ตอนที่แล้วบทที่ 141 คู่ต่อสู้ของจั่วม่อ  
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 143 ข่าวที่สะท้านสะเทือน  

บทที่ 142 กระบี่เจ็ดดอกเหมย


 

อันที่จริง จั่วม่อไม่มีความมั่นใจแม้แต่น้อย

มันเพิ่งจะสร้างขบวนค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์เสร็จสิ้นไปเพียงสี่สิบห้าค่ายกลย่อย ยังคงขาดค่ายกลย่อยอีกยี่สิบเจ็ดค่าย กว่าจะบรรลุถึงเจ็ดสิบสองค่ายกลย่อยเต็มรูปแบบ ขบวนค่ายกลประเภทค่ายกลมารดากับบุตร ดังเช่นค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์นี้ มักมีลักษณะพิเศษ ยิ่งมีค่ายกลย่อยมากเท่าใด พวกมันก็ยิ่งจะทรงพลังมากขึ้นเท่านั้น และอัตราการเพิ่มขึ้นของพลังอำนาจ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเพิ่มค่ายกลย่อยทีละค่ายๆ แต่ส่วนมากเพิ่มขึ้นในรูปแบบค่าทวีคูณ ตัวอย่างเช่นค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์ ก็จะเป็น สิบแปด สามสิบหก เจ็ดสิบสอง เป็นต้น

สี่สิบห้าค่ายกลย่อยพลังแทบไม่ต่างจากสามสิบหกค่ายกลย่อยสักเท่าใด หากมันสามารถสร้างเจ็ดสิบสองค่ายกลย่อยเสร็จสิ้น พลานุภาพของค่ายกลชุดนี้เมื่อเทียบกับสามสิบหกค่ายกลย่อยแล้ว จึงจะแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน ทั้งหมดจะยกระดับขึ้นไปอีกระดับชั้น จั่วม่อประเมินไว้ว่าพลังของเจ็ดสิบสองค่ายกลย่อย จะรุนแรงมากกว่าสามสิบหกค่ายกลย่อยถึงสี่เท่าตัว แน่นอนว่าความยุ่งยากในการก่อตั้งค่ายกลทั้งสองขนาดนี้ ก็ย่อมแตกต่างกันอย่างใหญ่หลวง เมื่อจำนวนค่ายกลย่อยไต่ขึ้นไปจนถึงระดับหนึ่งแล้ว การจะเพิ่มค่ายกลย่อยลงไปแต่ละค่ายๆ ความยากลำบากก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นในอัตราทวีคูณ

อย่างไรก็ตาม เวลานี้ใช่เวลาที่ต้องพิจารณาเรื่องเหล่านี้เสียที่ไหน มันไม่มีทางเลือกอื่นอยู่แล้ว

จงหมิงเอี้ยนไม่คิดผ่อนคลายหรือรีรอใดๆ เพียงก้าวตรงไปยังจั่วม่อทีละก้าวๆ อย่างสม่ำเสมอ

จั่วม่อก็ไม่ลังเลอีก สะบัดมือซัดเจดีย์องค์น้อยที่มีห้าชั้นกับสีสันห้าสี ลอยลิ่วขึ้นไปบนอากาศ

ทันทีที่เจดีย์ห้าสีหลุดออกจากมือ มันก็ขยายขนาดขึ้นเป็นลำดับ ภายในชั่วพริบตา ก็มีความสูงเท่าคนผู้หนึ่ง เจดีย์ห้าสีบินขึ้นไปกลางเวหา ลอยหมุนอย่างแช่มช้าอยู่เหนือบ่อน้ำ บ่อน้ำด้านล่างเต็มไปด้วยหมอกและไอน้ำม้วนตลบ ไอน้ำพลุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว สูงขึ้นไปจนถึงส่วนฐานของเจดีย์ห้าสี มองแต่ไกลคลับคล้ายไอน้ำหนุนรองเจดีย์ห้าสีเอาไว้

เจดีย์ห้าสีเปล่งแสงเรืองรอง แต่ละชั้นของเจดีย์พ่นประกายแสงห้าสีนับไม่ถ้วนออกมาอย่างต่อเนื่อง แสงห้าสีเหล่านี้พุ่งเข้าสู่ค่ายกลแต่ละค่ายที่จั่วม่อก่อตั้งไว้

ขบวนค่ายกลขนาดสิบหมู่ซึ่งประกอบไปด้วยบ่อน้ำ แผ่นหยก กระถางหลอมกลั่นทองแดงและตะปูเหล็ก เมื่อถูกแสงห้าสีแทรกซึมเข้าไปอย่างหนาแน่นและต่อเนื่อง โดยมีบ่อน้ำเป็นจุดศูนย์กลาง ชั้นแสงก็สว่างวาบเจิดจ้าบาดตา

หากแถบขบวนค่ายกลก่อนหน้านี้เรียกได้ว่าเป็นประกายแวววาว เช่นนั้นยามนี้ มันราวกับแผ่นผืนทองคำขนาดยักษ์ ฝังตัวอยู่ท่ามกลางภูมิทัศน์เขียวชอุ่มรอบข้าง ฉูดฉาดบาดตาถึงที่สุด ย่อมได้รับการพร้อมใจกันดูถูกเหยียดหยามจากทุกผู้คน

แต่เมื่อขบวนค่ายกลทั้งหมดในพื้นที่สิบหมู่ สว่างเจิดจ้าขึ้นพร้อมกัน ขับเคลื่อนเต็มรูปแบบในชั่วลัดนิ้วมือเดียว ฉากอันตระการตาเช่นนี้ จะมีสักกี่คนที่เคยพบเห็น?

ไม่มีผู้ใดเคยได้ยลมาก่อน

แถบขบวนค่ายกลขนาดยักษ์เช่นนี้ สามารถปรากฏขึ้นเฉพาะในเขตพื้นที่หวงห้ามของสำนักเท่านั้น ทั้งยังไม่ใช่สำนักทั่วไปจะมีสิ่งของเช่นนี้ได้ รอบถ้ำกระบี่ของสำนักกระบี่สุญตายังไม่มี รอบอารามตงฝูก็ไม่มี สำนักกระบี่หัวใจทะเลสาบมีอยู่แห่งหนึ่ง แต่ไม่เคยเปิดใช้งานมาเนิ่นนานแล้ว ครั้งสุดท้ายที่เปิดใช้งาน ก็ล่วงผ่านมาหลายร้อยปีแล้ว

รอบตงฝู เต็มไปด้วยฝูงชนซิวเจ่อที่หนาแน่น ทุกผู้คนพอเห็นฉากอันงดงามตระการนี้ ได้แต่อ้าปากค้าง ตื่นตะลึงอย่างสมบูรณ์

การต่อสู้ของเหวยเสิ้งกับกู่หรงผิงไม่ต้องสงสัยเลยว่ามีความลึ้กซึ้งมากกว่า มีเนื้อหาเชิงทักษะมากกว่า แต่ต่อหน้าค่ายกลใหญ่โตนี้ สิ่งเหล่านี้กลับกลายเป็นเล็กกระจ้อยร่อย ด้วยระดับพลังบำเพ็ญเพียรด่านหนิงม่ายของเหวยเสิ้งกับกู่หรงผิง ปราณกระบี่แต่ละเล่มอาจยืดยาวเจ็ดแปดจั้ง ที่ยาวที่สุดก็ไม่พ้นสิบจั้ง แต่ไม่ว่าปราณกระบี่เหล่านี้จะน่าดูชมสักเพียงใด ก็ไม่สามารถเทียบได้กับภาพค่ายกลขนาดสิบหมู่อันสุกสกาว ที่เริ่มขับเคลื่อนในรวดเดียว

ภายในระยะเวลาอันสั้น ทั้งตงฝูก็พลันเงียบสนิท

ชั่วครู่ใหญ่ ผู้คนค่อยๆ เริ่มฟื้นตัวจากความตื่นตะลึง ตงฝูระเบิดขึ้นในทันที ซิวเจ่อหลายหมื่นคนส่งเสียงอื้ออึงขึ้นพร้อมกัน จากเงียบสนิท ทันใดนั้นคลื่นเสียงดังกระหึ่มก็กวาดออกมา ซิวเจ่อบางคนที่มีพลังบำเพ็ญเพียรอ่อนแอ รู้สึกในหูดังหึ่งๆ ไม่ได้ยินเสียงอันใดอีกเลย

หลังจากนั้นสักครู่ กว่าที่โสตประสาทของมันจะฟื้นคืนมาเป็นปกติ

อย่างไรก็ตาม การถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้หยุดลง ตรงกันข้าม กลับยิ่งดุเดือดกว่าเดิม

“คุ้มค่าจริงๆ! เพียงได้ชมดูขบวนค่ายกลนี้ ก็เพียงพอกับการเดินทางไกลอันเหนื่อยยากของข้า!”

“น่าตื่นตาตื่นใจ! อย่างที่คาดไว้ จั่วม่อมีฝีมืออยู่บ้างจริงๆ มันสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ออกมาได้เสมอ!”

“รูปแบบค่ายกลเต่าอมตะอันใด? มันเป็นแค่จิงสือเท่านั้น!”

ขณะที่ผู้คนทอดถอนชมเชย ค่ายกลก็เปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์ แถบขบวนค่ายกลขนาดใหญ่สิบหมู่พลันแปรเปลี่ยนไป

แสงสว่างรูปจันทร์เสี้ยวลอยขึ้นเหนือบ่อน้ำ เปล่งแสงสว่างสดใส ภายในค่ายกลเห็นหมอกสีเขียวอมฟ้าลอยอ้อยอิ่ง ครอบคลุมไปทั่ว บดบังสภาพแวดล้อมจนพร่าเลือน ภายในหมอก วงแหวนแสงน้อยใหญ่จำนวนมากมายเหลือคณานับ ล่องลอยเวียนว่ายอยู่ในอากาศ พวกมันเดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำ บัดเดี๋ยวเข้ามากระจุกรวมกัน บัดเดี๋ยวก็แยกกระจัดกระจายออกไป ราวกับฝูงปลาแสนรู้อันปราดเปรียวฝูงหนึ่ง

 

บนหลังคาที่พำนักแห่งหนึ่งในตงฝู บุรุษสามคนยืนเคียงข้างกัน

“จั่วม่อเป็นอัจฉริยะทางค่ายกลอย่างแท้จริง อาศัยระยะเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้ ก็สามารถเข้าใจค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์ได้ถึงขั้นนี้ ร้ายกาจยิ่งนัก! โชคดีที่ในวันนั้นเราไม่ล่วงเกินมัน” บุรุษชุดแดงตาจ้องภาพมายา ปากก็ชมเชยไม่ขาดปาก

พวกมันย่อมเป็นกลุ่มอาคันตุกะที่บีบบังคับให้จั่วม่อแปรสภาพเม็ดบัวดำนิลกาฬในวันนั้น

“ฮึ่ม มันเป็นแค่ซิวเจ่อด่านจู้จี ได้แต่พึ่งพาพลังจากภายนอก ยังจะสามารถประสบความสำเร็จอันใดได้?” บุรุษหน้าถมึงทึงแค่นเสียง

“เป็นการดีที่มันมีพลังบำเพ็ญเพียรไม่สูงนัก” ชายจมูกอินทรีกล่าวอย่างอึมครึม

“เจ้าคิดใช้กำลัง? อย่าลืมว่ามันมีศิษย์พี่ที่ร้ายกาจอยู่อีกผู้หนึ่ง!” คนหน้าเหี้ยมกล่าวพลางสั่นศีรษะ พวกมันทั้งสามหวาดวิตกสุดขีดกับพลังฝีมืออันเข้มแข็งของเหวยเสิ้ง

“กำลังคนของเราไม่เพียงพอ ศิษย์พี่ของมันก็นับน่าสนใจไม่น้อย” ชายจมูกอินทรีกล่าว

คนหน้าเหี้ยมยังคงสั่นศีรษะ “จั่วม่อยังอยู่ในด่านจู้จีเท่านั้น ไม่ว่าจะมีฝีมือทางค่ายกลสักเท่าใด ยังคงมีข้อจำกัดอยู่มาก”

“ตราบเท่าที่มันมีพรสวรรค์ ก็ใช้การได้แล้ว” คนชุดแดงพลันเอ่ยแทรก “ที่นี่คือแดนคุนหลุน ไม่ใช่แดนเทียนหวน คิดเสาะหาซิวเจ่อที่มีฝีมือทางค่ายกลไม่ใช่เรื่องง่าย เหวยเสิ้งอาจร้ายกาจ แต่มันมีเพียงคนเดียว พวกเราสามพี่น้องยังจะต้องเกรงกลัวอันใด”

บุรุษเสื้อแดงมีอิทธิพลที่สุดในหมู่พวกมันทั้งสาม ในเมื่อมันกล่าวเช่นนั้น อีกสองคนก็ไม่สิ่งใดต้องคัดค้าน อีกอย่าง สิ่งที่คนเสื้อแดงกล่าวก็เป็นความจริง มีซิวเจ่อมากมายรู้วิชาค่ายกล แต่ผู้ที่เรียกได้ว่ามีฝีมือจริงๆ มีน้อยยิ่งกว่าน้อย ผู้ที่มีชื่อเสียงบางคน หากไม่เรียกราคาสูงเกินไป ก็ไม่เต็มใจจะเสี่ยงต่อความปลอดภัยของตน

บุรุษหน้าถมึงทึงแย้มยิ้มพลางกล่าวว่า “นั่นก็ใช่แล้ว หากมันกล้ามีความคิดเป็นอื่น เช่นนั้นธงหยินบัวทมิฬที่เพิ่งหลอมสร้างเสร็จใหม่ๆ ก็จะได้มีโอกาสทดสอบพลังแล้ว”

บุรุษจมูกอินทรีขมวดคิ้ว “แต่เราจะชักชวนจั่วม่ออย่างไร? คนผู้นี้ไม่ใช่ตัวโง่งม อีกทั้งเราไม่อาจใช้กำลัง”

ชายชุดแดงมีความมั่นใจมากในประเด็นนี้ มันยิ้มหยัน “ล่อลวงด้วยผลประโยชน์! นี่ไม่ต้องกล่าวถึงจั่วม่อที่โลภมาก แม้แต่ผู้งมงายกระบี่อย่างเหวยเสิ้ง ก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้”

ขณะที่พวกมันทั้งสามสนทนากัน จงหมิงเอี้ยนก็บรรลุถึงชายขอบของค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์

 

ชั่วขณะที่ขบวนค่ายกลขับเคลื่อนเต็มกำลัง จงหมิงเอี้ยนสมองขาวว่างเปล่าไปแวบหนึ่ง แต่กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ฝีเท้าของมันไม่ได้เร่งรีบหรือเชื่องช้า ท่วงท่าสงบเยือกเย็นเฉกเช่นยอดฝีมือ มีเพียงพลังสภาวะอันน่าสะท้านใจที่ปลดปล่อยออกมา ที่บ่งบอกว่าความปรารถนาในการต่อสู้ภายในใจมัน ไต่ขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุดแล้ว

เงาร่างของจั่วม่อหายไปในขบวนค่ายกล

หมอกสีเขียวอมฟ้าแพร่กระจายไปทั่ว ก่อเกิดโลกเล็กๆ เฉพาะตัวของมันเองขึ้นมา วงแหวนแสงใหญ่น้อยนับไม่ถ้วนแหวกว่ายไปมาอย่างฉลาดเฉลียวมีชีวิตชีวา บางครั้งบางคราววงแหวนสองวงจะกระทบใส่กัน สำเนียงใสกระจ่างดั่งแก้วจะแว่วกังวาน สุ้มเสียงเหง่งหง่างดุจระฆังที่กังวานอยู่ในสายหมอก ทั้งแผ่วเบาทั้งเลื่อนลอย ยากจะติดตามสืบหาที่มา สะท้อนก้องอย่างไร้ทิศทาง

สิ่งที่ปรากฏอยู่ในครรลองสายตา มีเพียงหมอกสีเขียวอมฟ้ากับวงแหวนแสงที่คล้ายฝูงมัจฉา ไม่ใช่แค่เพียงตัวจั่วม่อ กระทั่งแผ่นป้ายหยกหรือตะปูเหล็กที่อยู่บนพื้น ยังเลือนหายไปจนหมดสิ้น

เหง่ง เหง่ง หง่าง หง่าง!

จงหมิงเอี้ยนอดไม่ได้ ต้องแค่นเสียงอย่างเย็นชา ในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ในหมู่ศิษย์รุ่นหลังแห่งสำนักกระบี่ตงฉี มันได้ติดตามซือฟู่ของมันฝึกปรือกระบี่ มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวิชาค่ายกลเป็นอย่างดี

ค่ายกลแล้วเป็นไร?

มันไม่ครั่นคร้ามแม้แต่น้อย

หนึ่งกระบี่พิฆาตสรรพวิถี นี่จึงเป็นเซียนกระบี่ที่แท้จริง! มันยังคงอยู่ห่างไกลจากระดับชั้นอันน่าอัศจรรย์เช่นนั้น แต่คู่ต่อสู้ของมันเป็นชนชั้นจู้จีผู้หนึ่ง เพียงแค่ซิวเจ่อด่านจู้จีเท่านั้น อาศัยอะไรหยุดยั้งกระบี่ของมัน?

มันไม่เชื่อ!

หลายคนเข้าใจมันผิดอยู่บ้าง สำหรับเรื่องความบาดหมางกับจั่วม่อ จงหมิงเอี้ยนลืมเลือนไปตั้งแต่แรก มันไม่เคยจดจำใส่ใจเสียด้วยซ้ำ ศิษย์ของสำนักมันที่ถูกขับไล่จากตงฝู นั่นเป็นเพราะว่าฝีมือของเจ้าโง่นั่นไม่ดีเท่าผู้อื่นเท่านั้น ไม่มีเหตุผลอื่นใดอีก จงหมิงเอี้ยนคร้านจะใส่ใจ มันไม่ได้มีความรู้สึกเลวร้ายกับจั่วม่อเป็นการเฉพาะ แต่ก็ไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีเช่นกัน

น่าเสียดายที่หวีป๋ายพบพานหนานเหมินหยางก่อนมัน

มองหวีป๋ายกับหนานเหมินหยางต่อสู้อย่างเร่าร้อนดุเดือดอยู่เบื้องหลังมัน จงหมิงเอี้ยนเศร้าเสียดายเป็นที่สุด จากนั้นหันมามองจั่วม่อที่เบื้องหน้า มันรู้สึกไร้รสชาติยิ่ง

แม้ว่าจะไม่ใช่หวีป๋ายก็ตาม มันยังสมควรได้เล่นกับหนานเหมินหยาง แต่ไฉนมาจบลงที่จั่วม่อ?

ในขณะที่ทอดถอนอย่างโศกเศร้า จงหมิงเอี้ยนก็เรียกกระบี่บินของมันออกมา

นี่เป็นกระบี่บินที่พิเศษเฉพาะเป็นอย่างยิ่งเล่มหนึ่ง รูปลักษณ์ของกระบี่ไม่ต่างอันใดกับกิ่งเหมยแก่กิ่งหนึ่ง กิ่งเหมยนี้มีหลายข้อปล้อง ดูคล้ายกระดูกทองแดง เก่าแก่โบราณ ทว่ายืดหยุ่นแข็งแรง กิ่งเหมยกิ่งนี้ยังมีดอกเหมยเจ็ดดอกเบ่งบานสดใส ดูสดชื่นคล้ายเพิ่งปลิดลงมาจากต้น กลิ่นหอมจางๆ ล่องลอยไปในอากาศ

 

“กระบี่เจ็ดดอกเหมย! จั่วเหมยเทียนถึงกับมอบกระบี่เจ็ดดอกเหมยให้แก่มันจริงๆ! ดูเหมือนว่าคาดหวังในตัวจงหมิงเอี้ยนไม่น้อยเลย!”

“นี่เป็นกระบี่อันดับหนึ่งแห่งสำนักกระบี่ตงฉี กระบี่เจ็ดดอกเหมย? อย่างที่คาดไว้ ไม่ธรรมดาจริงๆ! จั่วเหมยเทียนกล้าหาญจริงๆ กระบี่ที่ดีเยี่ยงนี้ ถึงกับมอบให้ศิษย์ด่านหนิงม่ายผู้หนึ่ง!”

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังอื้ออึง ทุกผู้คนล้วนมีสีหน้าครั่นคร้าม

กระบี่เจ็ดดอกเหมยเป็นกระบี่บินที่มีชื่อเลื่องลือที่สุดของสำนักกระบี่ตงฉี เป็นสินค้าระดับสี่ เหมาะสมอย่างที่สุดกับสุดยอดวิชาของสำนัก เคล็ดกระบี่ตัดดอกเหมย อย่างไรก็ตาม ที่กระบี่เล่มนี้มีชื่อเสียงไม่ใช่เพราะตัวมันเอง แต่เป็นเจ้าของเดิมของมัน จั่วเหมยเทียน

ในอาณาจักรนภาจันทร์ จั่วเหมยเทียนมีชื่อเสียงกึกก้องเกรียงไกร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความโหดร้ายอำมหิต ผู้คนล้วนหวาดกลัวมัน แต่หลายปีที่ผ่านมามันกลับเก็บตัวอยู่อย่างสันโดษ ว่ากันว่ามันกำลังมุ่งเน้นไปที่การฝึกอบรมศิษย์รักของมัน มองจากยามนี้ นี่สมควรเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน แม้แต่ของวิเศษเช่นกระบี่เจ็ดดอกเหมยก็ยังส่งมอบให้แก่จงหมิงเอี้ยน เห็นได้ชัดถึงความรักใคร่เอ็นดูที่ลึกซึ้งของมัน

ผู้คนที่มองกระบี่เจ็ดดอกเหมยด้วยน้ำลายไหลย้อย ล้วนกำจัดความโลภของพวกมันเสียอย่างรวดเร็ว จัดการผู้เยาว์ผู้หนึ่งอาจไม่ใช่เรื่องยาก แต่หากพวกมันข่มเหงจงหมิงเอี้ยน จนตอแยจั่วเหมยเทียนออกมา นั่นเท่ากับแส่หาที่ตายด้วยตัวเองชัดๆ

สี่ผู้อาวุโสแห่งสำนักกระบี่สุญตาสีหน้าหนักอึ้ง แม้ว่าพวกมันปรารถนาให้จั่วม่อหลุดออกจากการประลองโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่เมื่อพวกมันเห็นจงหมิงเอี้ยนนำกระบี่เจ็ดดอกเหมยออกมา ยังอดสีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อยไม่ได้

ความเหี้ยมโหดของจั่วเหมยเทียนเป็นที่เลื่องลือ มองจากสิ่งนี้ ศิษย์รักของมันจงหมิงเอี้ยนย่อมไม่ใช่คนใจดีมีเมตตา พวกมันไม่ได้กังวลว่าจั่วม่อจะพ่ายแพ้การประลอง เพราะนี่เป็นเรื่องแน่นอนยิ่งกว่าสิ่งใดอยู่แล้ว พวกมันห่วงกังวลว่าจั่วม่อจะได้รับบาดเจ็บ หากจงหมิงเอี้ยนก็ไร้หัวจิตหัวใจเช่นเดียวกันกับซือฟู่ของมัน เกรงว่าวันนี้จั่วม่อคงไม่มีจุดจบที่ดีแล้ว!

อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ค่ายกลขนาดใหญ่ของจั่วม่อขับเคลื่อนเต็มรูปแบบ การมองผ่านภาพมายา กระทั่งพวกมันยังยากที่จะเห็นสถานการณ์ภายใน

ท่ามกลางขบวนค่ายกลสีเขียวอมฟ้าขบวนใหญ่ กลุ่มวงแหวนแสงกระโดดโลดเต้นอยู่ภายใน จันทร์เสี้ยวแขวนสูงอยู่เหนือสิ่งใดทั้งหมด!

แตกต่างจากที่ผู้คนครุ่นคิด เผชิญหน้าศึกใหญ่ จั่วม่อกลับยุ่งวุ่นวายมาก มันลอบเล็ดลอดไปยังปลายค่ายกลอีกด้านหนึ่งอย่างเงียบเชียบ เร่งมือก่อตั้งค่ายกลย่อยของค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์อย่างไม่หยุดยั้ง!

สร้างค่ายกลย่อยเพิ่มอีกหนึ่งค่าย พลานุภาพของค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์ ก็จะร้ายกาจขึ้นอีกเล็กน้อย

การเคลื่อนไหวของมันรวดเร็วถึงที่สุด หลังจากผ่านการก่อตั้งค่ายกลย่อยมาถึงสี่สิบห้าค่าย มันเริ่มช่ำชองชำนาญเป็นอย่างยิ่ง

จั่วม่อเขม้นมองไปยังจงหมิงเอี้ยน มันคาดการณ์ว่าในช่วงเริ่มต้น อีกฝ่ายยังคงทำได้แค่เพียงพยายามทดสอบค่ายกลเท่านั้น ดังนั้นตั้งใจฉกฉวยโอกาสใช้ช่วงเวลานี้ให้เป็นประโยชน์

เจ้าตี ข้าตั้ง!

นี่ไม่ใช่แค่การประลองความเร็วเท่านั้นเองหรอกหรือ?

ลองดูกันไป ว่าเจ้าจะทำลายค่ายกลได้ก่อน หรือข้าจะก่อตั้งค่ายกลสำเร็จก่อน!

จั่วม่อในใจลอบคิดอย่างขุ่นแค้น สองมือของมันยิ่งทวีความเร็วขึ้นเรื่อยๆ

ไม่มีผู้ใดคาดคิด ในช่วงคับขันอันตรายเช่นนี้ จั่วม่อยังคงยืนหยัดก่อตั้งค่ายกลอย่างไม่ย่อท้อ!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด