ตอนที่แล้วบทที่ 147 เกิดมาเพื่อต่อสู้
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 149 ไฟ  

บทที่ 148 ทหารยันต์  


 

ตง!

เสียงปะทะกึกก้อง ต่ำลึก สั่นสะท้านจิตใจผู้คน ไม่ได้เกิดระเบิดขึ้นอย่างที่พวกมันคาดไว้ ทั้งไม่มีลำแสงสาดกระจายไปทุกทิศทางอย่างที่จินตนาการ กลุ่มแสงสีทองสองกลุ่มประหนึ่งลูกไฟสองลูกกระแทกใส่กัน แล้วดับวูบไปในเวลาเดียวกัน

หนานเหมินหยางสั่นสะเทือนไปทั้งร่าง ดวงตาสีทองทอประกายเกรี้ยวกราด โดยไม่ออมยั้งรั้งรอ มันกระทืบเท้ารุดหน้า ตวาดก้อง “ไปตายให้แก่ข้า!”

กระบี่ยักษ์ในมือมันสาดแสงเจิดจ้ายิ่งกว่าเดิม ราวกับดวงตะวันสว่างไสว ภายในพริบตา กระทั่งจันทร์เสี้ยวเหนือค่ายกลมหึมายังคล้ายจะอับแสง กลายเป็นมืดมนในบัดดล!

กระบี่ผ่าภูผา!

ปลายกระบี่ชี้ลงพื้น เปลายกระบี่สีทองกรีดฝ่าอากาศเริ่มต้นจากเสียงที่แทบไม่ได้ยิน ทันใดนั้นราวกับสัตว์ประหลาดที่ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ระเบิดเสียงกรีดร้องโหยหวนอันรุนแรงออกมา!

กระบี่ยักษ์สีทองฟันวาบ ส่งปราณกระบี่อันสมบูรณ์พร้อมออกมา ราวกับจันทร์เสี้ยวสีทองขนาดยักษ์ เปล่งเสียงกรีดแหลม ฟันใส่ทหารยันต์อย่างเกรี้ยวกราด!

ทหารยันต์ลวดลายอักขระที่ปกคลุมร่างเปล่งประกายเรืองรอง ราวกับไส้เดือนแสงบิดพล่านไปทั่ว บนใบหน้ารางเลือนดุจเดิม ดวงตาคู่นั้นเย็นลึกและห่างไกล แต่ยังคงไม่แยแสอยู่เสมอ

“เกิดมาเพื่อต่อสู้!”

สุ้มเสียงทุ้มต่ำชัดเจนของทหารยันต์ เค้นถ้อยคำเหล่านี้ออกมาทีละคำอย่างแช่มช้า สืบเท้าอีกหนึ่งก้าว ตรงเข้าหาปราณกระบี่ ตั้งท่า ง้างหมัด แล้วต่อยอย่างหักโหม

หมัดที่สอง!

ปราณหมัดสีทองพวยพุ่งออกจากหมัด เปล่งเสียงคำรามกระหึ่มดุจลาวาที่พลุ่งพล่านอยู่ใต้ส่วนลึกของโลก ทะลวงตรงไปข้างหน้าราวกับไม่มีสิ่งใดขวางกั้นไว้ได้!

ตง!

เสียงสะเทือนหนักลึกระเบิดขึ้นอีกครั้ง พื้นดินสั่นไหว สะท้านเข้าไปถึงขั้วหัวใจผู้คน!

ผู้เข้าประลองบางคนที่เฝ้าชมดู ทันทีที่หมัดกระบี่กระทบกัน พลันใบหน้าซีดเผือด ก้าวถอยหลังอย่างเร่งร้อน

ร่างมหึมาของหนานเหมินหยางสั่นสะเทือนอีกระลอก ผมเผ้าที่ตั้งชันราวกับถูกลมพัด สะบัดขึ้นลงไม่หยุด

สองกระบี่แล้ว! แต่ยังไม่ได้เกิดผลอันใด ในอกของหนานเหมินหยาง ความปรารถนาในการต่อสู้และความบ้าระห่ำพุ่งขึ้นไปถึงจุดสูงสุด! นัยน์ตาสีทองเริ่มลุกไหม้ราวกับเป็นลูกไฟสีทองสองกลุ่ม แสงทองคำทั่วร่างกายเริ่มหดตัวเข้าด้านใน บนร่างปรากฏชั้นทองบางๆ ที่ชวนให้นึกถึงเกราะทองคำที่แท้จริง กระบี่ยักษ์ในมือห่อหุ้มด้วยปราณกระบี่สีทองอันหนาแน่น ไหววูบปะทุประกาย เต้นระริกดุจเปลวไฟ!

ราวกับว่าการต่อสู้ดำเนินมาถึงจุดสุดท้าย ทหารยันต์ผู้เงียบงันอักขระยันต์สว่างไสวคล้ายมีชีวิต ประหนึ่งฝูงแมลงวิ่งรี่ไปตามพื้นผิวเกราะ จากนั้นถาโถมอย่างรวดเร็ว ไปรวมกันยังหมัดขวาที่ง้างตั้งท่าประหนึ่งลูกธนูขึ้นสาย

ดวงตาทรงอำนาจของทหารยันต์ กลับกลายเป็นยิ่งลึกล้ำขึ้นเป็นลำดับ จนกระทั่งไม่มีสิ่งใดหลงเหลือ มีเพียงความว่างเปล่าสองกลุ่ม!

“ไปตายเถอะ!” หนานเหมินหยางแผดเสียงคำรามด้วยโทสะ กึกก้องดั่งฟ้าคำรน หมอกสีเขียวอมฟ้าพลันระเบิดออกรอบด้าน โดยมีตัวมันเป็นจุดศูนย์กลาง พื้นที่หนึ่งจั้งรอบกายถูกกวาดจนว่างเปล่า เสียงคำรามนี้ทรงพลังอันยิ่งใหญ่ถึงที่สุด!

กระบี่นี้กลับกรีดฟันลงอย่างแช่มช้า! ไม่บังเกิดเสียงแหวกอากาศแม้แต่น้อย!

แต่กล้ามเนื้อทุกมัดในร่างกายของหนานเหมินหยาง คล้ายทุ่มเทลงกับกระบี่นี้จนหมดสิ้น เมื่อกระบี่ฟันลงมาจากกลางอากาศ แรงกดดันอันหนักแน่นก็บดขยี้พื้นดินจนแตกทลาย!

“เกิด มา เพื่อ ต่อสู้!” เสียงต่ำลึกไม่ดังนัก ทว่าประจุด้วยพลังอำนาจอีกประเภท เจาะตรงเข้าไปในหัวใจผู้คน ความเชื่อมั่นอันเด็ดขาดที่มีอยู่ในถ้อยคำห้าพยางค์นี้ ท่วมท้นเข้าไปในความคิดจิตใจของทุกคน

อักขระยันต์บนร่างทั้งหมดไหลเข้าสู่หมัดขวา ร่างกายของมันเปลี่ยนเป็นมืดมนหมองคล้ำ ทั้งร่าง นอกจากหมัดขวาที่ทอประกายมากกว่าเดิม ส่วนอื่นๆ ล้วนพร่าเลือน ประหนึ่งกลุ่มหมอกทองคำที่สามารถกระจัดกระจายไปได้ทุกเมื่อ

มันกระทำเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน!

กระทืบเท้าหนึ่งก้าว แล้วต่อยหมัด!

ปราณหมัดโปร่งใสระเบิดออกจากหมัดขวาข้างนั้น เป็นปราณหมัดที่ราวกับสลักขึ้นมาจากผลึกใสกระจ่างหมัดหนึ่ง!

หมัดนี้กลับไม่ได้ต่อยใส่หนานเหมินหยาง เมื่อปราณหมัดพุ่งไปได้ครึ่งทาง พอดีกับกระบี่ของหนานเหมินหยางค่อยๆ ฟันลงมา ปราณหมัดพลันระเบิดสนั่นหวั่นไหว!

ตง!

สุ้มเสียงคราวนี้เทียบกับสองครั้งก่อนหน้าแล้ว ถึงกับแหบพร่าต่ำลึกลงไปอีก แต่เหล่าซิวเจ่อที่ชมดูหนึ่งหมัดหนึ่งกระบี่ปะทะกัน และได้ยินเสียงดังสนั่นกึกก้องนี้ ถึงกับสะท้านขึ้นทั้งร่าง!

ตง ตง ตง! หนานเหมินหยางซวนเซ กระแทกเท้าหนักๆ ถอยหลังไปสามก้าว เกราะทองคำบนร่างเปลี่ยนกลับมาเป็นแสงสีทองตามเดิม ใบหน้าดูเหี่ยวเฉาอยู่บ้าง

ตำแหน่งตรงข้ามมัน จุดที่ทหารยันต์เคยยืน บัดนี้ว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดหลงเหลือ!

“คู่มือที่เข้มแข็งนัก!” หนานเหมินหยางอาจหน้าซีดอยู่บ้าง แต่ยังคงอดตะโกนชมเชยไม่ได้ ดวงตามองไปยังตำแหน่งซึ่งทหารยันต์หายไป แววตาเศร้าเสียดายเล็กน้อย

ในเวลานี้เอง เสียงเกรี้ยวกราดที่เต็มไปด้วยความชิงชังของหวีป๋าย ก็ดังเข้ามาในหูของหนานเหมินหยาง

“หนานเหมินหยาง! ข้าขอสู้ตายกับเจ้า!”

 

ในมุมหนึ่งของค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์ จั่วม่อพ่นเลือดออกจากปากเป็นฟูฝอย มันเบิกตาตะลึงลาน มองโลหิตสีแดงสดพร่างพรมลงบนพื้น มันควบคุมทหารยันต์เข้ารับมือ กระบี่สุดท้ายของหนานเหมินหยางร้ายกาจเกินกว่าที่ความสามารถของมันจะทานทนไหว มันเพียงแค่อาศัยยันต์ทหารเผชิญหน้ากับหนานเหมินหยางเท่านั้น กลับได้รับบาดเจ็บด้วยกระบี่เดียว จัวม่ออดไม่ได้ ต้องบังเกิดความครั่นคร้ามต่อพลังของหนานเหมินหยางอย่างลึกล้ำ!

มันปาดเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าที่ไม่ยินดียินร้ายแสยะแยกเขี้ยว

เจ้าคนป่าเถื่อน! ไปเล่นกับเสี่ยวป๋าย*เสียเถอะ!

บังคับควบคุมพลังปราณ ค่อยๆ ปรับพลังปราณที่พลุ่งพล่านวุ่นวายภายในร่าง จากนั้นกัดฟันก่อตั้งค่ายกลย่อยสืบต่อ

(*ป๋ายในหวีป๋ายแปลว่าขาว เสี่ยวป๋ายหรือเจ้าขาวน้อย ยังมีความหมายว่าไร้เดียงสาอีกด้วย)

 

หนานเหมินหยางกับทหารยันต์ต่อสู้กันสามกระบวนท่า ผู้เข้าประลองทั้งหมดภายในค่ายกลล้วนแตกตื่นสะท้านใจ นี่คือการปะทะกันอย่างตรงไปตรงมาด้วยพลังล้วนๆ ไม่มีลูกเล่น ไม่มีล่าถอยหลบหลีก ไม่มีใครยอมใคร!

หลายคนในใจหวาดหวั่นครั่นคร้าม แม้ว่าพลังฝีมือของหนานเหมินหยางเคยได้รับการประเมินว่าไม่เลวมาตั้งแต่แรก แต่เนื่องจากมันเป็นซิวเจ่อชั้นรากหญ้า จึงไม่มีผู้ใดให้ราคาแก่มันมากนัก คนส่วนใหญ่คิดว่ามันอาจมีอนาคตที่ดี แต่ไม่มีผู้ใดคาดคิด ว่าที่แท้พลังฝีมือของมันสูงล้ำสุดยอดถึงขั้นนี้

นึกถึงสภาวะประดุจเทพสงครามของหนานเหมินหยางเมื่อสักครู่ ทุกผู้คนหัวใจเย็นเฉียบอยู่บ้าง

แต่สิ่งที่พวกมันคาดคิดไม่ถึงยิ่งกว่า กลับเป็นอีกคนหนึ่ง เป็นจั่วม่อ!

ยันต์ทหารอาจเป็นสินค้าหายาก แต่สิ่งของเยี่ยงนี้ไม่เคยอยู่ในสายตาคนเหล่านี้ เหล่าเซียนกระบี่แทบทั้งหมดยังจะแค่นเสียงเย้ยหยันยันต์กระดาษชนิดนี้เสียด้วยซ้ำ แน่นอน ประเด็นสำคัญคือเรื่องพลังอำนาจ ในหมู่ทหารยันต์ที่พวกมันเคยพบเห็นมา ไม่ใช่สิ่งที่มีพลานุภาพถึงเพียงนี้!

ที่สำคัญที่สุด ผู้ที่ควบคุมทหารยันต์ตนนี้ ยังเป็นเพียงซิวเจ่อในด่านจู้จีผู้หนึ่งเท่านั้น!

เรื่องนี้แทบทุบทำลายความเชื่อที่พวกมันยึดมั่นมาตลอดลงในคราเดียว

ความต่างชั้นระหว่างด่านพลังบำเพ็ญเพียร ไม่ใช่สิ่งที่อาศัยเพียงยันต์ทหารใบเดียวก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่จั่วม่อกลับกระทำได้อย่างหมดจด แม้ว่ามันจะเพียงปะทะสามคราไม่แพ้พ่าย แต่ในสายตาของทุกผู้คน นี่ก็เป็นเรื่องมหัศจรรย์มากแล้ว

จนกระทั่งถึงยามนี้ ผู้เข้าประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่ที่อ่อนแอที่สุดผู้นี้ นับตั้งแต่หายเข้าไปในค่ายกล ยังไม่เคยปรากฏโฉมออกมาเสียด้วยซ้ำ

นี่คือสัญญาณที่เปิดเผยชัดเจนอย่างไม่ต้องสงสัย

จั่วม่อยังคงมีไพ่ตายอย่างอื่น!

ค่ายกลใหญ่ยังคงสงบนิ่ง กลุ่มวงแหวนที่มารวมตัวกันเหนือศีรษะของหนานเหมินหยาง ค่อยๆ แยกย้ายกันไป แหวกว่ายอย่างอิสระเสรีเหมือนเช่นเดิม

ประสิทธิภาพที่น่าแปลกใจของจั่วม่อ ได้ปลุกเร้าความสนใจจากหลายๆ คน อย่างเช่นฉางเหิง มันเพิ่งพบว่าค่ายกลนี้น่าสนใจ จึงบุกเข้ามาภายในค่ายกลโดยไม่ลังเล แต่ประสิทธิภาพอันเข้มแข็งของจั่วม่อทำให้มันยิ่งทวีความสนใจมากกว่าเดิม

ฉางเหิงกระหายใคร่รู้เป็นอย่างยิ่ง จั่วม่อผู้นี้จะไปได้ไกลเพียงใด?

ไม่ใช่แค่มันที่ครุ่นคิดเช่นนี้

บนนภากาศ อู่หลิงซ่านเหรินค่อยๆ ถอนหายใจอย่างคาดไม่ถึง “ไม่เลว ไม่เลว สามารถรับมือการโจมตีเต็มกำลังของหนานเหมินหยางได้สามกระบวนท่า มันใช้ยันต์ทหารได้ยอดเยี่ยมจริงๆ!”

เว่ยเฟยดวงตาทอประกายประหลาด “จิตสำนึกของมันคล้ายทรงพลังมาก นี่หาได้ยากยิ่ง สำนักกระบี่สุญตายังมีฝีมือในการฝึกปรือจิตสำนึกด้วยหรือ?”

“ไม่มีจิตสำนึกอันทรงพลัง มันจะสามารถเล่นกับค่ายกลได้อย่างไรเล่า” อู่หลิงซ่านเหรินแย้งด้วยสีหน้าสบายๆ เป็นธรรมชาติ

“นั่นก็ใช่แล้ว” เว่ยเฟยพยักหน้าเห็นพ้อง

 

เบื้องหลังผ้าแพรตาข่ายสีดำ ปากเล็กๆ ของซู่อ้าค้างแทบหุบไม่ลง การประมืออันดุเดือดสามกระบวนท่านี้ กระทบกระเทือนนางอย่างรุนแรงยิ่งกว่าผู้ใด!

ที่แตกต่างจากผู้อื่น เนื่องเพราะนางเคยเห็นศิษย์พี่หวังใช้ยันต์ทหารใบนี้ รับมือจั่วม่อที่หน้าประตูพรรคอัจฉริยะปราณด้วยตาตัวเอง ใช่แล้ว นี่ย่อมต้องเป็นยันต์ทหารใบเดียวกัน แต่พลานุภาพกลับแตกต่างกันอย่างใหญ่หลวง นางถึงกับสงสัยว่า ทหารยันต์ตนนี้อาจสามารถสังหารทหารยันต์ในคราวนั้นได้ถึงสามตนพร้อมกันด้วยซ้ำ!

บางที...มันมีวิธีการของตัวเองจริงๆ และอาจไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจากนางเลย...

เป็นครั้งนางที่นางเริ่มหัวใจสั่นไหว ไม่มั่นใจในความคิดของตัวเองเลย

ซู่จู่ๆ ก็นึกถึงวาจาที่ศิษย์พี่หลินเชียนกล่าวกับนาง มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของนาง พลันปรากฏเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่ง มีรูปดวงตาสลักไว้ใจกลางเหรียญ ดวงตาบนเหรียญทองแดงส่องแสงเรืองรองในบัดดล

ในเวลาเดียวกัน คนหน้าเหลืองสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างฉับพลัน ร่างมันหยุดนิ่งไม่ไหวติง คนคล้ายจู่ๆ ก็กลายเป็นก้อนหิน ไม่มีกลิ่นอายของผู้คนแม้แต่น้อย

เหรียญทองแดงในมือซู่สว่างวาบ แล้วดับลง

หินหนักในใจนางคล้ายร่วงหล่นลงในที่สุด ศิษย์พี่หลินเชียนอื่นใดล้วนดีไปหมด เสียแต่ว่าหวาดระแวงมากเกินไปหน่อย จนกระทั่งถึงตอนนี้ นางยังคงไม่ค่อยเชื่อถือในสิ่งที่ศิษย์พี่หลินเชียนบอกเล่า หากมิใช่ว่าศิษย์พี่หลินผู้นี้ถือครองป้ายสัญลักษณ์ของสำนักนาง นางอาจชักกระบี่ฟันใส่หน้ามันแต่แรกแล้ว

 

“เวลานี้มีคนใช้เนตรเปลวเทียนอีกครั้ง” ผูเยาจู่ๆ ก็โผล่ออกมา

จั่วม่อไม่มีเวลาสนใจมัน “ตราบที่เจ้ายังคงนิ่งเงียบไว้ ไม่มีผู้ใดหาเจ้าพบมิใช่หรือ”

“เจ้า...ดูเหมือนจะมีปัญหาสินะ” ผูเยาถามอย่างสนอกสนใจเป็นอย่างยิ่ง ในสายตามัน จั่วม่อกลัวตายมาก มักวางเรื่องความปลอดภัยของตนเองไว้ในตำแหน่งสำคัญที่สุด มันไม่เคยเห็นจั่วม่อตอบสนองอย่างเฉื่อยชาเช่นนี้มาก่อน เวลาที่สนทนากันในประเด็นด้านความปลอดภัยของชีวิต

“ตัวบัดซบพวกนี้ฉวยโอกาสถมหินลงบ่อ!” จั่วม่อกัดฟันกรอด สองมือของมันไม่ได้เชื่องช้าลงเลย

“เจ้าคิดจัดการกับพวกมันทุกคน?” ผูเยาหัวร่อยินดีกับคราวเคราะห์ของจั่วม่ออย่างเห็นได้ชัด

จั่วม่อคร้านเกินไป ที่จะแยแสสนใจเหรินเยาดื้อด้านที่กินอิ่มแต่ไม่มีเรื่องราวให้กระทำผู้นี้

“เจ้ามีเมล็ดพันธุ์อสูร ไฉนไม่ทดลองใช้เมล็ดพันธุ์อสูรบังคับจิตสำนึก และใช้ควบคุมค่ายกลเล่า?” ผูเยาแนะนำอย่างโอบอ้อมอารีย์

ใช้เมล็ดพันธุ์อสูรบังคับจิตสำนึกและควบคุมค่ายกล? จั่วม่อสั่นศีรษะตามสัญชาตญาณ “ค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์ต้องมีเจ็ดสิบสองค่ายกลย่อยที่สมบูรณ์ จึงจะสามารถควบคุมได้”

“เจ้าก็ไม่ได้มีแค่ค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์เสียหน่อย!” ผูเยาแย้งอย่างไม่ค่อยพึงใจ

จั่วม่อตาเบิกโพลง ใช่แล้ว! ไฉนมันลืมเรื่องนี้ไปเสียได้!

จั่วม่อรู้สึกวิสัยทัศน์จู่ๆ ก็เห็นชัดเจน มันหลงติดอยู่ในข้อผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ไปเอง ทั้งหมดในใจมันครุ่นคิดถึงแต่เรื่องก่อตั้งค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์เจ็ดสิบสองค่ายกลย่อยให้เสร็จสมบูรณ์ หลงลืมไปโดยสิ้นเชิง ว่ามันไม่ได้ก่อตั้งค่ายกลขึ้นมาเฉพาะค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์เท่านั้น!

นี่เป็นขบวนค่ายกลอันหลากหลายขนาดใหญ่โตมหึมาต่างหาก!

“อันที่จริง นอกจากช่วยให้จิตสำนึกของเจ้าเติบโตเร็วขึ้นแล้ว เมล็ดพันธุ์อสูรยังมีประโยชน์ใช้สอยอย่างอื่น อย่างเช่น การแบ่งแยกจิตใจ!” ผูเยาวันนี้ใจดีอย่างน่าประหลาด เป็นเรื่องหายากมากที่มันจะเริ่มสอนจั่วม่อเอง โดยที่จั่วม่อไม่ต้องจ่ายจิงสือค่าเล่าเรียน

“แบ่งแยกจิตใจ?” จั่วม่อเหลือกตาอย่างฉุนเฉียว “ในเวลาเช่นนี้ เจ้ายังจะให้ข้าแบ่งความสนใจออกไปอีก?”

“ที่เรียกว่าแบ่งแยกจิตใจ หมายถึงเจ้าตัดแบ่งจิตสำนึกของเจ้าออกเป็นหลายส่วน โดยที่ทุกส่วนสามารถกระทำเรื่องราวของตัวเองไปในเวลาเดียวกัน โดยไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกัน แตกต่างจากการแบ่งแยกความสนใจอย่างที่เจ้าคิด” ผูเยาอธิบายเบาๆ “เผ่าอสูรส่วนใหญ่สามารถแบ่งแยกจิตสำนึกเช่นนี้ อสูรบางเผ่าพันธุ์ยังเกิดมาพร้อมกับความสามารถนี้ อสูรที่ทรงพลังอย่างแท้จริง สามารถแบ่งแยกจิตสำนึกของพวกมันออกเป็นหลายพันหลายหมื่นส่วน แข็งแกร่งทรงพลังสุดเปรียบปาน!”

อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้จั่วม่อไม่ทันคิดเกี่ยวกับท่าทีอันแปลกประหลาดผิดปกติของผูเยาในวันนี้ เนื่องเพราะมันกำลังแตกตื่นสุดระงับกับถ้อยคำประโยคนี้ของผูเยา!

นี่ราวกับสายฟ้าฟาดลงกลางใจ

แบ่งแยกจิตสำนึก!

หากมันแบ่งแยกจิตสำนึกออกเป็นส่วนๆ แล้วทุกส่วนกระทำเรื่องราวของพวกมันไปพร้อมๆ กัน...

ตลอดเวลาที่ผ่านมา มันมักนึกถึงจิตสำนึกเป็นหน่วยรวม ไม่เคยคิดที่จะแบ่งแยกจิตสำนึก ให้กระทำเรื่องราวที่แตกต่างกันในเวลาเดียวกัน

มันพลันนึกถึงพลังปราณ พลังปราณก็สามารถแบ่งแยกออกไป และสามารถผสานรวม เช่นนั้นจิตสำนึกก็สมควรคล้ายคลึงกับพลังปราณ สามารถแบ่งแยกออกไป และสามารถผสานรวมเข้าด้วยกันใช่หรือไม่?

หากสามารถกระทำได้จริงๆ...

สองมือที่ไม่เคยหยุดลงตั้งแต่แรกเริ่มของจั่วม่อ ทันใดนั้นก็ชะงักค้างที่กลางอากาศ!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด