ตอนที่แล้วบทที่ 87 ท่าไม้ตายปะทะท่าไม้ตาย  
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 89 อสูรโง่  

บทที่ 88 ผีดิบจอมลอกคราบ


 

ทุกผู้คนยืนเหม่อมองอย่างโง่งม สมองขาวว่างเปล่า

ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องชัยชนะหรือพ่ายแพ้ แต่สิ่งที่ผู้คนคาดหวังไว้ คือการประมืออย่างดุเดือด แลกเปลี่ยนกระบวนท่าอย่างรุนแรงกลับไปกลับมา สถานการณ์ตึงเครียด และสุดท้ายจบลงด้วยชัยชนะอันยากลำบากของฝ่ายหนึ่ง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ กลับเป็นการใช้หนึ่งกระบวนท่าสยบสามคนพร้อมกัน! ผลลัพธ์เช่นนี้ ทำให้ผู้คนอ้าปากค้างจนคางแทบแตะพื้น แม้แต่เหล่าศิษย์สำนักสุญตาที่เชื่อมั่นในตัวจั่วม่ออย่างเต็มที่ ยังถึงกับสูญเสียความสามารถในการกล่าววาจาไป

เสี่ยวกั่วก็จ้องมองจั่วม่ออย่างงุนงงสงสัย

ศิษย์พี่ใช้วิธีอันใดในการประเมินสิ่งของที่จะปล้นจากร่างของผู้อื่น...

โอ้ ไฉนนางกล่าวว่า ’ปล้น’? ไม่ใช่ ไม่ใช่ ศิษย์พี่กำลังริบสินสงครามของมันต่างหาก! เสี่ยวกั่วผู้ไร้เดียงสา ปกป้องศิษย์พี่ของนางโดยไม่รู้ตัว

“นี่ให้เจ้า” จั่วม่อโยนปิ่นไม้ท้อพันปีที่หยิบมาจากศีรษะของเถาซูเอ๋อร์ให้เสี่ยวกั่ว

เสี่ยวกั่วรับไว้ตามสัญชาตญาณ เสียงสูดลมหายใจอย่างหนาวเหน็บพลันดังระงมในหมู่ศิษย์สตรี ดวงตาของพวกนางแดงฉานแทบลุกเป็นไฟ พากันถลึงตาจ้องมองปิ่นปักผมไม้ท้อพันปีในมือเสี่ยวกั่ว ราวกับฝูงกระต่ายหิวโหยที่จ้องมองหัวผักกาดที่มีอยู่ชิ้นเดียว

“น่าเสียดายที่เกราะปราณของนางแตกหักเสียหาย มิเช่นนั้น ถอดมาให้เจ้าใส่น่าจะดี” จั่วม่อรำพึงอย่างเศร้าเสียดาย ด้วยตรรกะของมัน ย่อมไม่เคยคิดเลยว่าไม่เหมาะสมมากเพียงใดที่จะลอกคราบซิวเจ่อสตรีต่อหน้าสาธารณะชน

อึดใจต่อมา เสี่ยวกั่วค่อยรู้สึกตัว ก้มมองปิ่นไม้ท้อพันปีในมือ มือนางพลันกระตุกขึ้นอย่างรุนแรง ราวกับว่าปิ่นในมือปล่อยสายฟ้าใส่มือนาง แทบจะโยนมันทิ้งไป “ศิษย์พี่ นี่มันมีค่ามากเกินไป!”

แม้ว่านางอาจไม่ทราบว่าปิ่นไม้นี้ดีเพียงใด แต่ถือไว้ในมือ นางรู้สึกได้ถึงความพิเศษของมัน ปิ่นปักผมไม้ท้อนี้มีคุณค่ามากเกินไป!

สิ่งของที่ดีถึงเพียงนี้ ศิษย์พี่สมควรเก็บไว้เองสิ! นางคิด

จั่วม่อตากวาดมองไปทั่วร่างสามคนที่สิ้นสติ ปากกล่าวอย่างหมดความอดทนว่า “ข้าให้ เจ้าก็รับไป พิรี้พิไรอันใด”.

สิ่งที่เสี่ยวกั่วหวาดกลัวมากที่สุดคือความอารมณ์ร้อนของจั่วม่อนี่เอง นางพลันกลายเป็นขลาดเขลา ไม่กล้าพูดอะไรอีก

จั่วม่อควบคุมแรงกระตุ้นในใจอย่างยากลำบาก เพื่อไม่ให้เผลอปล้นทุกสิ่งทุกอย่างจากสามคนที่ยังไม่รู้สึกตัว มันหันหน้าไปมองเอี้ยนหมิงจื่อกับหูซาน

“พวกเจ้าต้องการลงไม้ลงมือด้วยหรือไม่?” น้ำเสียงมันอบอุ่นเป็นกันเองประดุจหมาป่าที่ปลอมเป็นท่านยาย*

(*น่าจะหมายถึงเรื่องหนูน้อยหมวกแดง)

เอี้ยนหมิงจื่อกับหูซานตัวสั่นกึกๆ ส่ายศีรษะรัวๆ เหมือนกลองป๋องแป๋ง

“ไม่ต่อยตีแล้วจริงๆ?”

ทั้งสองคนพยักหน้าอย่างรวดเร็วราวกับไก่จิกข้าวเปลือก ไขว้แขนเป็นรูปกากบาท พลางถอยหลังกรูดตามสัญชาตญาณ ในสายตาของพวกมัน จั่วม่อได้กลายเป็นปีศาจที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดไปแล้ว

“น่าผิดหวังจริงๆ” เมื่อใบหน้าไร้อารมณ์ของจั่วม่อกล่าวประโยคนี้ คำพูดของมันเต็มไปด้วยความเศร้าเสียดาย เอี้ยนหมิงจื่อกับหูซานในใจสะท้านสั่นไหวอย่างช่วยไม่ได้ จั่วม่อโบกมือไล่ “เช่นนั้นก็พาพวกมันกลับไป ต่อไปก็อย่าได้ก่อความรำคาญให้ข้าอีก”

ราวกับได้ละเว้นโทษประหาร พวกมันสบตากันวูบ รีบช่วยกันแบกสามคนที่หมดสติขึ้นบ่า แล้วโกยแน่บไม่เหลียวหลัง เพียงแค้นที่บิดามารดาไม่ให้พวกมันเกิดมามีขามากกว่านี้อีกสองข้าง

พอเงาร่างของทั้งคู่ลับสายตา จั่วม่อไม่อาจฝืนทนได้อีกต่อไป ต้องกระแทกนั่งลงบนพื้น เสี่ยวกั่วเห็นเช่นนั้นพลันตกใจ รีบวิ่งเข้ามาถามอย่างตระหนก “ศิษย์พี่ ท่านได้รับบาดเจ็บหรือ?”

เห็นใบหน้าผลผิงกว่อเต็มไปด้วยความห่วงกังวล จั่วม่อในใจรู้สึกอบอุ่น

“อ้อ ไม่มีใด แค่เหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง” จั่วม่อโบกมือ แสร้งทำเป็นอวดดี จากนั้นหยิบโอสถปราณออกมาจากอกเสื้อ โยนเข้าไปในปาก ไขว้ขาท่าดอกบัว เริ่มดิ่งลงสู่ฌาน

 

เอี้ยนหมิงจือกับหูซาน พอมาไกลจนไม่เห็นภูเขาสุญตาอีกต่อไป ค่อยหยุดลง พากันหอบหายใจอย่างหนักหน่วง

“เจ้าผู้นั้นยังเป็นมนุษย์อีกหรือไม่?” เอี้ยนหมิงจื่อกล่าวเสียงหอบ “นี่แตกต่างกับข่าวที่เราได้ยินมามากเกินไป”

“โชคดีที่เราวิ่งเร็วพอ” หูซานใบหน้าโล่งใจเหมือนเพิ่งรอดชีวิต

เอี้ยนหมิงจื่อยังหวาดหวั่นไม่คลาย “แน่นอน! เจ้าไม่เห็นสายมันที่มองพวกเราหรือ? มันต้องการลอกคราบเราจนเปลือยเปล่า!”

พวกมันอดนึกถึงดวงตาของจั่วม่อไม่ได้ ราวกับว่าพวกมันไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าอยู่กลางหิมะ สั่นสะท้านขึ้นมาอีกครั้ง โพล่งออกมาพร้อมกัน “น่ากลัวที่สุด!”

หลังจากนั้นสักครู่ ทั้งสองคนค่อยๆ เดินออกมาจากเงื้อมเงาทะมึนของจั่วม่อ เอี้ยนหมิงจื่อชี้ไปยังสามคนที่ยังนอนไม่ได้สติ “ทำอย่างไรกับพวกมันดี?”

หูซานขบคิดว่าจะขนพวกมันกลับไปยังพรรคอย่างไร จากนั้นกัดฟันกล่าวว่า “ปลุกพวกมันขึ้นมาเถอะ”

หลังจากนั้นสักครู่ เสียงกรีดร้องเศร้าโศกอย่างสุดแสนสามเสียงแผ่กระจายไปไกล

“จั่วม่อ ข้าไม่ขออยู่ร่วมฟ้าเดียวกันกับเจ้า!”

“เอารองเท้าข้าคืนมา...”

“มารดาจะฆ่าเจ้าให้ได้!”

 

จั่วม่อภาคภูมิใจมาก จากศีรษะจรดเท้า มันเปลี่ยนเครื่องแต่งกายอย่างสมบูรณ์

ในมือถือกระบี่หยดน้ำ ที่เอวแขวนป้ายหยกรวมปราณธารไฟ* นิ้วสวมใส่แหวนวารีฟ้าลึกลับ สองเท้าสวมใส่รองเท้าท่องลม โอ่อ่าหรูหราถึงที่สุด

(*อันที่ได้จากหูซาน ก่อนนี้แปลไว้ว่าจี้หยก ทำไปทำมาท่าจะเป็นป้ายหยกแขวนเอวมากกว่า ขอแก้ตั้งแต่ตรงนี้นะครับ)

เครื่องแต่งกายชุดใหม่ของมันนี้ กระทั่งซวีอีเซี่ยซึ่งเล่ากันว่าอยู่ในตระกูลร่ำรวยที่สุดในสำนัก เห็นทีแรกนางยังถึงกับตะลึงอ้าปากค้าง นางสงสัยอยู่ในใจ ศิษย์น้องจั่วม่อใช่ไปปล้นร้านยุทภัณฑ์เวทมาหรือไม่?

ภาคภูมิใจก็ส่วนภาคภูมิใจ จั่วม่อยังคงต้องใช้ชีวิต มันจำเป็นต้องใช้เวลาในการดูแลท้องทุ่งปราณที่มันเช่าไว้ นอกจากนั้นยังไม่อาจละเลยการบำเพ็ญเพียรและฝึกฝีมือประจำวัน เวลาหนึ่งวันของมันเต็มจนแทบล้น อย่างไรก็ตาม เมื่อผ่านไปอีกสองสามวัน ยังไม่มีผู้ใดมาท้าประลอง จั่วม่อรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่ง

ในปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเพาะปลูกพืชปราณหรือหลอมกลั่นโอสถ ไม่มีสิ่งใดทำกำไรรวดเร็วเท่าการปล้นสะดม นี่คือการค้าที่ไม่มีต้นทุน กำไรดีงาม จับเสือมือเปล่า! จั่วม่อสำนึกเสียใจอยู่บ้าง หากทราบว่าจะเป็นเช่นนี้ วันนั้นมันไม่สมควรทุบตีพวกนั้นจนสลบหมดทุกคนเลย ทำกำไรเล็กน้อยแต่ต่อเนื่องมั่นคงย่อมดีที่สุด!

มันไม่ล่วงรู้เลยว่า เนื่องจากผลงานอันแข็งแกร่งและเหี้ยมโหดของมัน ตลอดทั้งพรรคอัจฉริยะปราณล้วนได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่าทางของมันตอนที่ ‘ริบ‘ สินสงคราม ภายใต้ความพยายามบอกเล่าอย่างแข็งขันของเอี้ยนหมิงจื่อกับหูซาน ทั่วทั้งพรรคอัจฉริยะปราณล้วนทราบกระจ่าง

ฉายานาม ‘ผีดิบจอมลอกคราบ’ ดังกระฉ่อนไปทั่ว

ผีดิบจอมลอกคราบ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่เหล่านักผลาญจิงสือไม่อยากพบเจอมากที่สุด เหล่านักผลาญจิงสือ ปกติอาศัยยุทธภัณฑ์เวทราคาแพงและจิงสือนับไม่ถ้วนในการต่อสู้ อย่างไรก็ตาม หากพวกมันไปตอแยผีดิบจอมลอกคราบ นี่ไม่เท่ากับยื่นจิงสือให้ถึงมืออีกฝ่ายหรอกหรือ? หากพวกมันพกพายุทธภัณฑ์เวทชั้นยอดไปท้าประลอง แล้วพ่ายแพ้ เช่นนั้นก็ยากจะรักษายุทธภัณฑ์เวทเหล่านั้นไว้ได้ ตามคำอธิบายรายละเอียดจากผู้เชี่ยวชาญยุทธภัณฑ์เวทเอี้ยนหมิงจื่อ และพิจารณาจากยุทธภัณฑ์เวทที่คนทั้งห้าสูญเสียไป สามารถพิสูจน์ได้ชัดเจนว่าเจ้าผีดิบจอมลอกคราบผู้นี้สายตาแหลมคมยิ่ง หากพวกมันพ่ายแพ้จริงๆ สิ่งที่พวกมันสูญเสีย แน่นอนว่าจะต้องเป็นยุทธภัณฑ์เวทที่ล้ำค่าที่สุด และราคาแพงที่สุดที่พวกมันมี!

แต่หากจะให้พวกมันสวมขยะไปท้าประลอง โอกาสชนะที่แทบไม่มีอยู่แล้ว ย่อมจะกลายเป็นศูนย์ในทันที นี่ยังจะไปท้าประลองหาอันใดกัน

เหล่าผู้ผลาญจิงสือจอมก่อเรื่องแห่งพรรคอัจฉริยะปราณ ล้วนแล้วแต่เฉลียวฉลาดและนกรู้เป็นที่สุด สุดท้ายย่อมไม่มีผู้ใดกล้าไปตอแย ‘ผีดิบจอมลอกคราบ’ ตัวนั้นอีกเลย

ขุมทรัพย์ที่จั่วม่อเพิ่งจะค้นพบ ก็ลอยห่างออกไปด้วยประการฉะนี้

 

เหล่าผู้อาวุโสของสำนักกระบี่สุญตาไม่มีผู้ใดอยู่ในสำนัก จั่วม่อมีชีวิตสุขสราญบานใจเป็นที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่มีผู้ใดควบคุมการหลอมกลั่นโอสถของมัน

มันจะหลอมกลั่นเม็ดยาอีกาทองคำชุดใหญ่ทุกๆ วัน นี่เป็นแหล่งรายได้ที่มั่นคงมาก อย่างไรก็ตาม มันไม่ต้องการทุ่มเทความพยายามมากเกินไปกับเรื่องนี้ เม็ดยาอีกาทองคำอาจมีประโยชน์ใช้สอย แต่จะอย่างไรยังคงเป็นเพียงโอสถปราณระดับหนึ่ง ทำกำไรได้จำกัด จั่วม่อยามนี้ทั้งร่างพรั่งพร้อมด้วยยุทธภัณฑ์เวทชั้นยอดกลายเป็นนิสัยเสีย มีนัยน์ตาอยู่สูงเหนือศีรษะ มันคิดว่าหากพึ่งพาเฉพาะการหลอมกลั่นเม็ดยาอีกาทองคำ จะต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งปี กว่าจะสามารถซื้อยุทธภัณฑ์เวทที่มันสวมใส่ในตอนนี้ได้

หากเป็นยุทธภัณฑ์เวทระดับสามธรรมดาทั่วไป ย่อมราคาไม่แพงเท่าใด จั่วม่อสามารถจ่ายได้อย่างไม่เดือดร้อน แต่สำหรับสิ่งของชั้นสุดยอดเหล่านี้ ราคาของพวกมันนั้นถึงระดับที่ไม่น่าเชื่อ

คิดไปคิดมา จั่วม่อขุดการทดลองเดิมของมันขึ้นมาอีกครั้ง นั่นคือการใช้แก่นสารดวงอาทิตย์เป็นไฟหลัก ใช้ค่ายกลยันต์เวทไฟหลีเป็นไฟรอง เพื่อสร้างสรรค์โอสถปราณชนิดใหม่

ยกเครื่องการทดลองที่ล้มเหลวตลอดกาลขึ้นมาใหม่ เพื่อจิงสือ

มันจะต้องก่อกำเนิดไฟอีกาทองคำให้จงได้!

ไฟอีกาทองคำเป็นเมล็ดพันธุ์ไฟระดับสี่ หากมันสามารถครอบครอง โอสถปราณระดับต่ำที่มันหลอมกลั่นออกมา ย่อมยกระดับขึ้นตามไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ไฟอีกาทองคำยังเป็นหนึ่งในไฟซึ่งเป็นต้นกำเนิดของเหล่าไฟทั้งหมดบนโลกนี้ มันสามารถผสานรวมกับเมล็ดพันธุ์ไฟอื่นหลากหลายชนิด ในอนาคตหากมันพบพานแหล่งกำเนิดไฟที่ดีกว่า ก็สามารถผสานรวมไฟอีกาทองคำเข้ากับไฟนั้นได้

แน่นอนว่าสำหรับจั่วม่อในเวลานี้ ไฟอีกาทองคำคือไฟที่ดีที่สุดในโลก! ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีโอกาสสูงที่มันจะก่อกำเนิดไฟอีกาทองคำด้วยพลังของตนเอง จะมีสิ่งใดที่ทำให้มันเต็มไปด้วยพลังและจิตวิญญาณการต่อสู้มากไปกว่านี้อีกเล่า?

จั่วม่อรื้อค้นในห้องตำราของซือฟู่ และเริ่มต้นค้นหาพืชหญ้าปราณที่สามารถทนต่อแก่นสารดวงอาทิตย์ รวมถึงฤทธิ์ทางยาอันรุนแรงของสมุนไพรชนิดอื่นได้

ขณะที่จั่วม่อตระเตรียมจะปิดด่านกักตนและมุ่งเน้นต่อเรื่องนี้ กระเรียนกระดาษสีชมพูก็เหินร่อนลงมาจากฟากฟ้า

“นายท่าน แก้ปริศนาคราวก่อนได้แล้วหรือไม่?”

จั่วม่อตบหน้าผากและคร่ำครวญว่าโชคร้ายมาเยือนข้าแล้ว วันนี้มันมัวลุ่มหลงงมงายอยู่กับการหลอมกลั่นโอสถ และโยนเจ้าสิ่งที่เรียกว่าการละเล่นไขปริศนาทิ้งไปทางด้านหลัง ในความอับจนหนทาง มันได้แต่แข็งใจตอบกลับไปว่า “ขอโทษ วันนี้ข้าไม่ว่างเลย”

“นายท่านไม่ได้ให้ความสำคัญกับบ่าว บ่าวเสียใจนัก”

จั่วม่อรู้สึกศีรษะพองโต ภัยคุกคาม นี่เป็นภัยคุกคามอย่างยิ่ง!

“ให้เวลาข้าอีกสองวันได้หรือไม่?” จั่วม่อตัดสินใจว่าภายในสองวันนี้ หากมันไม่รับประทานหรือไม่หลับนอน มันจะต้องไขปริศนาค่ายกลนี้ได้อย่างแน่นอน มันย่อมทราบกระจ่างว่าแม่นางกระเรียนกระดาษผู้นี้ดุร้ายอำมหิตถึงเพียงไหน!

อย่างไรก็ตาม มันยังคงประเมินความดุร้ายอำมหิตของแม่นางกระเรียนกระดาษต่ำเกินไปอีกครั้ง!

เมื่อกระเรียนกระดาษสีชมพูอีกตัวบินมาถึง จั่วม่อคลี่ออกอย่างระมัดระวัง มันเพียงรู้สึกว่าในสายตาพร่าเลือนวูบหนึ่ง สภาพรอบข้างก็แปรเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน

“สตรีที่สมควรตาย!” จั่วม่อสบถอย่างขุ่นแค้น!

นี่ไม่ใช่หนแรกที่มันเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ ทั้งยังไม่ใช่ครั้งแรกที่สตรีบัดซบนี้ใช้อุบายเช่นนี้ ย่อมทราบดีว่าเกิดอันใดขึ้น

“ฮิฮิ นายท่านอย่าได้ตำหนิข้า ผู้ใดใช้ให้ท่านไม่ให้ความสำคัญกับผู้อื่น? นายท่านไม่อยากเล่นกับบ่าว เช่นนั้นบ่าวก็จะสนุกสนานตามวิธีของบ่าวเอง ฮิฮิ นี่เป็นเขาวงกตที่บ่าวเรียนรู้ตอนอายุเจ็ดขวบ สนุกมากเลย นายท่านค่อยๆ เพลิดเพลินกับมันล่ะ”

สุ้มเสียงหวานเสนาะเจื้อยแจ้วขึ้นกลางอากาศ แฝงเร้นไว้ด้วยกลิ่นอายเกียจคร้านเฉื่อยชาชนิดหนึ่ง

“สตรีน่าตาย!” จั่วม่อเค้นเสียงลอดไรฟัน หากอีกฝ่ายอยู่เบื้องหน้ามัน มันแน่นอนว่าจะโถมเข้าฟันด้วยกระบี่หยดน้ำ สับร่างนางไปทำปุ๋ย สตรีน่าเบื่อ น่ารังเกียจ ไร้สติ!

การก่นด่าของมันไม่ได้รับการตอบสนองใดๆ จั่วม่อค่อยๆ สงบไฟโทสะที่เผาไหม้ในใจ

เขาวงกต?

มันกวาดตามองรอบข้าง ลึกลับพิสดารไปหมด รู้สึกลนลานอยู่บ้าง เห็นใต้ฝ่าเท้าคล้ายกระดานหมากรุกไร้ที่สิ้นสุด เป็นช่องตารางสี่เหลี่ยมจัตุรัสนับไม่ถ้วน แต่ละช่องตารางกว้างยาวด้านละหนึ่งฉื่อ มีทั้งสีขาวและสีดำสลับกันไปเรื่อยๆ แผ่กว้างทอดยาวไปถึงขอบฟ้า

มายาภาพ นี่เป็นมายาภาพ! จั่วม่อบอกตัวเองอย่างสิ้นหวัง

หากผู้อื่นกล่าวว่านี่คือค่ายกลเขาวงกต เช่นนั้นนี่ก็ต้องเป็นมายาภาพ

แต่ทั้งหมดนี้ดูเหมือนจริงอย่างยิ่ง จั่วม่อสามารถรู้สึกได้กระทั่งความแข็งกระด้างของหินกระเบื้องใต้ฝ่าเท้า สถานที่แห่งนี้ว่างเปล่าอย่างสิ้นเชิง ไม่มีสิ่งใดเลย จั่วม่อราวกับยืนอยู่ในถิ่นทุรกันดารอันกว้างใหญ่ไพศาล โดดเดี่ยวเดียวดายและอับจนหนทาง

แต่โชคยังดี อย่างน้อยไม่มีสิ่งที่เป็นอันตราย จั่วม่อสบายใจขึ้นเล็กน้อย

มันเริ่มครุ่นคิด ทำอย่างไรจะออกจากค่ายกลเขาวงกตนี้ได้ ค่ายกลที่มันล่วงรู้น้อยนิดจนน่าเวทนา ค่ายกลวงกตตรงหน้านี้เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่หนึ่งในสิ่งเหล่านั้น ค่ายกลเขาวงกตที่สตรีบัดซบนั่นเรียนรู้ตอนอายุเจ็ดปี...

จั่วม่อเริ่มขบกรามอีกครั้ง

ทันใดนั้น เมฆหมอกกลุ่มหนึ่งไม่ทราบลอยขึ้นจากที่ใด

แต่เมฆหมอกนี้มาอย่างรวดเร็ว และไปอย่างรวดเร็วยิ่งกว่า

แต่เมื่อหมอกสลายไป จั่วม่อก็เบิ่งตามองฉากเบื้องหน้าอย่างโง่งม

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด