ตอนที่แล้วตอนที่ 160 บุชง เจ้าเป็นคู่ต่อสู้คนสำคัญที่น่ารำคาญ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 162 ปู่ของนางเป็นคนหยิ่งยโสจริง ๆ !

ตอนที่ 161 คนนอกนั้นรักและภักดี แล้วเจ้าเล่า ?


รถม้าของซวนเทียนหมิงเดินทางต่อไปอีกสองสามวัน ใกล้ถึงเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันกลุ่มตระกูลเฟิงก็มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงอย่างช้า ๆ เหตุผลที่พวกเขาเดินทางช้าก็เพราะต้องทำพิธีศพเช่นกัน ขบวนรถม้าทั้งขบวนมีผ้าขาวคลุมอยู่เหนือพวกเขา แม้กระทั่งม้าก็ถูกคลุมด้วยผ้าขาว ตลอดทางบ่าวรับใช้ถือธงและโปรยกกระดาษเงินกระดาษทอง มันทำให้คนอื่นรู้สึกเศร้า

เหยาซื่อนั่งอยู่ในรถม้ากับหวงซวนและวังซวน นางเยาะเย้ยผ้าสีขาวที่คลุมรถม้า “สำหรับลูกชายที่เลวร้ายยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน ทำไมถึงมีพิธีเช่นนี้”

หวงซวนยิ้มเยาะ “พวกเขาบอกว่ามันสำหรับคุณหนูรองด้วยเช่นกันเจ้าค่ะ พวกเขาไม่กลัวว่าคุณหนูรองจะบีบคอพวกเขาจนตาย”

หัวใจของเหยาซื่อกลับมาเต้นแรงอีกครั้ง นางถามอย่างรวดเร็ว “เจ้าแน่ใจหรือว่าอาเฮงยังไม่ตาย ?”

วังซวนยิ้มและตบหลังมือของนาง “ฮูหยินไม่ต้องกังวล นี่ไม่ใช่แค่คำปลอบโยน บานซูนำข่าวนี้กลับมารายงานแล้ว ตอนนี้คุณหนูรองอยู่ในรถม้าขององค์ชายเก้าและองค์ชายเจ็ดก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน ตอนนี้พวกเขาไปถึงเมืองหลวงแล้ว”

เหยาซื่อถอนหายใจยาว “ตอนนี้ข้าสบายใจแล้ว องค์ชายเก้าช่างทรงอำนาจจริง ๆ เราค้นหามาหลายวันแล้วแต่เราไม่พบนาง เมื่อพระองค์มา พระองค์กลับพบอาเฮง”

หวงซวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พระองค์ตามหาพระชายาของพระองค์เอง แน่นอนว่าพระองค์จะจริงจังมากกว่าสิ่งใดเจ้าค่ะ”

เหยาซื่อหัวเราะกับเรื่องตลกของนางและถอนหายใจ “ในช่วงเวลาที่ข้าเป็นฮูหยินใหญ่ของตระกูลเฟิง ข้าสามารถพูดได้ว่าข้าก็ทำเพื่อลูกสาวของข้าเอง”

วังซวนพูดกับนาง “เรื่องที่คุณหนูรองกลับเมืองหลวงพร้อมเจ้าชายเป็นความลับ ได้มีการประกาศว่าคุณหนูรองและคุณชายใหญ่ของตระกูลเฟิงต่างเสียชีวิตในกองเพลิงขนาดใหญ่ ฮูหยินต้องแสร้งทำเป็นเสียใจต่อหน้าคนอื่น เราต้องช่วยคุณหนูรองแสดงละครให้จบเจ้าค่ะ”

เหยาซื่อพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว เรา…” ก่อนที่นางจะพูดจบ รถม้าก็หยุดทันที โชคดีที่พวกเขาเดินทางช้า ดังนั้นผู้คนที่อยู่ในรถม้าก็ไม่ได้ตกใจมาก แต่พวกเขาก็สันสน “เสียงนี้มาจากข้างนอกหรือ?” เหยาซื่อขมวดคิ้วแล้วยกม่านขึ้นมอง “เหมือนมีคนมา” วังซวนอยู่ข้าง ๆ เหยาซื่อ ในขณะที่หวงซวนยืนขึ้น และออกจากรถม้า ไม่นานหลังจากนั้นนางมุดหัวเข้าไปข้างในแล้วพูดว่า "มีคนมาขวางทาง"

ในเวลานี้เหยาซื่อเหลือบมองไปเล็กน้อย นางชี้ไปที่คนข้างหน้าและพูดกับวังซวนว่า“ข้าไม่รู้ว่าเจ้ารู้จักคนในตระกูลบุหรือไม่ แต่มองดูคนผู้นั้น เขาใช่บุชงหรือไม่?”

วังซวนอยู่ข้างซวนเทียนหมิงมาหลายปีแล้ว นางรู้จักบุชงแน่นอน แม้ว่านางจะไม่เห็นเขามานานหลายปี แต่นางก็ยังประทับใจเขา

นางมองไปที่เขาก่อนพยักหน้า “ใช่ บุชงจริง ๆ ด้วย”

ในด้านนี้ทั้งสองเพิ่งจำบูชงได้ก่อนตอนที่บูชงกำลังควบม้าของเขาพุ่งตรงเข้ามาที่กลุ่มรถม้าจากตระกูลเฟิง

คนที่เห็นฉากนี้ต่างพากันกรีดร้องโดยพร้อมเพรียง แต่บุชงก็ไม่ได้หยุด เขาถือหอกของเขาและพุ่งตรงเข้ามายังรถม้าต่อ

บุชงเป็นผู้บัญชาการทหารและเป็นคนที่มีชื่อเสียงด้านความแข็งแกร่งมาก มีคนกล่าวว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเจาะหินที่หนักกว่า 100 จินด้วยหอกของเขา รถม้าดูเหมือนจะไม่มีอะไรเลย เขาเคาะมันเบา ๆ และหลังคารถม้าก็หลุดออกไปราวกับไม่ต้องใช้แรงมากนัก

นี่คือการเดินทางของเฟิงจินหยวน เขาได้รับคำตอบแล้วว่าคนที่ขวางถนนคือบุชง ความตั้งใจดั้งเดิมของเขาคือซ่อนตัวอยู่ในรถม้าและไม่พบบุชง อย่างไรก็ตามเขารู้สึกได้ทันทีว่ามีลมเย็นพัดมาจากเหนือศีรษะของเขา เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นไปเขาก็มองเห็นท้องฟ้าแจ่มใสและหลังคารถม้าลอยขึ้นไป

“ท่านเสนาบดีเฟิง! ท่านยังไม่ออกมาหรือ?” บุชงตะโกนอย่างโกรธแค้นและก้าวร้าวเหมือนสัตว์ร้าย “ท่านต้องการให้แม่ทัพคนนี้ทำลายรถม้าของท่านด้วยหรือไม่ ?”

เฟิงจินหยวนโกรธขึ้นมาทันที เขาก้มตัวเล็กน้อยและออกจากรถม้า เขาชี้ไปที่บุชง “เจ้าเรียกตัวเองว่าแม่ทัพหรือ? เช่นนั้นเจ้าต้องจำไว้ว่าเสนาบดีคนนี้ยังเป็นขุนนางขั้นหนึ่งของราชสำนัก บุชง นี่เจ้าเป็นกบฏหรือ?”

คำว่ากบฏกลายเป็นข้อหาร้ายแรงสำหรับบุชง

แต่บุชงไม่สนใจเรื่องนี้เลย “ท่านพูดได้ตามที่ท่านต้องการ เฟิงจินหยวน ข้าวันนี้เพื่อดูว่าท่านเสียใจหรือไม่กับการที่บุตรสาวตายไป ?” เขาพูดพร้อมกับส่ายหัว “โชคไม่ดี บุตรชายของท่านก็เสียชีวิต ความเศร้าโศกบนใบหน้าของท่านมีไว้สำหรับบุตรชายของท่าน และไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับอาเฮงเลย”

ใบหน้าของเฟิงจินหยวนกลายเป็นสีเขียวด้วยความโกรธ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เข้าใจว่าบุชงรู้สึกเจ็บใจแทนอาเฮง เขาก็รู้สึกหดหู่มากขึ้น

“บุชง เจ้าพยายามสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในของครอบครัวเฟิงหรือ ? ใครให้สิทธิ์นี้กับเจ้า ?” ในที่สุดมันเป็นบันฑิตที่ไม่สามารถทำให้ทหารเข้าใจได้ หอกของบุชงชี้ตรงไปที่หน้าผากของเฟิงจินหยวนและอยู่ห่างออกไปไม่ถึงช่วงแขน จึงเป็นไปไม่ได้ที่เฟิงจินหยวนจะเพิกเฉยต่อแรงกดดันของหอกนั้น ไม่ว่าเขาจะรู้สึกยังไง เขาก็ยังเต็มไปด้วยความโกรธ แต่เขาไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้

แม้ว่าเขาจะไม่พูดอะไรมันก็ไม่ได้หมายความว่าบุชงจะไม่พูดอะไรเลย ในขณะที่บุชงเอ่ยว่า "เฟิงจินหยวน ท่านคงไม่ยอมให้ข้ารู้ว่าอาเฮงตายอย่างอยุติธรรม มิฉะนั้นข้า บุชง ถ้านี่หมายถึงข้าจะกำลังกบฏ ข้าจะนำทหารของข้าไปยังคฤหาสน์ของท่าน!”

หลังจากพูดเสร็จ บุชงก็ดึงหอกของเขากลับมาและยกมือขวาขึ้น ด้วยความประหลาดใจของเฟิงจินหยวน เจ้าหน้าที่สิบคนที่อยู่เบื้องหลังบุชงยกคันธนูของพวกเขา บรรจุลูกธนูและเล็งไปที่รถม้าของตระกูลเฟิง

เสียงกรีดร้องของพวกผู้หญิงดังมาจากด้านหลัง แม้แต่เฟิงจินหยวนก็เริ่มสั่น

“อะ... เจ้าต้องการทำอะไร”

บุชงยิ้มอย่างเย็นชา “ถ้าข้าพูดว่าต้องการสังหารข้าราชสำนักสักคน ท่านจะเชื่อข้าหรือไม่”

เฟิงจินหยวนอ้าปากค้าง ลูกธนูถูกเล็งไปแล้ว มีอะไรที่เขาจะไม่เชื่อ? ความทรงจำเมื่อหลายปีก่อนก็แว่บเข้ามา ปีนั้นเฟิงหยูเฮงอายุเพียง 6 ขวบ นางเป็นคนที่เขาถือเป็นบุตรสาวที่มีค่าของเขากับฮูหยินใหญ่ บุชงขอร้องครอบครัวของเขาให้มาสู่ขอนาง แต่พวกเขาได้รับการปฏิบัติอย่างเย็นชาจากเฟิงจินหยวน...

“บุชง” ใบหน้าของเขาดีขึ้นมาเล็กน้อย “ข้ารู้ว่าเจ้ารู้สึกยังไงกับอาเฮง แต่ที่พักของตระกูลถูกไฟไหม้ นี่คือสิ่งที่ไม่มีใครสามารถควบคุมได้ ! แม้แต่บุตรชายคนโตของข้าก็เสียชีวิตในกองเพลิงนั้น บุชง มันจะอยุติธรรมได้อย่างไร ?”

บุชงมองที่ใบหน้าที่เสแสร้งของเขาและรู้สึกเบื่อหน่าย “ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ เด็กหญิงที่ดีอย่างอาเฮงเกิดมาในตระกูลของเจ้าได้อย่างไร ? บุตรสาวที่ดีจากตระกูลเหยาแต่งงานกับตระกูลเฟิงได้อย่างไร?”

หลังจากพูดจบ เขาไม่ได้ปล่อยให้พักหายใจ มือขวาที่เขาชูขึ้นสูงก็ให้สัญญาณทันที เจ้าหน้าที่ด้านหลังของเขาพร้อมคันธนู ปล่อยลูกธนูออกพร้อมกัน ลูกธนูทุกดอกยิงเข้าหาขบวนรถม้าของตระกูลเฟิง

ใบหน้าของเฟิงจินหยวนซีดด้วยความกลัว เสียงกรีดร้องที่อยู่ข้างหลังเขาดังขึ้นอีกรอบหนึ่ง

เขาคิดกับตัวเองว่ามันจบแล้ว

เขากลับได้ยินเสียง “อันธพาล” จำนวนนับไม่ถ้วนและไม่ใช่เสียงกรีดร้องโหยหวนของผู้หญิง

เมื่อเขาปลุกความกล้าขึ้นมา เขาก็เหลียวมองแล้วพบว่าลูกธนูทุกดอกนั้นร่วงลงก่อนรถม้า ไม่ใช่แค่คนในรถม้าปลอดภัย แม้แต่คนที่นั่งข้างนอกรถม้าก็ปลอดภัย

เฟิงจินหยวนถอนหายใจด้วยความโล่งอก ดูเหมือนว่าบุชงจะทำให้เขากลัวและไม่กล้าลงมือทำจริง ๆ

หลังจากยิงธนู บูชงก็ไม่พูดอีก เขาไปที่รถม้าและเอาผ้าขาวออก และวางไว้ที่เอวของเขา เขาพูดว่า “ทำตามที่ข้าสั่ง ไปส่งอาเฮง”

หลังจากนี้เขาโบกมืออีกครั้งแล้วออกจากกลุ่ม

ในที่สุดหัวใจของเฟิงจินหยวนก็กลับไปเต้นตามปกติ เขารีบออกจากรถม้าของเขาอย่างรวดเร็ว และไปดูว่าฮูหยินผู้เฒ่าตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือไม่?

เมื่อเขายกผ้าม่านขึ้น เขาเห็นฮูหยินผู้เฒ่าเกาะหน้าต่าง แล้วชมวิวไปรอบ ๆ พร้อมกับลูกปัดคำอธิษฐานในอีกด้านหนึ่งพูดซ้ำ ๆ ว่า “อามิตตาพุทธ”

เฟิงจินหยวนถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ท่านแม่ ท่านไม่เป็นไรนะขอรับ”

ฮูหยินผู้เฒ่าหยุดสวดอ้อนวอนต่อพระพุทธเจ้าและลืมตาอย่างช้า ๆ นางไม่ตอบสนองต่อเฟิงจินหยวน แต่นางถามว่า “คนนอกนั้นรักและภักดีมาก และเจ้าล่ะ ?”

เฟิงจินหยวนไม่ตอบคำถามของฮูหยินผู้เฒ่า แม้กระนั้นเขาก็รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย นอกจากนี้เขายังรู้สึกว่าฮูหยินผู้เฒ่าเข้าข้างอาเฮงมากเกินไป ดังนั้นเขาจึงพูดด้วยใบหน้าเย็นชา “ลูกก็คิดถึงจื่อเฮา” หลังจากพูดจบ เขาก็ลดม่านลงและเดินจากไป

กลุ่มตระกูลเฟิงเดินทางต่อเนื่อง เฟิงจินหยวนไปนั่งในรถม้าของจินเฉิน เนื่องจากเรื่องที่เกิดขึ้นกับเฟิงหยูเฮง ใบหน้าของจินเฉินจึงดูไม่ค่อยดีและซีดขาวมาก เฟิงจินหยวนเพียงแค่คิดว่านางตกใจกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น ดังนั้นเขาจึงไม่ได้คิดมากเกินไป

ทั้งครอบครัวได้รับคำสั่งปิดปาก เขาไม่กลัวว่าจะมีคนไม่เชื่อฟังคำสั่งเช่นนี้ หากคำพูดนี้หลุดออกไปครอบครัวเฟิงจะล้มลงด้วยพวกเขาก็จะตกต่ำ แม้แต่ฮันชิที่ชอบความโชคร้ายของผู้อื่นก็สามารถปิดปากนางได้

ความเร็วของตระกูลเฟิงนั้นน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของซวนเทียนหมิง ก่อนที่ครอบครัวเฟิงจะเสร็จสิ้นการเดินทาง กลุ่มของซวนเทียนหมิงก็มาถึงเมืองหลวงแล้ว

รถม้าเดินตรงไปยังพระราชวัง เมื่อพวกเขามาถึงพระราชวัง พวกเขาย้ายไปที่รถม้าขนาดเล็กซึ่งถูกส่งไปยังห้องโถงจาวเห่อของฮ่องเต้

เมื่อพวกเขาเข้าไปในพระราชวังก็ตกเย็นแล้ว ขณะนี้ฮ่องเต้กำลังอยู่ในห้องโถงจาวเห่อ เขาสงสัยว่าเขาควรลองไปที่ตำหนักศศิเหมันต์อีกครั้งหรือไม่ เขาเชื่อว่าในเมื่อพระชายาหยุนออกมาในช่วงงานเลี้ยงกลางฤดูใบไม้ร่วงเพื่อเดินเล่น นั่นหมายความว่าความรู้สึกของนางเริ่มเปลี่ยนไป ถ้าเขาใช้ความพยายามเพิ่มอีกนิด บางทีเขาอาจมีโอกาสได้เห็นนาง

ด้านการดูแลของเขา จางหยวนมองดูฮ่องเต้เดินไปมาในห้องโถงใหญ่แห่งนี้ เขาเริ่มตาลายจากการดูฝ่าบาทเดินไปมา เขาจึงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า "ฝ่าบาท! หากฝ่าบาทต้องการไปที่ตำหนักศศิเหมันต์  เราต้องไปทันที ถ้าเราไปช้ากว่านี้ พระชายาหยุนจะทรงพักผ่อนพะยะค่ะ"

“นางจะพักผ่อนเร็วหรือ?” ฮ่องเต้กลอกตาแต่ตอบคำถามเอง “นั่นเป็นเรื่องจริงเช่นกัน แม้ว่านางจะยังอยู่ที่นี่ นางก็ไม่เคยคิดจะรอเรา โดยไม่ต้องทำอะไรมาก แน่นอนว่านางจะเข้านอนเร็ว ไป! เราไปดูกัน!”

เขาพร้อมที่จะพาจางหยวนไปตำหนักศศิเหมันต์ เขาเห็นขันทีวิ่งเข้ามาคุกเข่าและรายงาน “ฝ่าบาท องค์ชายเก้าและองค์ชายเจ็ดมาถึงแล้วพะยะค่ะ”

ฮ่องเต้โกรธมากจนกระทั่งหนวดเคราของเขากระดิก “เจ้าเด็กบ้าสองคนนี้ ! จะมาเร็วหรือช้ากว่านี้ก็ไม่ได้ ทำไมพวกเขาจะต้องมาตอนนี้ !” แต่เป็นเพียงคำบ่น ในขณะที่ฝ่าบาทหันกลับมาและเสด็จกลับไปที่บัลลังก์ ฝ่าบาทโบกพระหัตถ์และบอกขันทีว่า “ให้เขาเข้ามาเถิด!”

จางหยวนยักไหล่และถอนหายใจ ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องไปหลบที่ตำหนักศศิเหมันต์อีกครั้ง แต่เมื่อคิดอีกครั้งเขาเพิ่งได้ยินว่าคุณหนูรองตระกูลเฟิงเสียชีวิตจากไฟไหม้ที่บ้านพักของตระกูลเฟิงในมณฑลเฟิงตง เขาประทับใจคุณหนูรอง มันไม่ใช่ใครอื่นนอกจากพระชายาที่ยังไม่ได้แต่งงานขององค์ชายเก้าของฝ่าบาท แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังนึกถึงนาง ฝ่าบาทไม่เพียงแต่มอบรางวัลปิ่นหงส์เพลิงให้นาง แต่ยังมอบธนูโฮยี่เป็นรางวัลให้นาง เขาได้พบกับเฟิงหยูเฮง นางเป็นเด็กสาวที่ชาญฉลาด หากนางเสียชีวิตจากไฟไหม้ครั้งใหญ่ มันน่าเสียดายมาก

“ข้าได้ยินมาว่าหมิงเอ๋อและฮั่วเอ๋อออกไปไกลมาก ?” ฮ่องเต้ตรัสถามจางหยวน

จางหยวนตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ทั้งสองพระองค์ออกจากเมืองหลวง แต่ไปไหน บ่าวรับใช้คนนี้ก็ไม่ทราบแน่ชัดพะยะค่ะ”

ขณะที่พวกเขากำลังพูดอยู่ ผู้คนก็เข้ามาในห้องโถง เสียงของซวนเทียนหมิงดังขึ้นก่อนที่เขาจะเข้าไปในห้องโถง “ข้าไปมณฑลเฟิงตงมา”

ขณะที่ถ้อยคำเหล่านี้ดังออกมา ก็มองเห็นเด็กหญิงที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าธรรมดาไสรถเข็นของซวนเทียนหมิงมา นางเดินเคียงข้างกับซวนเทียนฮั่ว

ฮ่องเต้หรี่ตาและมองไปที่เด็กผู้หญิงคนนั้น เขาก็เคยได้ยินเช่นเดียวกันกับจางหยวน ดูเหมือนว่าเด็กหญิงคนนี้ถูกไฟคลอกตายในกองเพลิงไม่ใช่หรือ?

“ลูกคารวะเสด็จพ่อพะยะค่ะ” ซวนเทียนฮั่วและเฟิงหยูเฮงทั้งสองคุกเข่าบนพื้น มีเพียงเซียนเทียนหมิงที่ยังนั่งอยู่บนรถเข็น ขณะที่เขาพูดว่า “อาเฮงคารวะเสด็จพ่อเพคะ”

ฮ่องเต้ตะโกนว่า “เอาล่ะ พอกับเรื่องไร้สาระ” ซวนเทียนฮั่วและเฟิงหยูเฮงยกมือขึ้น “เจ้าตามพระชายาของเจ้าไปทุกที่ เจ้าจะมีอนาคตที่ดีได้อย่างไร ?” ฮ่องเต้จ้องมองซวนเทียนหมิงจากนั้นมองเฟิงหยูเฮงต่อ หลังจากมองดูนางซักพัก ฝ่าบาทก็ตรัสถามว่า “ข้าได้ยินข่าวว่าเจ้าเสียชีวิตแล้ว ?”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด