจาง ๆ ช่างเป็นรอยยิ้มที่เจือปนความเศร้าที่ไม่อาจหาทางระบายออกได้ ฟาร์ชูลันกับซิลเวอร์สังเกตเห็นสีหน้านั้น พวกเขาอาจบางทีไม่ได้เข้าใจความรู้สึกที่สไปค์กำลังเผชิญอยู่ แต่ก็ยังรับรู้ได้ว่าสหายคนนี้กำลังรู้สึกไม่ดีแน่ ๆ

ฟาร์ชูลันขยับปากพึมพำอะไรบางอย่างเบา ๆ ก่อนที่ไม่กี่วินาทีต่อมาจะปรากฏวงแหวนเวทมนตร์ที่ประกอบด้วยสัญลักษณ์รูปดวงดาราขึ้น ในชั่วจังหวะนั้นร่างของทั้งสามคนก็ถูกครอบคลุมไว้ด้วยพื้นที่ทรงกลมโปร่งแสง และค่อย ๆ ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ซิลเวอร์ทำท่าทางตื่นเต้นอย่างหยุดไม่อยู่เมื่อรู้ว่าตนเองกำลังลอยขึ้นฟ้าไปเรื่อย ๆ

“ว...เวทมนตร์นี่มันสุดยอด!”

“...”

ฟาร์ชูลันไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เช่นเดียวกับสไปค์ที่อยู่ในอารมณ์เศร้าสร้อยก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเช่นกัน

ทั้งสามคนลอยหายไปจากลานประลองด้วยเวทมนตร์ของฟาร์ชูลัน โดยไม่มีนักเรียนคนไหนพบเห็นและเจอตัวอีกเลย...

 

“จะทำหน้าซึมไปถึงไหน?”

ผู้พูดเอ่ยพลางขยับหมวกทรงสูงคล้ายนักมายากลขึ้น เธอขยับกรอบเลนส์แว่นเล็กน้อยในขณะที่ทำสีหน้าระอาใจออกมา เมื่อเหลือบไปเห็นสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนักของเพื่อนชาย นับจากเวลานั้นก็ผ่านมาได้หลายชั่วโมงแล้ว เป็นเวลาหลังเลิกเรียนมาแล้ว ทั้งสามคนที่หลบหนีมาจากลานประลองก่อนหน้านี้ได้ใช้เส้นทางอากาศหลบหลีกสายตาผู้คนจนมาถึงใต้ต้นไทรใหญ่บริเวณหอพักนักเรียน

แต่พอมาถึง สไปค์ก็เอาแต่นั่งซึม ถามคำตอบคำ สิ่งเหล่านี้ทำให้ฟาร์ชูลันหัวร้อนหงุดหงิดขึ้นมา

“ข้าก็ไม่รู้หรอกนะว่าเจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกับท่านเจ้าตำหนักเมฆา แต่ว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นเป็นความจริงดังว่า เจ้าในตอนนี้เอาชนะท่านเจ้าตำหนักวายุไม่ได้หรอก” ซิลเวอร์เอามือวางบนไหล่ของสไปค์ เขาพยายามใช้คำพูดปลอบใจที่ตัวเองไม่ค่อยถนัดนัก

“จริงอย่างที่ซิลเวอร์พูด เจ้าคนที่ชื่อซิลเฟร์นั่นสามารถใช้พลังได้ถึงระดับสาม หนำซ้ำยังดูเหมือนว่านั่นยังไม่ใช่พลังทั้งหมดอีก ถ้าจะสู้กับคน ๆ นั้นล่ะก็ นายยังต้องฝึกอีกเยอะ” ฟาร์ชูลันพูดเสริมให้ซิลเวอร์จนชายผมแดงพยักหน้าตามรัว ๆ แต่สไปค์ในตอนนี้ก็ยังคงเงียบนิ่ง ไม่ตอบอะไรกลับมาอีกเช่นเคย

กระทั่งผ่านมาได้อีกสักพักสไปค์ก็เงยหน้าขึ้นเบา ๆ เอามือลูบปลายคางราวกับกำลังครุ่นคิดบางสิ่ง

“เจ้าหมอนั่นเก่งเป็นบ้าเลยแฮะ”

“พึ่งรู้รึไงยะ! ก็บอกไปตั้งหลายรอบแล้วนะ ไม่สนใจฟังเลยรึไง!” ฟาร์ชูลันเดือดดาล

“อ๊ะ ขอโทษ ๆ ข้าแค่กำลังคิดเรื่องหนึ่งอยู่” สีหน้าของสไปค์ไร้วี่แววของคนซึมเศร้า ที่แท้เขาหายจากอาการซึมได้ตั้งนานแล้ว แต่กำลังครุ่นคิดเรื่องบางเรื่องอยู่

“แล้วเรื่องที่ว่ามันคือเรื่องอะไรกันล่ะ” ซิลเวอร์ถามต่อ

“ก็ ตำแหน่งเจ้าตำหนักนี่มันมีด้วยกันสี่คนใช่ไหม? ถ้าเกิดว่าเจ้าซิลเฟร์นั่นไม่ยอมต่อสู้กับข้า งั้นข้าก็ไปหาคนอื่นที่ไม่ใช่ฟลอร์เลนกับซิลเฟร์ ก็จะเหลือแค่สองตำหนักนั่นก็คือตำหนักอัสนีกับตำหนักอัคคี ถูกไหม?” สไปค์ยิ้มออกมาเมื่อได้พ่นคำตอบที่สวยหรูในความคิดของตัวเอง แต่คำตอบนั้นกลับทำให้เพื่อนทั้งสองรู้สึกเอือมระอาเป็นที่สุด สีหน้าของฟาร์ชูลันกับซิลเวอร์บิดเบี้ยวเหยเกเป็นทิศทางเดียวกันจนเห็นได้ชัด

“นี่นาย...ไม่เห็นรึไงว่าการต่อสู้เมื่อกี้นายทำอะไรเจ้าหมอนั่นไม่ได้เลย แล้วนี่ยังคิดจะไปดวลกับเจ้าตำหนักคนอื่นอีก?” ฟาร์ชูลันพูดทั้งที่ยังคงสีหน้าบิดเบี้ยวเหยเกเหมือนเดิม

“โอ้ พ่อหนุ่มเอ้ย ข้าล่ะเกิดมาพึ่งจะเคยเห็นคนที่ไม่ยอมลดราวาศอกกับเรื่องที่ใหญ่โตประดุจเดินขึ้นไปบนสรวงสวรรค์แบบนี้เป็นครั้งแรก” ซิลเวอร์กล่าวเสริมพร้อมทำท่าประกอบเชิงประชดเยาะเย้ยด้วยการเงยหน้าขึ้นฟ้า ผายมือออกด้านข้างเหมือนมีแสงสว่างจากสวรรค์กำลังส่องทาบลงมาบนร่างกาย

“ไม่เอาน่า จริง ๆ เมื่อกี้ข้าเองก็ไม่ได้เอาจริงสักหน่อย” สไปค์ตอบกลับหลังจากเห็นท่าทีเอือมระอาของทั้งคู่

“อะไรนะ นี่เจ้าสู้กับคนระดับเจ้าตำหนักทั้งที่ยังไม่เอาจริงงั้นเรอะ?”

“ก็ใช่น่ะสิ ถ้าเอาตรง ๆ ก็คือในช่วงเจ็ดปีที่ผ่านมานี้ข้าไม่เคยเอาจริงในการต่อสู้เลยสักครั้ง ก็เลยยังไม่ค่อยชินที่จะใช้พลังเต็มที่ในการต่อสู้สักเท่าไหร่” สไปค์กล่าวออกมาพร้อมทำท่าเหมือนกำลังคิดถึงเรื่องราวเมื่อกาลก่อน “คือเมื่อกี้ก็กะจะเอาจริงแล้ว เพราะเครื่องกำลังร้อนได้ที่ แต่การต่อสู้ดันจบลงดื้อ ๆ ซะงั้น”

“งั้นถ้านายเอาจริงขึ้นมา นายคิดว่านายจะสู้กับเจ้าตำหนักได้สินะ”

“แน่นอน ข้าไม่เคยคิดว่าตัวเองจะแพ้ในการต่อสู้หนึ่งต่อหนึ่งแน่ ๆ” สไปค์ตอบฟาร์ชูลันกลับไป “แต่ถ้าคนมีฝีมือระดับหมอนั่นรุมเข้ามาพร้อมกันหลายคนก็ไม่แน่อะนะ อาจจะแพ้ก็ได้”

“อ้อ...เจ้าเป็นพวกเกลียดการโดนรุมสินะ” ซิลเวอร์พูดขึ้น

“ก็ไม่เชิงว่าเกลียด แต่ไม่ถนัดมากกว่า เพราะรูปแบบปราณกับกระบวนยุทธ์ไร้ลักษณ์มันเหมาะจะใช้ต่อสู้ตัวต่อตัวมากกว่า”

“เฮ้ย ๆ เล่นบอกออกมาแบบนี้มันจะดีเหรอ”

“ไม่เห็นเป็นไร จะเร็วจะช้ายังไงถ้าเจ้ากับฟาร์ชูลันยังอยู่กับข้าก็คงรู้เข้าสักวัน” สไปค์ยิ้มร่าในขณะที่ตอบซิลเวอร์กลับไป

เอาตามความเป็นจริง วันนี้มีเรื่องใหญ่โตเกิดขึ้นมากมายจนคนอย่างซิลเวอร์แทบจะตั้งตัวรับมือกับความรู้สึกเหล่านี้ไม่ถูกแล้ว ไหนจะโดนหาเรื่องที่โรงอาหาร ไหนจะเจอกับเจ้าตำหนักถึงสองคน ไหนจะพลังเวทมนตร์อันน่าเหลือเชื่อของฟาร์ชูลัน ไหนจะความลับบางส่วนเกี่ยวกับพลังปราณไร้ลักษณ์ของสหายที่ตนกำลังนับหน้าถือตาอยู่ ณ ตอนนี้

“เฮ้อ...เห็นทีคืนนี้ข้าคงต้องกินยาแก้ปวดหัวก่อนเข้านอนซะแล้วสิ” กล่าวพลางเดินออกไปพิงกายซบกับลำต้นไทร พิงหัวเหมือนคนหมดเรี่ยวแรงทำมาหากิน

พระอาทิตย์ยามนี้เริ่มตกดินแล้ว แสงสว่างเริ่มหายไปจากขอบฟ้าไกล ความมืดยามค่ำคืนเริ่มเกาะกุมท้องฟ้า แสงจันทราผุดขึ้นท่ามกลางมวลเมฆที่ลอยล่องอย่างเสรี สไปค์มองดูก้อนเมฆสีครึ้มเหล่านั้นพลางนึกถึงใบหน้าของฟลอร์เลน เธอผู้เป็นถึงเจ้าตำหนักเมฆาจะมีอิสระเหมือนมวลหมู่เมฆเหล่านั้นหรือเปล่านะ

 

เช้าวันรุ่งขึ้น ข่าวลือหนาหูเกี่ยวกับสไปค์ได้แพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง ไกลจนถึงขอบเขตของนักเรียนเกรดสองขึ้นไปจนถึงเกรดแปด เพราะการท้าทายเจ้าตำหนักทั้งที่ยังอยู่แค่เกรดหนึ่งนั้น เป็นเรื่องที่โง่เขลาพอ ๆ กับบอกให้คนถือปืนเอาปืนจ่อหัวตัวเองแล้วลั่นไกซะ

หลายเสียงต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไปตามสเต็ป ทุกข้อครหาต่างว่ากล่าวสไปค์ในทางลบ จนภาพลักษณ์ของสไปค์ในตอนนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรดีเหลือในสายตานักเรียนคนอื่นอีกแล้ว แม้กระทั่งฟาร์ชูลันยังพลอยติดร่างแหเข้ามาอยู่ในข่าวลือด้วย ว่าเป็นผู้คอยสนับสนุนบ้างล่ะ คอยยุยงอยู่เบื้องหลังในฐานะแม่มดจอมเจ้าเล่ห์บ้างล่ะ สุดแล้วแต่คนจะจินตนาการใส่สีตีไข่ได้ แต่อย่างไรคนที่โดนหนักกว่าก็ยังคงเป็นสไปค์อยู่ดี

ซิลเวอร์เหมือนจะเป็นคนเดียวที่รอดตัว เพราะไม่รู้ว่าทำไมสื่อหลายสื่อที่แพร่หลายกลับมองว่าซิลเวอร์เป็นคนดีที่ติดร่างแหมากับทั้งคู่โดยไม่รู้เหนือรู้ใต้ กระทั่งหาทางออกจากแหนั้นไม่พบ เขารอดตัวราวกับเป็นแมวเก้าชีวิตไปเสียอย่างนั้น

แน่นอนว่าสภาพจิตใจของสไปค์ในยามนี้ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรอีกแล้ว เขาไม่ได้มีอาการเซื่องซึมเฉกเช่นเมื่อวาน ทั้งยังแสดงหน้าตาปกติเหมือนคนหน้าด้านไม่ว่าจะเจอกับคำพูดนินทาระยะเผาขนยังไงก็ไม่สะทกสะท้าน แต่กับฟาร์ชูลันนั้นต่างกัน เมื่อใดที่เธอได้ยินคำนินทาเกี่ยวกับเธอ มักจะมีเหตุการณ์ประหลาด ๆ บางอย่างปิดปากไม่ให้คนแอบนินทาพูดต่อได้ เสมือนว่าแก้วเสียงนั้นได้หายไปดื้อ ๆ

วันนี้มีเรียนแค่คาบเช้า เมื่อเรียนเสร็จสไปค์ก็เดินทางมาถึงตำหนักอัสนี เป้าหมายของเขาคือการท้าดวลกับเจ้าตำหนักอัสนีเพื่อชิงตำแหน่งมา แต่คำตอบที่เขาได้รับจากข้ารับใช้ที่เฝ้าประตูทางเข้าสีครามกลับเป็นคำปฏิเสธ สไปค์พยายามดึงดันแต่ก็ถูกไล่อย่างไม่ใยดี ในเมื่อตำหนักอัสนีไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้ สุดท้ายจึงต้องไปยังสถานที่ต่อไปนั่นก็คือตำหนักอัคคี

“ถ้าคนจากตำหนักอัคคีไล่เจ้าออกมาอีกล่ะ จะทำยังไง”

“ก็จะไปตำหนักวายุ กับเจ้าซิลเฟร์ที่เคยดวลกันมาก่อนน่าจะตอบรับง่ายขึ้นนะ”

“เฮ้อ หัวดื้อจริง ๆ” ซิลเวอร์ส่ายหน้าเบา ๆ

ยามนี้มีแค่ซิลเวอร์กับสไปค์เพียงสองคนเท่านั้น จริง ๆ ก็ชวนฟาร์ชูลันให้มาด้วยกันแต่ดูเหมือนว่าสาวเจ้าจะติดธุระบางอย่างจนทำให้ปลีกตัวออกมาด้วยไม่ได้ ท้ายที่สุดสไปค์จึงเดินทางมากับซิลเวอร์เพียงแค่สองคน ระยะทางระหว่างตำหนักอัสนีไปหาตำหนักอัคคีนั้นแม้ไม่ไกลมาก แต่ก็ไม่ได้นับว่าใกล้ ฉะนั้นระหว่างทางพวกเขาทั้งคู่จึงคุยกันมาตลอดเพื่อสร้างบรรยากาศที่ดีขึ้น

กระทั่งถึงหน้าตำหนักอัคคี หอคอยสีแดงเพลิงอันเป็นสัญลักษณ์นั้นมีความยาวสูงเสียดฟ้า รายล้อมหอคอยมีรูปปั้นนกสีแดงตัวใหญ่กระพือปีกเกาะอยู่หลายจุด นั่นอาจจะเป็นรูปปั้นของฟีนิกซ์ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นนกอมตะที่มีอำนาจพลังของเปลวเพลิงสถิตอยู่ก็เป็นได้

“มาทำอะไรที่นี่!” คนเฝ้าประตูพูดเสียงดังเมื่อเห็นคนแปลกหน้าสองคนเดินมา

“อ้อ มาขอท้าประลองกั--”

“มาขอสมัครเข้าเป็นหนึ่งในหน่วยของตำหนักอัคคีครับ!”

ไม่ทันที่สไปค์จะได้พูดอะไรออกมา ซิลเวอร์ก็พูดแทรกขึ้นแล้วใช้สายตาจิกสหายชายอย่างรุนแรงราวกับจะบ่งบอกเป็นนัยว่า ‘หัดใช้หัวหน่อยสิวะ’

“แย่หน่อย ตำหนักอัคคีของเราไม่เปิดรับสมาชิกใหม่มานานแล้ว” คนเฝ้าประตูกล่าวเช่นนั้น

“อ้อ ทำไมล่ะ พวกข้าปลาบปลื้มท่านเจ้าตำหนักอัคคีมากเลย ใฝ่ฝันอยากจะเข้าไปอยู่ในหน่วยอัคคีมานานแล้วนะ” ซิลเวอร์ยังคงดื้อรั้นที่จะพูดต่อ

“เฮ้อ สหายทั้งสอง ข้าเข้าใจความรู้สึกของพวกเจ้า แต่มีผู้คนมากหน้าหลายตามาที่นี่เช่นเดียวกัน และจนแล้วจนรอดก็ต้องเดินคอตกกลับไป” คนเฝ้าประตูกล่าวอย่างเสียดาย

“เพราะอะไรกันล่ะ?” คราวนี้เป็นฝ่ายสไปค์ถามบ้าง

“คือว่านะ ช่วงนี้มีข่าวลือหนาหูอยู่เรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ใหญ่โตระดับที่ท่านเจ้าตำหนักทั้งสี่คนต้องจับมือกันเพื่อคลี่คลายเลยล่ะ ทำให้ช่วงนี้การรับสมัครสมาชิกใหม่จะต้องเลื่อนยาวออกไปอย่างไม่มีกำหนด”

“เรื่องที่ว่าคือเรื่องอะไรหรือ ท่านช่วยเล่าให้พวกข้าฟังได้ไหม”

คนเฝ้าประตูมีสีหน้าครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา

“ฟังแล้วอุบไว้อย่าพึ่งไปบอกใครนะ นี่เป็นข่าวลือเฉพาะคนในตำหนักเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์รู้ได้ เรื่องมันมีอยู่ว่าช่วงนี้มีข่าวลือที่ค่อนข้างมีน้ำหนักว่ามีมารปลอมแปลงเป็นมนุษย์แทรกแซงเข้ามาอยู่ในรั้วสถาบัน!”

“อะไรนะ!” ทั้งสองหนุ่มกลับโพล่งออกมาพร้อมกัน สีหน้าแตกตื่นอย่างเห็นได้ชัด

“มีนักเรียนหลายคนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยทีละคืน ๆ พวกเจ้าทั้งสองรู้เรื่องนี้แล้วก็ระวังตัวให้ดีล่ะ รีบกลับที่พักเถอะ อยากทำอะไรให้รีบทำแล้วเข้านอนซะ ข้าเตือนด้วยความหวังดี”

กล่าวจบคนเฝ้าประตูก็โบกมือปัดให้ทั้งคู่ออกไป บ่งบอกว่าสิ่งที่เขาจะพูดมีอยู่เพียงแค่นี้เท่านั้น ที่เหลือให้ทั้งคู่ใช้วิจารณญาณตัดสินใจกันเอาเอง

พอมีคนพูดถึงมารแล้ว สไปค์ก็นึกเรื่องเมื่อเจ็ดปีก่อนขึ้นมาได้ ในวันที่หมู่บ้านถูกมารระดับสูงสามตนบุกรุกรานจนกระทั่งพวกมันจากไป มีเรื่องหนึ่งที่เขายังคงสงสัยอยู่เรื่อยมา

ฟลอร์เลนคือมารหรือไม่?

เธอดูเหมือนจะรู้จักกับมารทั้งสามตนที่บุกหมู่บ้านเมื่อครั้งนั้น แม้บทสนทนาจะสื่อถึงความไม่เป็นมิตรก็ตาม เพราะขนาดมนุษย์ยังมีมากมายที่ไม่เป็นมิตรกัน ประสาอะไรกับมารที่ไม่น่าจะสามัคคีกันทุกตน

แต่บรรยากาศของฟลอร์เลนที่สไปค์สัมผัสได้นั้นแตกต่างออกไป เธอดูเหมือนไม่ใช่มาร เขาเชื่อเช่นนั้นมาตลอด คำถามนี้จึงตกเป็นรองความอยากพบไปโดยปริยาย

ข่าวลือที่ว่ามารปลอมแปลงตนเข้ามาที่รั้วสถาบัน สไปค์หวังลึก ๆ ว่าคงจะไม่ใช่ฟลอร์เลน

คนเฝ้าประตูบอกปัดนักเรียนทั้งสองคน สไปค์กับซิลเวอร์เดินกลับหอพักด้วยความรู้สึกสับสน ทั้งที่จุดประสงค์แรกเริ่มคือตั้งใจมาขอประลองกับเจ้าตำหนักอัคคี แต่กลับจบลงด้วยการที่ได้รับรู้ข่าวเรื่องมารปรากฏตัวที่โรงเรียน ซิลเวอร์นั้นไม่เคยพบเจอมารตัวเป็น ๆ มาก่อนจึงไม่รู้ว่าควรจะจัดการความรู้สึกตนเองยังไง ส่วนสไปค์กลับคิดเรื่องเกี่ยวกับฟลอร์เลน เขาพยายามปัดไล่ความสงสัยที่มีต่อเธอให้หลุดออกไปจากใจจนสำเร็จ

เช้าวันรุ่งขึ้น ทั้งคู่มาเข้าเรียนตามปกติ ตามกำหนดการของตารางเรียนแล้ววันนี้ของทุกสัปดาห์จะเป็นวันสุดท้ายที่จะมีเรียน หลังจากวันนี้ก็จะเป็นวันสำหรับฝึกซ้อม จะได้เรียนอีกครั้งก็ต่อเมื่อเริ่มสัปดาห์ถัดไป

เมื่อสไปค์กับซิลเวอร์เดินทางมาถึงห้องเรียน ทั้งคู่ก็มองหาซ้ายขวาแต่ก็ไม่พบคนที่เขากำลังมองหาอยู่เลย

คน ๆ นั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฟาร์ชูลัน ความจริงคือพวกเขาไม่ได้เจอเธอตั้งแต่บ่ายเมื่อวานจนกระทั่งเช้าวันนี้ แรก ๆ ก็ไม่ได้คิดติดใจอะไรหรอก แต่แม้กระทั่งคาบเรียนตอนเช้าก็ยังไม่เจอตัว จนอาจารย์ลูคัสปรากฎตัวที่ห้องแล้วฟาร์ชูลันก็ยังไม่มาเรียน

ทั้งคู่ไม่ได้รับรู้เลยว่าการหายตัวไปของฟาร์ชูลันครั้งนี้...จะเกี่ยวข้องกับเรื่องร้ายกาจที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า...

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด