ตอนที่แล้วบทที่ 148 ทหารยันต์  
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 150 เป้าหมายใหม่

บทที่ 149 ไฟ  


 

ชมดูการต่อสู้อันเร่งร้อนเกรี้ยวกราดของหวีป๋ายกับหนานเหมินหยาง ไม่มีผู้ใดสามารถละสายตาไปได้

ผ่านไปเพียงสามกระบวนท่า หนานเหมินหยางก็ถูกหวีป๋ายสะกดไว้อย่างสิ้นเชิง ภายใต้พายุกระบี่โหมกระหน่ำ มันแทบไม่อาจเงยหน้าขึ้นได้ หวีป๋ายไม่ได้ลงมือตามรูปแบบสง่างามตามปกติ แต่ละกระบี่ของมันแทนที่ด้วยความดุร้าย เฉียบขาด ทั้งยังหมายชีวิต ทำเอาผู้ชมดูที่อยู่ภายในค่ายกล รู้สึกหัวใจเย็นเฉียบอยู่บ้าง

เมื่อคนสุภาพเรียบร้อยผู้หนึ่งบันดาลโทสะ มันน่ากลัวมาก!

ผู้ที่คิดว่าน่าเบื่อหน่าย อาจมีเพียงฉางเหิงคนเดียว

การต่อสู้เข่นฆ่าในระดับนี้ ไม่สามารถปลุกเร้าจิตวิญญาณของมันได้ มันกวาดตาสำรวจไปรอบๆ เห็นทุกผู้คนหยุดการกระทำของตน หนานเหมินหยางกับทหารยันต์ปะทะกันสามกระบวนท่าสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ดึงดูดเหล่าซิวเจ่อแทบทั้งหมดในค่ายกลมารวมตัวกัน เวลานี้การต่อสู้ระหว่างหวีป๋ายกับหนานเหมินหยาง ไม่ได้ทำให้เลือดเดือดพล่านถึงเพียงนั้นอีก แต่ด้านกระบวนท่าเคล็ดวิชากลับน่าดูชมไม่น้อย

ฝ่ายหนึ่งมีต้นกำเนิดจากชั้นรากหญ้า ไม่มีชาติตระกูล ไม่สังกัดสำนัก ส่วนอีกฝ่ายเป็นศิษย์รักของเจ้าเมืองตงฝู!

เมื่อทั้งสองฝ่ายลงมือแบบจริงจัง การต่อสู้ก็ชวนให้เปิดหูเปิดตา น่าอัศจรรย์ใจ เหล่าผู้ชมพากันดื่มด่ำมึนเมาไม่น้อย!

โดยไม่มีผู้ใดทันสังเกต ซิวเจ่อผู้เข้าประลองภายในค่ายกลทั้งหมด ล้วนมารวมตัวกันอีกครั้ง

ฉางเหิงแหงนหน้ามองเหล่าวงแหวนแสงที่แหวกว่ายอยู่กลางอากาศ และมองจันทร์เสี้ยวที่แขวนสูงขึ้นไป ดูท่าทางหวั่นไหวใจอยู่บ้าง จากนั้นรั้งสายตากลับมา เพราะมันสังเกตเห็น ในระยะห่างออกไปเล็กน้อย จงหมิงเอี้ยนกำลังมองมันอยู่ สายตาสองคู่ประสานกันกลางอากาศ ราวกับกระบี่คมกล้าสองเล่มปะทะกันบนเวหา ประกายไฟแลบพุ่ง!

บุรุษหนุ่มยอดฝีมือที่ดื้อรั้นถือดีสองคน ลอบประเมินซึงกันและกัน

“สู้หรือไม่?” จงหมิงเอี้ยนเอ่ยปากอย่างเย็นชา สายตาเต็มไปด้วยความท้าทาย

“ไม่สนใจ!” ฉางเหิงเพียงเหลือบมองจงหมิงเอี้ยนแวบเดียว จากนั้นรั้งสายตามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ดูเหมือนว่าสำหรับมัน กลุ่มวงแหวนแสงที่เริงร่าอยู่กลางเวหาเหล่านั้น ยังน่าสนใจกว่าจงหมิงเอี้ยนเสียอีก

จงหมิงเอี้ยนหรี่ตาลงเล็กน้อย แต่ไม่ได้ท้าทายอีก กล่าวถึงความดุร้ายอำมหิต ในการประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่ครั้งนี้ ไม่มีผู้ใดเกินฉางเหิง ผู้เข้าประลองทุกคน เมื่อเผชิญหน้ากับคนดุร้ายนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็อดครั่นคร้ามอยู่บ้างไม่ได้ จงหมิงเอี้ยนก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

จงหมิงเอี้ยนสีหน้าเปลี่ยนจากเขียวคล้ำกลับเป็นปกติ กล่าวเบาๆ “เช่นนั้นไฉนเราไม่ลองเดิมพันดู ว่าผู้ใดจะทำลายค่ายกลได้ก่อน?”

ฉางเหิงยังคงแหงนหน้าอยู่ตามเดิม ไม่ได้เหลือบมองจงหมิงเอี้ยนแม้แต่แวบเดียว กล่าวอย่างเฉื่อยชาว่า “อ้อ ข้าเกรงว่าเจ้าไม่สามารถทำลายมัน”

หากจงหมิงเอี้ยนยังไม่ทราบว่าฉางเหิงดูถูกมัน มันก็นับว่าโง่งมเต็มทีแล้ว สีหน้ามันดูน่าเกลียดยิ่ง แค่นเสียงอย่างเย็นชา “เจ้าอาจประเมินข้าต่ำเกินไป!”

“เจ้าสามารถทดลองดู” ฉางเหิงชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า สีหน้าปกติเป็นธรรมชาติ

ได้ยินเช่นนี้ จงหมิงเอี้ยนคร้านจะโต้เถียงกับฉางเหิงอีก ในมือมันปรากฏกระบี่เจ็ดดอกเหมย

สะบัดข้อมือคราหนึ่ง ดอกเหมยสามดอกลอยออกมา เปลี่ยนเป็นลำแสงเหินขึ้นสู่ท้องนภากาศ

จงหมิงเอี้ยนตั้งใจให้ฉางเหิงเห็นความแข็งแกร่งของมัน ดังนั้นกระบวนท่าแรกที่มันใช้ออกมา เป็นความสำเร็จสูงสุดของมันในเวลานี้ ‘สามหยอกเย้า!’

ปราณกระบี่แฝงเจตจำนงกระบี่สามเล่ม ประดุจปลาปราดเปรียวสามตัว หมุนควงเป็นวงเกลียว ไต่สูงขึ้นไปอย่างรวดเร็ว พุ่งจู่โจมใส่จันทร์เสี้ยวที่กลางนภากาศ

 

จั่วม่อกำลังครุ่นคิดหาวิธีแบ่งแยกจิตสำนึก ทันใดนั้นตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงในค่ายกล พลันตื่นขึ้นมาทันที

ท่านย่าเจ้าเถอะ! ไม่รู้จักจบจักสิ้นกันเลยหรือไร? มันกำลังมีความก้าวหน้าเล็กๆ น้อยๆ อยู่พอดี จั่วม่อก่นด่าอย่างเดือดแค้น จากนั้นพบว่าคนที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาเป็นจงหมิงเอี้ยนเจ้าเก่า ไฟโทสะในใจก็ลุกฮือขึ้นมา!

มันจำได้ เจ้าผู้นี้เป็นบุคคลแรกที่เริ่มสร้างปัญหาให้กับมัน!

เป็นความขุ่นแค้นที่มาจากอก ความชิงชังจากถุงน้ำดี โทสะของจั่วม่อปะทุอยู่ในใจ ฉับพลันนั้นมันจมลงไปความพิโรธอีกครั้ง!

เกอเห็นเจ้าเป็นที่ขัดตามานานแล้ว!

จั่วม่อตาเขียวปั้ด สองมือที่หยุดชะงักไป เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง มันเข้าใจในที่สุด ดูจากเวลาและสถานที่ นี่ไม่ใช่ที่ที่มันสมควรจะมาครุ่นคิดเกี่ยวกับวิธีแบ่งแยกจิตสำนึก กลุ่มคนที่ชอบถมหินลงบ่อเหล่านี้อาจชั่วช้าเลวทราม แต่ทุกคนล้วนมีพลังที่จะทำลายค่ายกลได้ หากมันไม่อาจสำเร็จค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์เจ็ดสิบสองค่ายกลย่อย ก็ไม่สามารถทำอันใดต่อคนพวกนี้ได้

จั่วม่อไม่ทันรู้ตัว ว่ามันกำลังคิดหาวิธีจัดการกับยอดฝีมือที่อยู่ภายในค่ายกลเหล่านี้ หลงลืมไปโดยสิ้นเชิงว่าทุกคนในที่นี้ ไม่ว่าผู้ใดก็แข็งแกร่งกว่ามันทั้งนั้น

แต่จั่วม่อประสบปัญหายากลำบากเช่นเคย ก่อนที่มันจะสามารถก่อตั้งค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์เจ็ดสิบสองค่ายกลย่อยแล้วเสร็จ มันจำเป็นต้องหาทางหยุดคนเหล่านี้ จากการทำลายค่ายกลเสียก่อน!

เจ็ดสิบสองค่ายกลย่อยเกือบจะเสร็จสมบูรณ์ในอีกไม่ช้าแล้ว คนร้ายเหล่านี้ก็ออกมาก่อความวุ่นวายอีกครั้ง

มันเพิ่งใช้ยันต์ทหารหยุดยั้งหนานเหมินหยางไม่ให้ทำลายค่ายกล เวลานี้จะใช้สิ่งใดหยุดยั้งจงหมิงเอี้ยน จากการทำลายค่ายกล?

เจ้าคิดว่าเกอมีเพียงยันต์ทหารหรือไร?

จั่วม่อบดกรามแน่น ในใจสาปแช่งจงหมิงเอี้ยนหลายร้อยหลายพันครั้ง แต่ในขณะเดียวกัน จิตสำนึกของมันก็ไหลไปข้างหน้าอย่างเงียบเชียบ ประดุจลำธารสายหนึ่ง

มันโน้มร่างไปข้างหน้าเล็กน้อย แผ่นหลังโค้งงอ คนคล้ายโค้งคำนับ ดุจคันธนูน้าวสาย มันรักษาท่วงท่าแปลกพิสดารนี้ไว้ นิ่งสงบไม่ไหวติง มีเพียงดวงตาหรี่แคบลง ไม่ผิดอันใดกับนายพรานเฝ้ารอเหยื่อของมัน

 

ปราณกระบี่สามเล่มของจงหมิงเอี้ยนประดุจปลากินเนื้อ ที่ลงไปในบึงอันอุดมไปด้วยฝูงปลา!

วงแหวนแสงที่พยายามเข้าใกล้ปราณกระบี่ จะถูกหั่นเป็นชิ้นๆ ในทันที ปราณกระบี่รูปเกลียวทั้งสามไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย พกพาเสียงแหวกฝ่าอากาศสั่นขวัญสะท้านวิญญาณ พุ่งตรงไปยังจันทร์เสี้ยวบนท้องฟ้าไม่หยุดยั้ง!

ในสายตาของมัน จันทร์เสี้ยวเรืองรองดวงนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นกุญแจสำคัญในการทำลายค่ายกล!

หากมันสามารถทำลายจันทร์เสี้ยว อาจแก้ค่ายกลใหญ่ทั้งหมดได้

กลุ่มวงแหวนแสงก่อตัวเป็นชั้นๆ คล้ายผืนผ้าหนาและเหนียวแน่น มีดหรือขวานยากจะกรีดให้เป็นรอย แต่หากเป็นปลายเข็มแหลมคม สามารถเจาะชั้นผ้าหนานี้ได้อย่างง่ายดาย

ปราณกระบี่ทั้งสามหมุนควงไม่หยุดยั้ง ประสานกันเป็นรูปขบวนคมกล้าที่ไม่เหมือนผู้ใดขบวนหนึ่ง ปราณกระบี่แต่ละเล่มประหนึ่งใบมีดคมกริบเป็นที่สุด พลังเจาะทะลวงเหนือล้ำกว่าปราณกระบี่ทั่วไปมาก!

กลุ่มวงแหวนแสงที่สามารถสกัดกั้นกระบวนท่าหนึ่งตัดดอกเหมยอย่างง่ายดาย เมื่อเผชิญกับกระบวนท่าสามหยอกเย้า กลับถูกเจาะทะลวงดุจเศษผ้าเปื่อยยุ่ย!

ปราณกระบี่รวดเร็วดุจสายฟ้า ไม่ใช่สิ่งที่วงแหวนแสงจะไล่ตามทัน แต่วงแหวนแสงเหล่านี้คล้ายมีชีวิต เมื่อทราบว่าพวกมันไม่มีปัญญาสกัดกั้นปราณกระบี่ ก็พากันพุ่งดิ่งลงมายังจงหมิงเอี้ยนแทน

วงแหวนแสงวงแล้ววงเล่าดิ่งลงจากฟากฟ้า ตรงเข้าล้อมรอบจงหมิงเอี้ยน

ต่อให้เป็นจงหมิงเอี้ยนผู้เก่งกาจ ยังไม่กล้าทดสอบพลังของวงแหวนด้วยตัวเอง ทุกผู้คนล้วนมีความทรงจำอันลึกล้ำต่อซิวเจ่อที่ถูกตัดสิทธิ์ และถูกนำออกจากค่ายกลเป็นคนแรกผู้นั้น!

นางแอ่นคู่โบยบิน!

ดอกเหมยสองดอกหลุดออกมาจากกิ่งเหมย โบยบินดุจผีเสื้อคู่ เหินร่อนรอบกายจงหมิงเอี้ยน เมื่อวงแหวนแสงจากฟากฟ้าจู่โจมเข้าหาจงหมิงเอี้ยน จะสามารถได้ยินเสียงแก้วแตกดังสดใส วงแหวนแสงระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เปลี่ยนเป็นเศษพลังงานนับไม่ถ้วนกระจัดกระจายไป!

อย่างไรก็ตาม กลุ่มวงแหวนแสงจู่โจมลงหาจงหมิงเอี้ยนไม่ยอมเลิกรา ยิ่งมายิ่งหนาแน่นเหมือนไร้ที่สิ้นสุด

ติง ติง ติง!

เสียงคมชัดสดใสดังระรัว ไม่ต่างอันใดกับถ้วยแก้วนับร้อยแตกกระจายในรวดเดียว!

เศษพลังงานแตกหักโปรยปรายลงมา ล่องลอยรอบกายจงหมิงเอี้ยน จากนั้นถูกเป่าปลิวหายไป โดยสายลมที่เกิดจากปราณกระบี่ดอกเหมยสองดอกนั้น ท่ามกลางพิรุณเศษแสงพลังงาน จงหมิงเอี้ยนไม่เป็นอันตรายแม้แต่น้อย

“คนหนุ่มสาว เรี่ยวแรงล้นเหลือจริงๆ” บุรุษหน้าเหลืองปรากฏกายที่ด้านข้างฉางเหิง กล่าวพลางจุ๊ปาก

ฉางเหิงยังคงจ้องมองท้องฟ้า ตอบอย่างเฉื่อยชาว่า “มันโง่เง่ายิ่ง”

“ฮี่ฮี่ นั่นก็ประเสริฐ มันสมควรช่วยให้เราประหยัดพลังงานได้บ้าง” คนหน้าเหลืองกล่าวอย่างยิ้มแย้ม

ฉางเหิงฟังมันกล่าวเช่นนี้ พลันเหลียวหน้าไปมองชายหน้าเหลือง “เจ้ากำลังเสาะหาผู้ใด?”

“เสาะหา?” คนหน้าเหลืองคล้ายไม่เข้าใจ

“พลังฝีมือของเจ้าสูงส่งกว่าผู้ใดในที่นี้” ฉางเหิงกล่าวแผ่วเบา “ซ่อนพลังฝีมือที่แท้จริง ไม่ได้เข้าร่วมประลองเพื่ออันดับ เจ้าย่อมมีเป้าหมายอื่น เจ้าเอาแต่วิ่งไปวิ่งมา ดูราวกับว่ากำลังพยายามเสาะหาบางสิ่ง ที่นี่คือหอคลื่นสนที่เหล่าศิษย์อารามตงฝูเคยเข้ามากันจนปรุโปร่ง ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีสิ่งของดีๆ อยู่ที่นี่ เจ้าในเมื่อไม่ได้มาเสาะหาสิ่งของ เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว เจ้ากำลังเสาะหาคน!”

รอยแย้มยิ้มบนใบหน้าของคนหน้าเหลืองเลือนหายไป ควงตาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นคมกริบดุจคมมีด

ใบหน้าของฉางเหิงยังคงไม่แยแสเช่นเคย

ชายหน้าเหลืองจู่ๆ ก็ปรบมือ พลางหัวร่อ “ผู้อื่นรู้จักเจ้าในเรื่องโหดเหี้ยมกระหายเลือด ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเจ้าจะขวัญกล้าใจละเอียดอ่อนถึงเพียงนี้ กระทั่งข้ายังประเมินเจ้าต่ำทรามไป”

“เราไม่มีความขัดแย้งกันแน่นอน” ฉางเหิงตั้งแต่ต้นจนจบ สีหน้าสงบราบเรียบ ราวกับกล่าวถึงเรื่องบางอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวมันเลย

คนหน้าเหลืองพลันทอดถอนแผ่วเบา “ไม่ได้อยู่ที่นี่” มันไม่อาจปิดบังความผิดหวังได้

“เป็นที่น่าเสียดาย” ฉางเหิงกล่าวด้วยสีหน้าสงบ แต่มันไม่ได้อธิบายว่าไฉนจึงน่าเสียดาย

 

ในทะเลแห่งจิตสำนึกของจั่วม่อ ผูนั่งบนศิลาสุสาน ทอดสายตามองไปยังที่ห่างไกล มุมปากประดับด้วยรอยยิ้มสนุกสนานที่ยากจะบ่งบอกบรรยายชนิดหนึ่ง ดูเหมือนเหยียดหยันส่วนหนึ่ง โหยหาส่วนหนึ่ง เดียวดายส่วนหนึ่ง เย็นชาอีกส่วนหนึ่ง...

แตกต่างจากผูเยาที่มั่นคงพอๆ กับภูเขาไท่ซาน จั่วม่อในยามนี้ประหนึ่งลูกธนูพาดสายขึงตึง เพียงแตะต้องก็จะหลุดออกจากแล่งทันที!

จันทร์เสี้ยวดวงนั้นอาจไม่ใช่ประตูตาย แต่หากถูกโจมตี จั่วม่อทราบดีว่าจะเกิดเรื่องอันใด!

ไม่มีเวลาให้มันคิดมากไปกว่านี้แล้ว

แสงสีน้ำเงินคล้ายโซ่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน ... ค่ายกลกักมังกร!

ตำแหน่งที่โซ่น้ำเงินโผล่ออกมาแม่นยำถึงที่สุด พอดีสกัดกั้นเส้นทางของปราณกระบี่เกลียวได้อย่างเหมาะเจาะ

ค่ายกลกักมังกรขบวนนี้แตกต่างจากที่จั่วม่อเคยใช้มาก่อน ทันทีที่สามสายโซ่สีน้ำเงินปรากฏขึ้น มันก็ถักประสานเป็นปมโซ่ ปมโซ่นั้นสามารถยับยั้งปราณกระบี่ทั้งสามเล่มไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ!

ปราณกระบี่เกลียวแทงใส่ปมโซ่ตรงๆ ปมโซ่กลับแข็งแกร่งกว่าที่จงหมิงเอี้ยนคาดคิดไว้ ภายใต้แรงหมุนเป็นเกลียวของปราณกระบี่ โซ่ที่ขมวดจนแน่นถึงกับยังไม่แตกสลาย!

ขณะที่จงหมิงเอี้ยนชะงักงัน ตาข่ายเปลวไฟก็ปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้าอย่างฉับพลัน

เป็นตาข่ายไฟสีน้ำเงินเข้มที่หนาแน่นและใหญ่โตมโหฬารผืนหนึ่ง!

ธงไม้เขียวทั้งเจ็ดสูบกลืนปราณวารีจากบ่อน้ำ เปลี่ยนเป็นปราณธาตุไม้อย่างต่อเนื่อง ข้างธงไม้เขียวแต่ละต้น ยังมีกระถางหลอมกลั่นหัวราชสีห์ทองแดงระดับสองอีกเจ็ดใบ เปลวไฟสีแดงเข้มพวยพุ่งออกจากปากราชสีห์บนกระถางหลอมกลั่นทองแดงแต่ละใบ รวมตัวกันกลางอากาศ หลังจากเปลวไฟสะสมไปถึงจุดหนึ่ง สีแดงก็ค่อยๆ จางหายไป

รอบๆ กระถางหลอมกลั่นแต่ละใบ ยังมีแผ่นหยกสิบสองใบ จัดวางเรียงรายใช้เป็นโครงกระดูก อาศัยด้ายแดงปนทองเป็นเส้นชีพจร ก่อตั้งค่ายกลเพลิงสามหวนขึ้นมา!

หลังจากเปลวไฟวนครบสามหวน เปลวไฟก็แทบจะกลายเป็นโปร่งใสอย่างสมบูรณ์!

เปลวไฟเกือบโปร่งใสทั้งเจ็ดกลุ่ม บินขึ้นไปบนฟากฟ้า ตัดไขว้กันกลางอากาศ

เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้า ขบวนกระถางหลอมกลั่นโอสถขนาดเล็กสี่สิบเก้าใบ ก่อเกิดค่ายกลไฟหลียักษ์!

ทันทีที่ค่ายกลไฟหลียักษ์ก่อตัวขึ้น เส้นสายเปลวไฟแต่ละสายพลันสั่นสะเทือน เปลวไฟที่แทบจะโปร่งใสเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง กลายเป็นแต่งแต้มด้วยสีน้ำเงินเยือกเย็นประปราย

นี่คือตาข่ายไฟสีน้ำเงินเยือกเย็นขนาดมหึมาที่ทุกผู้คนเห็นอยู่กลางอากาศ!

ตาข่ายไฟสีน้ำเงินเยือกเย็น ตัดขาดปราณกระบี่เกลียวสามเล่มจากการควบคุมของจงหมิงเอี้ยนอย่างสิ้นเชิง!

จงหมิงเอี้ยนใบหน้าแปรเปลี่ยนกลับกลาย

ตาข่ายไฟแปลกๆ นี้ ตัดการเชื่อมโยงระหว่างมันกับปราณกระบี่ทั้งสามจริงๆ!

ในเวลาเดียวกัน โซ่กักมังกรสีน้ำเงินที่ล้อมกักปราณกระบี่ทั้งสามไว้ พลันกระชากเหวี่ยงไปทางด้านข้าง

พิ้ง!

ท้ายที่สุด โซ่กักมังกรสีน้ำเงินก็ไม่อาจหยุดยั้งปราณกระบี่สามเล่มที่รวมพลังกันได้ ถูกบดขยี้ย่อยยับในทันที แต่ด้วยแรงกระชากเหวี่ยง ปราณกระบี่ทั้งสามเล่มทิศทางเบี่ยงเบนไป พวกมันพุ่งเฉียดผ่านจันทร์เสี้ยว เข้าสู่ท้องนภา ไม่ทราบว่าหายลับไปที่ใด!

ทุกผู้คนตะลึงลานกับตาข่ายไฟที่จู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาบนศีรษะ!

ตาข่ายไฟสีน้ำเงินเยือกเย็นเงียบสงัด มันคล้ายตาข่ายใยแมงมุมสีน้ำเงินเยือกเย็นขนาดมโหฬารปกคลุมอยู่เหนื่อศีรษะ

แต่หลายคนไม่ได้หน้าเปลี่ยนสีเพราะเส้นใยไฟสีน้ำเงินเยือกเย็นอันหนาแน่น เป็นความร้อนน่าขนพองสยองเกล้าที่ปล่อยออกมาต่างหาก ที่ทำให้ผู้คนขวัญหนีดีฝ่อ! เปลวไฟสีน้ำเงินเยือกเย็นโปร่งๆ จางๆ แต่ความร้อนรุนแรงของมันน่าแตกตื่นสะท้านใจถึงระดับใด?

ตาข่ายไฟสีน้ำเงินเยือกเย็นอันเงียบเชียบ ลุกไหม้อย่างอิสระ ภายในขบวนค่ายกล กลับกลายเป็นกระถางหลอมกลั่นโอสถขนาดยักษ์ใบหนึ่ง!

กลางเวหา อู่หลิงซ่านเหรินกับเว่ยเฟย ได้ชมดูฉากที่งดงามและน่าพรั่นพรึงเป็นที่สุด!

มวลน้ำในบ่อน้ำขนาดครึ่งหมู่ม้วนกลิ้ง มีชีวิตชีวาเป็นพิเศษ พวกมันเปลี่ยนเป็นกระแสปราณวารี ถาโถมเข้าไปยังธงไม้เขียวไม่ขาดสาย ปราณธาตุไม้สีเขียวอันเงียบเชียบไหลเข้าสู่กระถางหลอมกลั่นหัวราชสีห์ เปลี่ยนเป็นปราณไฟสีแดงเข้ม จากนั้นผ่านเข้าสู่ค่ายกลเพลิงสามหวน ต่อมาเข้าสู่ค่ายกลไฟหลียักษ์ ท้ายที่สุดถักทอเป็นตาข่ายไฟบนท้องฟ้า

ขบวนค่ายกลอะไรเช่นนี้...

เว่ยเฟยจ้องมองด้วยดวงตาเบิกกว้าง พึมพำกับตนเอง “ผลงานอันมหัศจรรย์! ฝีมือปานเทพยดา!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด