ตอนที่แล้วบทที่ 88 ผีดิบจอมลอกคราบ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 90 ผูเยาโต้กลับ  

บทที่ 89 อสูรโง่  


 

เมื่อหมอกสลายไป กลับปรากฏบ่อน้ำพุร้อนขึ้นมาแทนที่ ไอน้ำฟุ้งกระจายไปทั่ว โฉมสะคราญกลุ่มหนึ่งกำลังสรงสนาน ลับล่อรำไรอยู่ท่ามกลางละไอจางๆ ที่ล่องลอยอ้อยอิ่ง พวกนางดวงตาหยาดเยิ้ม เย้ายวนถึงที่สุด ผิวพรรณเนียนละเอียดดุจแพรไหม แฝงไว้ด้วยแรงดึงดูดอันพิสดาร ตรึงสายตาของจั่วม่อไว้แนบแน่นดุจต้องมนตรา

โฉมสะคราญหัวร่อต่อกระซิก หยอกเย้ากันไปมาอย่างสุขสราญใจ ไม่แยแสสนใจจั่วม่อราวกับมันเป็นเพียงอากาศธาตุ

จั่วม่อผู้น่าสงสาร เมื่อใดกันที่มันจะเคยได้มีโอกาสพบเห็นภาพเจริญหูเจริญตาเช่นนี้ มันราวกับถูกสายฟ้าฟาดใส่ ยืนเซ่อซึมอยู่กับที่ เสียงหัวร่อปนหอบหายใจของเหล่าโฉมงามชอนไชเข้าไปในรูหู มันรู้สึกลำคอแห้งผาก ทั่วร่างร้อนผ่าว ดูเหมือนว่าจะมีบางสิ่งในร่างกายผงาดขึ้นมา

นี่มันเวทวิชาอันใด?

จั่วม่อรู้สึกหัวใจเต้นกระหน่ำ รัวเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะกระดอนออกมาจากอก สุดจะระงับยับยั้งไว้ได้

มันเกร็งกำลังทั่วร่าง ผนึกพลังเข้าต่อต้านการกลืนน้ำลาย ยังตรวจพบว่าร่างกายไม่ปกติ ผิดปกติอย่างแน่นอน! เริ่มโคจรพลังปราณ แต่ไร้ผลโดยสิ้นเชิง อดแตกตื่นลนลานไม่ได้

เวทวิชาอันร้ายกาจ! ค่ายกลเขาวงกตอันร้ายกาจ!

เยือกเย็นไว้ เยือกเย็นเข้าไว้!

นี่ไม่ใช่ของจริง ไม่ใช่ของจริง!

จั่วม่อพร่ำบอกกับตัวเอง ในเวลานี้ อันที่จริงมันสมควรหลับตาเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบ แต่ด้วยเหตุผลลึกลับบางประการ วันนี้เปลือกตาของมันคล้ายไม่เชื่อฟัง ราวกับว่าโลกลึกลับในบ่อน้ำพุร้อนนั้นดึงดูดสายตาของมันไว้โดยไม่อาจขัดขืน หากมันไม่ใจแข็งพอที่จะยับยั้งตัวเอง เกรงว่าสองขาคงพามันตรงไปยังบ่อน้ำพุร้อนเสียนานแล้ว

จับกุมดวงวิญญาณและจิตใจของผู้คนโดยไม่มีไร้ร่องรอย ทั้งยังแทบจะสามารถควบคุมร่างกายได้ จั่วม่อได้ข้อสรุปสุดท้ายที่สมเหตุสมผลแล้ว กลุ่มเทพธิดาสรงสนานเหล่านี้ ที่แท้เป็นค่ายกลเขาวงกตชั้นสูงค่ายหนึ่ง!

ระดับสี่หรืออาจจะระดับห้า?

ผู้ใดถูกขังอยู่ในค่ายกลจะรู้สึกร้อนเร่า ลมหายใจปั่นป่วน จิตใจวอกแวกหวั่นไหว การหมุนเวียนพลังปราณสะดุดติดขัด...

มันกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัวอีกครั้ง ทันใดนั้น เหตุพลิกผันพลันอุบัติขึ้น จั่วม่อดวงตาเบิกกว้างจนแทบฉีกขาด

ไอน้ำร้อนจู่ๆ ก็เลือนหายไป ความงามที่เคยลับล่อรำไร กลับกลายเป็นกระจ่างจ้าต่อสายตา ทั้งวงหน้างามบาดใจ เรือนร่างที่ประกอบด้วยเส้นโค้งเส้นเว้าอันสมบูรณ์แบบ ผิวขาวผ่องเนียนลื่นดุจกระเบื้องเคลือบ และ...

แรงกระแทกที่ไม่มีสิ่งใดเทียบจู่โจมจั่วม่ออย่างฉับพลัน ราวกับกระแสสายฟ้าฟาดใส่ไม่ขาดสาย ลมหายใจมันขาดห้วง หัวใจหยุดเต้น นิ่งสนิทลงพร้อมกัน

นี่คือการโจมตีถึงตาย...

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น โฉมสะคราญทุกนางนิ่งค้างอย่างกะทันหัน ราวกับว่าพวกนางตกอยู่ใต้พลานุภาพของเวทวิชาสะกดตรึง จากนั้นพวกนางพลันแก่ตัว เหี่ยวแห้งลงอย่างรวดเร็วจนมองเห็นชัดเจนด้วยตาเปล่า ผิวพรรณอันผ่องใสเย้ายวนสูญเสียประกาย ความสะพรั่งเต่งตึงกลับกลายเป็นยับย่นดุจเปลือกไม้แห้ง รูปโฉมอันสะคราญล้ำของพวกนางอับเฉาไปอย่างรวดเร็ว สูญเสียความมีชีวิตชีวาไปจนหมดสิ้น

ผิวหนังผุพัง เน่าเปื่อย เผยให้เห็นกระดูกขาวที่อยู่ภายใน

เพียงชั่วลัดนิ้วมือเดียว สตรีโฉมงามกลุ่มหนึ่งกลับกลายเป็นกองโครงกระดูกผุพังกองหนึ่ง

ในอกปั่นป่วนมวนท้อง จั่วม่อรู้สึกคล้ายกินแมลงวันนับไม่ถ้วน อยากขย้อนให้หมดไส้หมดพุง! ความพลิกผันของเหตุการณ์นี้สุดจะรับไว้ได้ทัน ทั้งร่างมันราวกับโลหิตไหลพุ่งย้อนกลับ แทบกระอักเลือดออกมา

กระบวนท่าไม้ตายอันอำมหิตกระไรเช่นนี้...

จั่วม่อแตกตื่นสุดระงับ ผู้ที่สร้างค่ายกลเขาวงกตนี้น่าพรั่นพรึงอย่างแท้จริง! มันไม่ได้รู้สึกถึงพลังปราณเลยแม้แต่น้อย นี่เป็นการโจมตีโดยไร้ร่องรอยอย่างสิ้นเชิง ในเวลานี้เอง หูของมันได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนและเร่งร้อน ทันใดนั้นภาพเบื้องหน้าพลันบิดเบี้ยว ราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังสูบกลืนทั้งฉากอย่างรุนแรง

โฉมสะคราญ โครงกระดูก กระดานหมากรุกขาวดำ ทั้งหมดหายวับไปกับตา

จากนั้นมันก็เห็นผูเยา ผูเยาอ้าปากกว้าง ควันกลุ่มใหญ่ถูกดูดเข้าไปในปาก สภาพของผูเยาดูสุขสบายและพออกพอใจ ผูเยาฟื้นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด? เป็นมันใช่หรือไม่ที่ทำลายค่ายกลเขาวงกตเมื่อสักครู่?

พอสูบกลืนควันสายนั้นจนหมด ผูเยาปิดปาก หันกลับมามองจั่วม่อ กล่าวลอยๆ “เจ้ามีเลือดกำเดาไหล”

จั่วม่ออึ้งไปวูบหนึ่ง รีบยกมือแตะจมูก เปื้อนเลือดจริงๆ ด้วย!

“ฮ่าฮ่าฮาๆๆๆๆๆ...” ผูเยาหัวร่องอหาย ขณะมองดูจั่วม่ออย่างมีความหมาย จั่วม่อกลับงงงวยอย่างสิ้นเชิง ไม่เข้าใจอะไรแม้แต่น้อย

เลือดออกที่จมูก พิสูจน์ให้เห็นว่าค่ายกลเขาวงกตของอีกฝ่ายทรงพลังอย่างแท้จริง มันจึงได้รับบาดเจ็บและเสียเลือดโดยไม่ทันได้รู้ตัว ...แต่ผูเยาหัวร่ออันใด?

จั่วม่อรู้สึกว่าเสียงหัวร่อของผูเยาแปลกพิกลอยู่บ้าง แต่ไม่ทราบว่าแปลกที่ใด จนกระทั่งถึงตอนนี้ ในอกของมันยังรู้สึกอึดอัดขัดข้องอย่างบอกไม่ถูก ท่าไม้ตายที่โจมตีครั้งสุดท้ายนั่น พลานุภาพน่าอัศจรรย์ยิ่ง ในใจมันยังรู้สึกสะอิดสะเอียนไม่คลาย

ผูเยาในที่สุดก็เลิกหัวร่ออย่างยากลำบาก พอเหลือบมองไปทางจั่วม่อ ก็เริ่มหัวร่อคิกคักอีกครั้ง จากนั้นกวาดตาผ่านกระดาษสีชมพูในมือจั่วม่อ รีบคว้าเอาไปยัดใส่ปาก เคี้ยวสองสามคำแล้วกลืนลงไป สีหน้าแสดงความพึงพอใจออกมาอีกรอบ

“เจ้า...เจ้ากินกระดาษ?” จั่วม่อชี้หน้าผูเยา ถามด้วยท่าทางไม่อยากจะเชื่อ

“ปราณหยินบริสุทธิ์ถึงเพียงนี้ ทิ้งไว้เปล่าๆ ก็น่าเสียดายแย่” ผูเยาแลบลิ้นสีแดงเลือดออกมาเลียริมฝีปาก ยังคงหิวกระหายอยู่

“เจ้าตื่นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด?” จั่วม่อถามอย่างกังขา

“เมื่อตอนที่ค่ายกลเขาวงกตนี้เริ่มทำงาน” ผูเยาหัวร่อคิกคัก อย่างไรก็ตาม จั่วม่อรู้สึกว่าสายตาที่อีกฝ่ายมองมันคล้ายจะแปลกประหลาดจริงๆ

“เจ้าหายดีแล้วหรือไม่?” จั่วม่อยังคงตัดสินใจแสดงความห่วงใยต่อผูเยาบ้าง

“ไม่ง่ายขนาดนั้น” ผูเยาบิดเอวอย่างเกียจคร้าน กล่าวเนิบนาบว่า “ครั้งนี้บาดเจ็บหนักเกินไป จะให้ทุเลาหายดี ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” ดูจากสีหน้าท่าทางของมัน ผูเยาคล้ายไม่กังวลสนใจกับอาการบาดเจ็บภายในของมันสักเท่าใด

จั่วม่อรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะดีกว่าที่มันคาดคิด หวนนึกถึงโฉมสะคราญเหล่านั้น รีบถามผูเยาอย่างใคร่รู้ “ค่ายกลเขาวงกตเมื่อครู่คือเรื่องราวใด? ร้ายกาจมาก! ข้าถึงกับได้รับบาดเจ็บโดยไม่ทันรู้ตัว!”

“ฮ่าฮ่าฮ่าๆๆๆๆ...” ไม่ถามยังพอว่า แต่เมื่อถามออกมา ผูเยาไม่อาจทานทนได้อีกต่อไป สองมือกุมท้อง แหงนหน้าหัวร่องอหาย หัวร่อจนทรุดลงไปหัวร่อกับพื้น

จั่วม่อสีหน้าว่างเปล่า มันไม่ทราบว่าไฉนผูเยามีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนี้

ค่ายกลเขาวงกตนี้ร้ายกาจจริงๆ นะ...

 

สถานที่อีกแห่งหนึ่ง ห่างไกลจากอาณาจักรนภาจันทร์

“อืมม์ ไฉนไม่มีการตอบสนอง มันไม่ถูกความงามล่อลวงจริงๆ? ฮิฮิ หรือว่าจะยอมจำนนแล้ว?”

หญิงสาวนางหนึ่งเอามือเท้าคาง พึมพำกับตัวเอง

ผ่านไปครู่ใหญ่ ยังคงไม่มีการเคลื่อนไหวใด วงหน้าสวยซึ้งดูคล้ายกังขาระคนสับสน

“นี่ไม่มีเหตุผล ตราบใดที่มันไม่ใช่จอมเด็ดดมบุปผา* ไม่ควรต้านทานได้! หรือมันเป็นผู้ช่ำชองด้านนี้จริงๆ? ก็ดูไม่คล้ายเท่าใดนี่นา! หรือว่าข้ามองผิดพลาด? เหอะ แม่นางผู้นี้เกลียดบุรุษประเภทนี้ที่สุด!”

(*หมายถึงเพลย์บอยจอมเจ้าชู้)

นางไม่ล่วงรู้เลย ว่าค่ายกลเขาวงกตที่นางสร้างขึ้นถูกผูเยาดัดแปลงไปแล้ว และผลกระทบของมันเปลี่ยนจากสุดปลายด้านหนึ่ง ไปยังสุดปลายอีกด้านหนึ่งโดยสิ้นเชิง

นางรู้สึกไม่ค่อยพึงใจนัก

 

ที่ลานน้อยลมตะวันตก

“เจ้ารู้จักสตรีหรือไม่?” ผูเยาถามอย่างจริงจัง

“แน่นอน” จั่วม่อมองผูเยาด้วยสายตาแปลกๆ คำถามนี้ทั้งโง่เง่าทั้งปัญญาอ่อน ไม่ทราบสมองผูเยาได้รับบาดเจ็บหรือไม่? ไฉนความคิดของมันดูสับสนไม่ค่อยชัดเจนเลย? จั่วม่อเตือนความจำผูเยาอย่างปรารถนาดี “ศิษย์พี่หญิงหลี่อิงฟ่ง เสี่ยวกั่ว ซือฟู่ พวกนางล้วนเป็นสตรี”

เสร็จกัน เสร็จกัน ผูเยาเดิมทีก็เป็นวัตถุโบราณเก่าแก่อายุสามพันปี แต่อย่างน้อยมันยังค่อนข้างปกติ แต่เวลานี้ สมองของมันคล้ายได้รับบาดเจ็บและกลายเป็นปัญญาอ่อนไป จั่วม่อทอดตามองผูเยาอย่างเห็นอกเห็นใจอยู่บ้าง น่าเวทนายิ่งนัก จากอสูรฟ้ากลายเป็นอสูรโง่!

เห็นสายตาของจั่วม่อ ผูเยาหัวร่อคิกคัก “แล้วเจ้าเคยได้ใกล้ชิดกับสตรีหรือไม่?”

จั่วม่อยิ่งมองผูเยาด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจมากกว่าเดิม “ข้าสนิทสนมกับพวกนางทุกคน”

ผูเยาเกือบสำลัก อาการหัวร่อคิกคักชะงักลงอย่างกะทันหัน มันพลันพบว่าเรื่องนี้ยากที่จะอธิบายให้จั่วม่อเข้าใจ

“แล้วเวลาที่เจ้ามองพวกนาง ในใจเจ้าเคยเกิดความคิดแปลกๆ บ้างหรือไม่?” ผูเยายังลองพยายามครั้งสุดท้าย

“เอ่อ ความคิดแปลกๆ หรือ?” จั่วม่อดิ้นรนเล็กน้อย ยังคงพยักหน้า “มีสิ”

“เจ้าคิดบางอย่างจริงๆ!” กระทั่งผูเยายังรู้สึกตื่นเต้น มันถามนำต่อไป “ไม่เลว ไม่เลว ความคิดอันใด?”

“ขายเม็ดยา” จั่วม่อตอบตามตรงอย่างเหนียมอาย

ผูเยาถึงกับยืนเซ่อเป็นไก่ไม้*

จั่วม่อนับนิ้วพลางไล่ว่า “แต่น่าเสียดาย เสี่ยวกั่วตอนนี้ยังยากจนมาก ส่วนซือฟู่ นางคงไม่ซื้อเม็ดยาที่ข้าทำกระมัง โดยทั่วไปมีแต่ศิษย์พี่หญิงหลี่อิงฟ่งที่จะซื้อ อ้อ แต่ศิษย์น้องหญิงสวี่ฉิงก็ซื้อด้วย ใช่แล้ว หลังจากผ่านไปสักระยะ ข้าจะนำเสนอเม็ดยาชุ่มชื้นให้แก่พวกนางดู และยังมีศิษย์พี่หญิงซวีอีเซี่ยอีกด้วย อืม ห่าวหมิ่นแม้จะย่ำแย่ไปบ้าง แต่ถ้ามีจิงสือข้าก็ไม่ว่าอะไร ... ในอนาคตข้าจะหลอมกลั่นเม็ดยามากมายหลากหลายกว่านี้อีก ม้วนหยกของผู้อาวุโสเว่ยหนานกล่าวว่าสตรีเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ดีที่สุดสำหรับการขายเม็ดยา...”

ผูเยากระอักเลือดเป็นฟูฝอย ทรุดลงกับพื้น หลังจากนั้นครู่ใหญ่ แขนขาของมันกรีดวาดสะเปะสะปะ พยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้น กล่าวอย่างไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ “เจ้าไม่เห็นสตรีเปลือยกายเหล่านั้นหรือไร? เจ้าไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ?”

หากก่อนหน้านี้ จั่วม่อมองผูเยาด้วยสายตาสำหรับมองอสูรโง่ เช่นนั้นตอนนี้สายตาของจั่วม่อมองผูเยา เหมือนมองอสูรปัญญาอ่อนตัวหนึ่ง เต็มไปด้วยความสงสารอย่างล้นเหลือ มันบอกว่า “ผูเยา นั่นเป็นแค่ค่ายกล!”

พรูด! พรูด! ผูเยาทรุดคุกเข่าอีกครั้ง เลือดพ่นออกจากปากประดุจน้ำพุ

น่าเวทนาจริงๆ!

จั่วม่อมองผูเยาอย่างเห็นอกเห็นใจ ดูท่าจะบาดเจ็บหนักมาก

อย่างไรก็ตาม จั่วม่อไม่ได้มีเวลาเห็นอกเห็นใจผูเยานานนัก ท่านเจ้าสำนักกับเหล่าผู้อาวุโสทั้งหมด ในที่สุดก็กลับมายังภูเขา เมื่อจั่วม่อเห็นความเหนื่อยล้าอย่างลึกซึ้งในสีหน้าของเหล่าผู้อาวุโส มันสำเหนียกได้ว่าไม่สมควรกล่าวอันใด ท่านเจ้าสำนักก็ไม่กล่าววาจาแม้แต่คำเดียว เพียงโบกมือเป็นสัญญาณให้เหล่าศิษย์ออกไป

“เหตุการณ์คราวนี้ใหญ่โตเกินไป” เผยเหยียนหรานถอนหายใจลึก “อาณาจักรนภาจันทร์เกรงว่าจะไม่สงบอีกแล้ว”

อีกสามคนเงียบกริบ ครู่หนึ่ง หยานเล่อค่อยกล่าวด้วยใบหน้าวิตกกังวล “เราต้องวางแผนล่วงหน้า เหวยเสิ้งพรสวรรค์เด่นล้ำ ยากจะพบพานในรอบร้อยปี เราต้องหาทางให้มันบรรลุด่านจินตันโดยเร็วที่สุด มิเช่นนั้น...”

ทุกผู้คนล้วนเข้าใจสิ่งที่มันไม่ได้กล่าวออกมา อัจฉริยะผู้หนึ่ง ไม่ว่าจะมีพรสวรรค์สักเท่าใด ก่อนที่พวกมันจะเติบโตเต็มที่ พวกมันยังคงเปราะบางยิ่ง การจะสังหารซิวเจ่อด่านจู้จีที่พิเศษเหนือผู้ใด เพียงต้องการซิวเจ่อด่านหนิงม่ายระดับทั่วไปสักคนเท่านั้น ดังนั้นอัจฉริยะเหล่านี้ย่อมจำเป็นต้องมียันต์เวท ต้องมียุทธภัณฑ์เวท...

“อนิจจา เดิมทีข้าต้องการให้เหวยเสิ้งวางรากฐานที่แข็งแกร่งมั่นคง นึกไม่ถึง เวลาไม่คอยท่าผู้ใด!” เผยเหยียนหรานถอนหายใจหนักหน่วง มันขบคิดครู่หนึ่ง ค่อยกล่าวอย่างเฉียบขาดว่า “ในเวลาที่ไม่ปกติ เราก็จำเป็นต้องกระทำการอย่างไม่ปกติเช่นกัน พวกเจ้าทุกคน จงรวบรวมเรี่ยวแรงอำนาจทั้งหมดเพื่อช่วยเหลือเหวยเสิ้ง”

ซินหยานกับหยานเล่อพยักหน้ารับโดยพร้อมเพรียง สือฟ่งหรงลังเลวูบหนึ่ง ก่อนจะถาม “แล้วจั่วม่อเล่า?”

เผยเหยียนหรานกล่าวอย่างอับจนปัญญา “จั่วม่อเองก็พรสวรรค์โดดเด่น หากเป็นสำนักอื่น ย่อมต้องประคบประหงมเลี้ยงดูมัน แต่ด้วยทรัพย์สินของเรา ศิษย์น้องหญิง เจ้าเองก็ทราบดี ต่อให้เรารวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามี ทุ่มเทลงไปกับการฝึกอบรม ยังแทบไม่เพียงพอจะฝึกอบรมเหวยเสิ้งแค่คนเดียว”

“ใช่แล้ว! ศิษย์น้องหญิง ร้านค้าของข้าก็มีเพียงแค่นี้เท่านั้น กระทั่งเหวยเสิ้งคนเดียวข้ายังไม่ทราบเลยว่าจะเพียงพอหรือไม่” หยานเล่อฝืนยิ้มอย่างขมขื่น

สือฟ่งหรงทราบดีว่าสิ่งที่ศิษย์พี่กล่าวมาเป็นความจริงที่เถียงไม่ได้ สำนักกระบี่สุญตาไม่ใช่สำนักใหญ่ ไม่ได้มั่งคั่ง ยอดฝีมือวัยเยาว์ผู้หนึ่งสร้างขึ้นมาอย่างไรเล่า? ย่อมสร้างด้วยจิงสือและโอสถปราณนับไม่ถ้วน! เหวยเสิ้งเป็นผู้สืบทอดอำนาจของสำนัก สือฟ่งหรงย่อมทราบกระจ่างแก่ใจ

แต่จะอย่างไร จั่วม่อก็เป็นศิษย์ของนาง นางกัดฟัน เสนอว่า “การฝึกอบรมเหวยเสิ้งข้าไม่มีข้อคัดค้าน แต่เนื่องจากจั่วม่อจะไม่มีส่วนแบ่งทรัพยากร เราสมควรชดเชยให้แก่มันอย่างเหมาะสมในด้านอื่นๆ และหากข้าต้องปิดด่านหลอมกลั่นเม็ดยาให้แก่เหวยเสิ้ง ต่อไปข้าจะไม่มีเวลาสอนสั่งมันอีก ได้แต่ปล่อยให้มันดิ้นรนไปตามทางของตัวเอง” กล่าวถึงตรงนี้ นางโศกเศร้าอยู่บ้าง จากนั้นเชิดหน้าขึ้น “ข้ามีเพียงคำขอเดียว นอกเหนือจากม้วนหยกพิเศษบางม้วนแล้ว ม้วนหยกที่เหลือของสำนักสมควรเปิดกว้างให้แก่มัน”

“นี่...” เผยเหยียนหรานลังเลไม่น้อย คำขอของสือฟ่งหรงเท่ากับละเมิดกฎของสำนักโดยตรง แต่เมื่อเห็นความมุ่งมั่นอันเด็ดเดี่ยวบนใบหน้านาง มันยังคงพยักหน้า “ได้ ตกลงตามนั้น” การฝึกอบรมเหวยเสิ้ง ส่วนที่สำคัญที่สุดคือโอสถปราณ ในเรื่องนี้บทบาทของสือฟ่งหรงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

เผยเหยียนหรานก็สมกับเป็นชนชั้นเจ้าสำนักผู้หนึ่ง มันขบคิดชั่วครู่ จากนั้นยืนขึ้นกล่าวว่า “ในเมื่อสถานการณ์ย่ำแย่ถึงเพียงนี้ ม้วนหยกถ้าเพียงกองอยู่ในหอคัมภีร์ก็เป็นแค่เพียงขยะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ม้วนหยกทั้งหมดของสำนักเราจะเปิดกว้างสำหรับศิษย์ฝ่ายในทุกคน”

เช่นนั้นเอง ตลอดทั้งสำนักกระบี่สุญตาก็สั่นสะเทือน!

 

 (*นิ่งงันเป็นไก่ไม้ เป็นสำนวนหมายถึง เหม่อค้างด้วยความตกตะลึงหรือตื่นตระหนกจนแข็งทื่อราวกับไม้สลักรูปไก่)

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด