ตอนที่แล้วบทที่ 140 หว่อหลี  
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 142 กระบี่เจ็ดดอกเหมย

บทที่ 141 คู่ต่อสู้ของจั่วม่อ  


 

จงหมิงเอี้ยนใบหน้าดำคล้ำ เห็นเหวยเสิ้งกับกู่หรงผิงโรมรันพันตูอย่างดุเดือดด้วยสายตาตนเอง พลังฝีมือที่ทั้งคู่สำแดงออกมาเหนือล้ำกว่ามันไม่รู้ว่ากี่ขั้น อาศัยความถือดีของมัน ในใจรู้สึกไร้รสชาติจริงๆ

ภายใต้อารมณ์คับแค้นรุนแรง มันไม่คิดปกปิดตัวเองแม้แต่น้อย เจตจำนงกระบี่ในร่างสั่นระรัวดั่งกลองศึก มันกำลังเฝ้ารอให้คนโง่เง่าบางคนมาเสาะหามันเอง

จงหมิงเอี้ยนรั้งลำดับแรกในหมู่ศิษย์สำนักกระบี่ตงฉี เป็นศิษย์รักของจั่วเหมยเทียน แน่นอนว่าไม่อ่อนแอ ชั่วขณะนี้มันไม่ได้ซ่อนเร้นสิ่งใดแม้แต่น้อย เปิดเผยพลังสภาวะของมันออกมาทั้งหมด ผู้เข้าประลองส่วนใหญ่พอพบเห็นมัน ก็หันหลังหลบหนีไปทันที แต่สำหรับบางคนที่มีฝีมือสูงส่ง ก็ไม่ต้องการสิ้นเปลืองพลังปราณของพวกมันรวดเร็วถึงเพียงนี้ ทุกผู้คนล้วนทราบดี ยิ่งเผาผลาญพลังปราณไปเร็วเท่าไร ก็เท่ากับยิ่งเร่งให้ตัวเองหมดสิทธิ์ต่อสู้รวดเร็วเท่านั้น การต่อสู้รอบนี้ไม่ได้แข่งขันเพียงความแข็งแกร่งเท่านั้น แต่ยังต้องมีความอดทนอดกลั้นอีกด้วย

ทันใดนั้นมันได้ยินเสียงการต่อสู้จากระยะห่างไกล แค่นเสียงคำหนึ่ง มุ่งตรงไปยังทิศทางนั้นทันที

เห็นหนานเหมินหยางร่างกายเปล่งประกายสีทอง ในมือถือกระบี่ยักษ์ ดวงตาถลึงกว้าง ร่างกายดุจภูเขาเผ่นโผนไปมาอย่างดุร้ายรุนแรง ไม่ห่างจากมัน หวีป๋ายในชุดขาว ถึงแม้ว่าท่วงท่าสภาวะไม่ได้พิเศษเท่ากู่หรงผิง แต่ยังคงอ่อนโยนสง่างาม กระบี่บินเรียวยาวดุจไม้ไผ่ร่ายรำอยู่รอบกาย ต่อสู้กับอีกฝ่ายอย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ

พลังฝีมือของทั้งคู่ร้ายกาจไม่เบา โดยเฉพาะหนานเหมินหยาง เพลงกระบี่ผ่าภูผาของมันทรงพลังน่าครั่นคร้าม จู่โจมออกมาแต่ละครั้ง ดังกึกก้องดุจฟ้าร้อง แสงกระบี่ถาโถมประหนึ่งคลื่นยักษ์ เต็มไปด้วยพลังที่ราวกับจะผ่าภูผาพลิกมหาสมุทรได้จริงๆ!

 

เหล่าเจ้าสำนักและผู้อาวุโสของแต่ละสำนักที่สังเกตการณ์การต่อสู้ พากันทอดถอนชมเชย

“หนานเหมินหยางผู้นี้พรสวรรค์ล้ำเลิศอย่างแท้จริง เพียงแค่เพลงกระบี่ผ่าภูผาระดับสอง อยู่ในมือมันยังร้ายกาจถึงปานนี้! หากเด็กผู้นี้ไม่เกียจคร้าน มันจะต้องกลายเป็นยอดฝีมืออย่างแน่นอน!”

“ถูกต้อง! สำนักใดสามารถดึงมันเข้าร่วมสำนักได้ จะมีสุดยอดฝีมือเกิดขึ้นอีกคนหนึ่ง!”

ในทางกลับกัน ไม่มีผู้ใดแปลกใจกับความแข็งแกร่งของหวีป๋ายนัก

 

สี่ผู้อาวุโสของสำนักกระบี่สุญตาก็ย่อมไม่พลาดเรื่องของหนานเหมิงหยาง ซิวเจ่อไร้สังกัดผู้เปล่งประกายที่สุดในชุมนุมวิจารณ์กระบี่ครั้งนี้

“ศิษย์พี่ เด็กผู้นี้ไม่เลวเลยจริงๆ! เราสมควรพิจารณายื่นข้อเสนอดูบ้างหรือไม่?” หยานเล่อจ้องมองไม่คลาดสายตา ราวกับว่ามันพบเห็นสมบัติวิเศษ

เผยเหยียนหรานขบคิดครู่หนึ่ง จากนั้นส่ายศีรษะอย่างอับจนปัญญา “เด็กผู้นี้เต็มไปด้วยศักยภาพจริง อย่างไรก็ตามด้วยทรัพย์สินของสำนักเรา เจ้ายังไม่ทราบกระจ่างอีกหรือ แค่เหวยเสิ้งผู้เดียวก็เพียงพอให้พวกเรารับความลำบาก พวกเรายังมีจั่วม่อที่น่าปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งกว่า หลัวหลีก็ก้าวหน้าไปมาก นิสัยใจคอก็ดีขึ้นกว่าเดิม หากเราสามารถเลี้ยงดูมันดีๆ อนาคตของมันก็สดใสไม่น้อย”

ขณะที่ผู้อื่นกำลังปวดเศียรเวียนเกล้าที่ไร้ศิษย์อัจฉริยะอยู่ในสำนัก เผยเหยียนหรานกลับกำลังลำบากใจที่มีศิษย์อัจฉริยะมากเกินไป

“เรื่องปัญหาทางการเงินไม่ใช่ปัญหาใหญ่อีกต่อไป หลังจากงานชุมนุมวิจารณ์กระบี่ครั้งนี้ ต่อให้พวกเราอยากอยู่ในระดับต่ำเช่นเดิม เกรงว่าคงไม่ได้แล้ว เราควรต่อสู้เพื่อสิ่งที่เราต้องการ หลายปีมานี้ ข้าต้องทนสะกดกลั้นไว้ อึดอัดขัดข้องแทบตายแล้ว” เมื่อหยานเล่อกล่าวเรื่องนี้ มันเต็มไปด้วยบรรยากาศองอาจห้าวหาญ

เผยเหยียนหรานยิ้มกว้าง ดวงตาสาดประกายเจิดจ้า

ซินหยานพลันโพล่งแทรกประโยคหนึ่ง “เราไม่มีเคล็ดวิชาที่เหมาะสมกับมัน”

พอฟังวาจาล้ำค่าดุจทองคำของซินหยาน พวกมันค่อยฉุกคิดถึงประเด็นสำคัญนี้ หนานเหมินหยางอาจมีพรสวรรค์ตามธรรมชาติ แต่ก็ยังต้องขึ้นอยู่กับเคล็ดวิชาที่มันฝึกปรือ แม้ว่าเคล็ดวัชระกับเพลงกระบี่ผ่าภูผาเป็นเพียงระดับสอง แต่เนื่องจากเหมาะสมกับหนานเหมินหยางเป็นที่สุด จึงเปล่งพลานุภาพน่าสะท้านใจ ในทางกลับกัน หากเคล็ดวิชาไม่เหมาะสมกับตัวมัน จะสามารถฝึกฝนได้ถึงขอบเขตขั้นใด นี่ก็ยากบอกได้

ผู้ที่มีสายตาอันช่ำชองชำนาญ เพียงมองแวบเดียวก็ทราบว่าหนานเหมินหยางเป็นซิวเจ่อที่ต้องการเคล็ดวิชาพิเศษเฉพาะชนิดหนึ่ง

สือฟ่งหรงออกความเห็นอย่างฉับพลัน “ไม่ใช่ว่าจั่วม่อก็ฝึกปรือวัชรสูตรน้อยหรอกหรือ? ไฉนเราไม่ให้หนานเหมินหยางฝึกวัชรสูตรน้อยด้วย?”

เผยเหยียนหรานฝืนยิ้ม “วัชสูตรน้อยเป็นเพียงเคล็ดวิชาระดับสามธรรมดาสามัญ หลายสำนักก็มีเคล็ดวิชานี้ เราแทบจะไม่สามารถให้เงื่อนไขที่ดีใดๆ แก่มัน ลืมเรื่องนี้เสียเถอะ เราไม่สมควรดึงมันมา จนเป็นเหตุให้พรสวรรค์ของมันสูญเปล่า นั่นจะเป็นบาปกรรมของเรา”

อีกสามคนนิ่งงันไป ไม่มีเคล็ดวิชากระบี่ฉบับใดของสำนักกระบี่สุญตาที่เหมาะสมกับหนานเหมินหยาง ดังนั้นพวกมันได้แต่ต้องละทิ้งความคิดนี้

“ฮะ” หยานเล่อจู่ๆ ก็อุทานพลางชี้ไปยังภาพมายา “เด็กผู้นั้นไม่ใช่จงหมิงเอี้ยนหรอกหรือ เข้าไปใกล้เจ้าสารเลวน้อยจั่วม่อมากแล้ว”

แม้ว่าหลายคนมีความเห็นหลากหลายกับจั่วม่อ แต่มันจะอย่างไรยังคงเป็นศิษย์ของสำนัก ได้ยินเช่นนี้ ก็พากันมองไปตามปลายนิ้วของหยานเล่อ

แต่ไม่ชมดูยังพอทำเนา เมื่อสายตามองไปเห็นตำแหน่งของจั่วม่อ ไฟโทสะก็พลันพลุ่งพล่านขึ้นมาอีก

ขบวนค่ายกลขนาดห้าหมู่ ทีแรกก็ส่องประกายสะดุดตามากพออยู่แล้ว แต่ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ที่พวกมันละสายตาไป แถบขบวนค่ายกลก็ขยับขยายขึ้นอีกเท่าตัว เวลานี้ถึงกับครอบครองพื้นที่สิบหมู่แล้ว!

เจ้าผู้นี้ที่แท้คิดทำอะไรกันแน่? นั่นเป็นความคิดแรกที่โผล่เข้ามาในใจพวกมัน ส่วนความคิดที่สองคือ เสร็จกัน! คราวนี้พวกมันต้องเสียหน้าครั้งใหญ่แน่แล้ว!

ก่อนหน้านี้ ขบวนค่ายกลขนาดห้าหมู่เป็นเพียงส่วนเสี้ยวเล็กๆ ท่ามกลางเทือกเขาเขียวชอุ่มอันกว้างใหญ่ แต่บัดนี้กลับกลายเป็นแผ่นผืนใหญ่โต ส่องแสงแวววาว เห็นจั่วม่อเคลื่อนผ่านไปมาในขบวนค่ายกลอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หากผู้ใดเพ่งพิศอย่างถี่ถ้วนสักหน่อย พวกมันจะพบเห็นความตื่นเต้นฮึกเหิมและความภาคภูมิใจ ที่ไม่อาจปิดบังได้อยู่ในท่าทีของมัน

และหากพวกมันทราบวิธีอ่านริมฝีปาก ก็จะสามารถอ่านสิ่งที่จั่วม่อพึมพำกับตัวเองได้อย่างง่ายดาย

“กล้าต่อสู้กับเกอ เกอจะฆ่าพวกเจ้าแน่!”

“พลังบำเพ็ญเพียรสู้พวกเจ้าไม่ได้ เกอจะใช้จิงสือทุบตีพวกเจ้าจนตาย...ผู้ใด ผู้ใด ผู้ใดบอกว่าจิงสือสามารถทำให้ผู้คนคุกเข่า...จงคุกเข่าให้แก่เกอเสียเถอะ!”

“ข้าน่าสงสารมาก แต่ข้าไร้ยางอายมาก...”

แต่วิธีอ่านริมฝีปากไม่ใช่ทักษะที่ลึกซึ้งอันใด มีผู้คนมากมายสามารถอ่านริมฝีปาก ดังนั้นบางครั้งอาจได้ยินบางคนหัวร่อออกมา

เผยเหยียนหรานกับพวกทั้งสี่รู้สึกว่าในงานชุมนุมวิจารณ์กระบี่ครั้งนี้ เส้นประสาทอันอ่อนแอของพวกมันถูกทรมานทรกรรมจนสุดจะทน เมื่อมีผู้คนหัวร่อขึ้นมา พวกมันจะหวาดระแวงและรู้สึกว่าคนเหล่านั้นหัวร่อเยาะพวกมัน สุดท้ายพวกมันกลายเป็นนกหวาดเกาทัณฑ์สี่ตัว

สวรรค์โปรดเมตตา!

เจ้าสำนักกระบี่สุญตาอันทรงเกียรติ! กระบี่มังกรน้ำแข็งผู้มีชื่อเสียงเกรียงไกร! กระทั่งหยานเล่อกับสือฟ่งหรงก็เป็นสุดยอดฝีมือด่านจินตัน! พวกมันกลับต้องมาถูกลูกศิษย์ด่านจู้จีผู้หนึ่งทารุณกรรมจนแทบจะคลั่งใจตาย ไม่ว่าผู้ใดก็ใกล้จะสติฟั่นเฟือนเต็มทีแล้ว!

 

จงหมิงเอี้ยนกำลังมุ่งตรงไปยังจั่วม่อจริงๆ ทีแรกมันต้องการต่อสู้กับหวีป๋ายผู้เคยกระทบกระทั่งกันมาบ้าง แต่เมื่อหวีป๋ายต่อสู้ติดพันกับหนานเหมินหยาง มันย่อมไม่อาจยื่นมือเข้าแทรกแซง

สำหรับคนเช่นพวกมัน จะไม่ลดตัวลงไปใช้กลยุทธ์ชั้นต่ำเพื่อชัยชนะ นั่นไม่ใช่วิธีที่มีเกียรติ ไม่ว่าจะเป็นหวีป๋ายหรือจงหมิงเอี้ยน พวกมันล้วนทระนงถือดียิ่ง พวกมันไม่อาจยอมรับชัยชนะที่ได้มาจากการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ดังนั้นจงหมิงเอี้ยนได้แต่เปลี่ยนเป้าหมาย

ศีรษะของผู้พิทักษ์ยันต์ทหารสูงเด่นเหนือแนวต้นไม้ ประหนึ่งแสงไฟจากประภาคารนำทางในความมืด ดึงดูดจงหมิงเอี้ยนใกล้เข้าไปเป็นลำดับ

 

“จงหมิงเอี้ยนพบผีดิบจอมลอกคราบ! น่าสนใจมาก!”

“กรรมสนองมันแล้ว! ข้าเกลียดผู้ที่ใช้จิงสือข่มเหงผู้คนที่สุด!”

“มันทำให้พวกเราเหล่าเซียนกระบี่แห่งตงฝูเสื่อมเสียหน้า! จงหมิงเอี้ยน เกออยู่ข้างเจ้า! รีบๆ ฆ่ามันเถอะ มันน่าอับอายเกินไปแล้ว! เจ้าตัวอัปยศของตงฝู!”

ได้ยินความไม่พอใจร่วมกันของเหล่าเซียนกระบี่ตงฝู เผยเหยียนหรานกับพวกแทบจะวิ่งไปตบมือเห็นชอบด้วย

“ฮู่ว” หยานเล่อถอนหายใจยาวเหยียด “ยอดเยี่ยมมาก! ในที่สุดมันก็จะถูกเตะออกมาเสียที!”

เผยเหยียนหรานราวกับยกภูเขาออกจากอก “พ่ายแพ้ในมือจงหมิงเอี้ยนไม่ได้น่าอับอายอันใด”

ซินหยานพยักหน้าเห็นพ้องอย่างที่ไม่ค่อยได้พบเห็นนัก “ตายไวๆ จะได้กลับชาติมาเกิดใหม่เร็วๆ!”

ทั้งสามล้วนเห็นพ้องอย่างไร้ข้อกังขา หวังว่าจงหมิงเอี้ยนจะสามารถจบการต่อสู้ได้อย่างรวดเร็ว จั่วม่อจะได้ไม่มีเวลาสร้างความอับอายขายหน้าให้ทุกคนอีก เวลานี้พวกมันรู้ชัดแล้ว ว่าการส่งจั่วม่อเข้าร่วมประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่รอบสุดท้าย เป็นการตัดสินใจที่โง่เขลาที่สุดในชีวิตของพวกมัน เหวยเสิ้งคราวนี้สร้างชื่อให้แก่สำนักอย่างมหาศาล แต่ยังห่างไกลจากปริมาณที่จั่วม่อทำให้สำนักต้องอับอายขายหน้าอีกมาก พวกมันสูญเสียอย่างใหญ่หลวงจริงๆ

มีเพียงสือฟ่งหรงยังข้องใจอยู่บ้าง “ไฉนเป็นจงหมิงเอี้ยน? ข้าไม่ชมชอบเจ้าโจรเฒ่าจั่วเหมยเทียน!” จากนั้นพลันหันหน้ามากล่าว “ควรเป็นเหวยเสิ้งไปเตะจั่วม่อออกมา!”

เผยเหยียนหรานขบคิดเล็กน้อย แย้งว่า “การต่อสู้ของศิษย์ร่วมสำนักเดียวกัน อาจดูไม่ค่อยดีกระมัง!”

หยานเล่อออกความเห็นมาจากด้านข้าง “ให้จงหมิงเอี้ยนเตะจั่วม่อออกมาก่อน จากนั้นให้เหวยเสิ้งเตะจงหมิงเอี้ยนออกมาอีกทีเป็นอย่างไร!”

ซินหยานผู้เงียบขรึมอยู่เป็นนิจ สอดปากทันที “วิเศษ!”

 

ในเวลาเดียวกัน หน้าร้านรับพนันทุกแห่ง เปิดรับเดิมพันการจับคู่ระหว่างจั่วม่อกับจงหมิงเอี้ยนอย่างรวดเร็ว เสมียนร้านป่าวร้องตะโกนจนเสียงแหบเสียงแห้ง

“สะเทือนไปทั้งตงฝู เดิมพันสิบกระบวนท่า! ทางเลือกยอดนิยมจากการประลองในรอบแรก ผีดิบที่ยอดเยี่ยมจะสามารถระเบิดตงฝูอีกครั้งหรือไม่? ผลการต่อสู้จะเปิดเผยในไม่ช้า! เดิมพันสะท้านโลกนี้ หากท่านไม่มีส่วนร่วมด้วยตัวเอง ชีวิตท่านจะสมบูรณ์พร้อมได้อย่างไร?”

“เอ้า เร่เข้ามาๆ มาสิ ลองมาชมดู กระบี่ที่แข็งแกร่งปะทะโล่ที่แข็งแกร่ง! เป็นไร? ไม่มีโล่? สวรรค์! นายท่าน เบิ่งตาดูเสียหน่อยเถอะ ในโลกนี้ยังจะมีโล่ที่เหมือนเต่ามากไปกว่านี้อีกหรือ? นี่คือค่ายกลเต่าอมตะที่แข็งแกร่งที่สุดในปีนี้ ลองดูชื่อที่จั่วม่อเซียนเซิงได้ตั้งให้แก่สุดยอดผลงานของมันสิ รูปแบบค่ายกลเต่าอมตะปกป้องเขตแดนสมบูรณ์แบบ! เพียงแค่ชื่อสุดแข็งแกร่งนี้ ก็เต็มไปด้วยพลังปกป้องคุ้มครองอย่างเต็มรูปแบบแล้ว มันคุ้มค่ากับเงินเดิมพันของท่านอย่างแน่นอน!”

“อัตราเดิมพันหนึ่งต่อห้าร้อย! เป็นไร? ท่านยังไม่พึงพอใจอีก? ผู้น้อยสามารถรับประกัน ไม่มีอัตราต่อรองที่ดีกว่านี้อีกแล้ว! ลองนึกดู ในคราวนั้นจั่วม่อสุดมหัศจรรย์ของพวกเรา เป็นดาวจรัสฟ้าในการเดิมพันสะท้านฟ้าสะเทือนดินรอบนั้น ลองคิดถึงคนที่ชนะเดิมพันมหาศาลนั้นสิ! ลูกชายของป้าที่อยู่ข้างบ้านของหวังเสี่ยวเอ้อ ลงเดิมพันจิงสือไว้ถึงสิบชิ้น เวลานี้มันร่ำรวย...”

ฟู่จินดวงตาแดงก่ำ วางเดิมพันด้วยจิงสือทั้งหมดที่มีติดกาย พึมพำกับตนเอง “ไม่ใช่ว่าข้าเชื่อมั่นในตัวเจ้าหรอกนะเสี่ยวม่อเกอ แต่นี่เป็นความแค้นระหว่างข้ากับสำนักกระบี่ตงฉีต่างหาก!” เสมียนร้านรับพนันได้ยินเช่นนี้ถึงกับใจสั่นสะท้าน สำนักกระบี่ตงฉีเป็นสำนักใหญ่สำนักหนึ่งในตงฝู คนผู้นี้จิตใจห้าวหาญนัก

ฟู่จินจดจำจงหมิงเอี้ยนได้แม่น ในระหว่างการมีเรื่องมีราวคราวนั้น จงหมิงเอี้ยนแม้ไม่ได้เป็นคนลงมือทำร้ายมัน แต่มันก็ได้รับบาดเจ็บด้วยฝีมือศิษย์สำนักกระบี่ตงฉีที่มากับจงหมิงเอี้ยน ในเวลาเดียวกัน จั่วม่อได้ลุกขึ้นปกป้องมัน ส่งผลให้มิตรภาพระหว่างมันกับจั่วม่อลึกล้ำยิ่งกว่าเดิม

ดวงตามันแดงฉาน กัดริมฝีปากแน่น วิตกกังวลแทนจั่วม่อ

มันย่อมเคยได้ยินเรื่องพลังฝีมืออันร้ายกาจของจงหมิงเอี้ยน รวมกับเรื่องที่ว่าคนทั้งสองเคยบาดหมางกันมาก่อน จงหมิงเอี้ยนจะไม่ปราณีอย่างแน่นอน

 

จิตสำนึกของจั่วม่อแข็งแกร่งกว่าผู้อื่น มันค้นพบจงหมิงเอี้ยนในทันที ฝีเท้าของจงหมิงเอี้ยนไม่ได้รวดเร็ว ทีละก้าวๆ ตรงเข้าหาจั่วม่ออย่างเฉื่อยชา กล่าวตามความสัตย์ จั่วม่อต้องการวิ่งหนีไปเสียเดี๋ยวนี้ จัดการกับซิวเจ่อสามัญทั่วไป มันยังคงมีโอกาสอยู่บ้าง แต่เผชิญกับยอดฝีมือเช่นจงหมิงเอี้ยน มันไม่มีโอกาสแม้แต่น้อย

รูปแบบค่ายกลเต่าอมตะที่มันภาคภูมิใจ หนึ่งในข้อบกพร่องที่ใหญ่ที่สุด ในที่สุดก็เปิดเผยตัวเองออกมา นั่นคือเมื่อขบวนค่ายกลเริ่มต้นขึ้น นอกเหนือจากยืนหยัดอยู่ภายในค่ายกลจนกว่าจะตายกันไปข้าง ก็ไม่มีหนทางอื่นอีก

ทั้งสองฝ่ายพบกันครั้งสุดท้ายไม่ได้มีความรู้สึกที่ดี สาเหตุเนื่องจากมัน ศิษย์สำนักตงฉีผู้หนึ่งยังถูกขับไล่ออกจากตงฝู

ประเสริฐ ในเมื่อไม่สามารถหลบหนี มันก็จะไม่หนี! จั่วม่อปลุกปลอบใจตัวเอง หากมันตกลงใจว่าจะต่อสู้ พลังสภาวะก็นับว่าพอมีอยู่บ้าง

นี่ไม่ใช่เป็นแค่จงหมิงเอี้ยนเท่านั้นเองหรือ?

มันกวาดตามองไปรอบๆ วัตถุดิบมากมายส่องแสงวาววับ คล้ายประกายระยิบระยับของจิงสือนับไม่ถ้วน เผยเสน่ห์อันน่าลุ่มหลงที่ทำสายตาพร่าพราย

ความฮึกหาญพลุ่งทะยานขึ้นในหัวใจ

กระทั่งผูเยาที่เรียกตัวเองว่าอสูรฟ้า เกอยังสามารถใช้จิงสือทุบตีมันจนยอมจำนน เจ้าไม่ใช่เพียงแค่ซิวเจ่อด่านหนิงม่ายตัวน้อยๆ หรอกหรือ เกอจึงไม่เชื่อว่าเกอจะไม่สามารถถมเจ้าจนตายด้วยจิงสือ!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด