ตอนที่แล้วตอนที่ 006 – แนวทาง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 008 – วางแผน

ตอนที่ 007 – ไม่ใช่กฎระเบียบของฉัน


เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืด ที่ปราสาทนั้นเฉพาะห้องของเจ่าไห่เท่านั้นที่มีแสงไฟจากตะเกียงเวทย์ส่วนบริเวณอื่นนั้นใช้คบเพลิงให้แสงสว่างแทน

ตะเกียงเวทย์นั้นใช้พลังงานจากผลึกเวทย์ซึ่งมีอยู่ในทวีปอาร์ค ซึ่งผลึกเวทย์นั้นแบ่งได้สองชนิด ชนิดแรกนั้นมาจากการทำเหมืองซึ่งคุณภาพก็จะคละกันไป โดยคุณภาพนั้นดูจากพลังเวทย์ที่อยู่ในผลึก ถ้าหากมีมากมันก็จะถูกนำไปใช้เป็นพลังงานแก่อุปกรณ์เวทย์มนตร์ต่างๆ แต่ถ้าไม่ก็อาจถูกนำมาใช้อย่างเช่นการให้แสงสว่าง ซึ่งผลึกเวทย์ชนิดนี้เมื่อพลังหมดก็จะกลายเป็นเพียงหินธรรมดาที่ไร้ค่า

แต่ผลึกเวทย์อีกชนิดนั้น จะได้มาจากสัตว์เวทย์มนตร์ ผลึกเวทย์ชนิดนี้นั้นหาได้ยากเพราะในสัตว์เวทย์มนตร์ 10 ตัวอาจจะมีเพียง 1 ตัวที่มีผลึกเวทย์ แม้ว่าผลึกเวทย์ที่ได้จะมีพลังงานไม่มาก แต่มันก็มีความเสถียรที่มากทำให้นักเวทย์มักจะใช้ผลึกเวทย์ประเภทนี้ แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือมันสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ หลังจากที่ใช้พลังเวทย์จนหมดแล้วหากให้เวลาซึ่งหน่อย ตัวผลึกเวทย์สามารถที่จะดูดพลังธรรมชาติจากโลกมาเก็บแล้วนำกลับมาใช้ได้อีกครั้ง

แต่ไม่ว่าผลึกเวทย์ชนิดไหน พวกมันล้วนมีราคาแพงมหาศาล ซึ่งผลึกเวทย์ที่ได้จากเหมืองจะถูกกว่าที่ได้จากสัตว์เวทย์มนตร์ แต่ราคาก็จัดว่าสูงสำหรับคนธรรมดาทั่วไป

แม้ว่าตระกูลบูดาจะมีฐานะที่ยำแย่ขนาดนี้ แต่กรีนก็ยังซื้อผลึกเวทย์ติดมือมาเล็กน้อย ซึ่งแต่ละอันนั้นมีค่ามหาศาล ฉะนั้นจึงห้ามใช้อย่างเปล่าประโยชน์

ตอนนี้พวกทาสกินอาหารเสร็จแล้วกำลังไปนอนกัน แต่เมอร์รินนั้นเพิ่งทำอาหารเสร็จแล้วสั่งเม็กให้ไปเรียกเจ่าไห่

เจ่าไห่หลับอย่างสงบอย่างไร้กังวล แม้ว่าตอนนี้เขาจะอยู่อีกโลกแต่เขาก็ไม่กังวลกับเรื่องอาหารการกินก็เพราะสเปเทียลฟาร์มที่เขามีอยู่  อีกส่วนนั้นมาจากการที่เมอร์รินใช้เวทย์รักษาในช่วงที่เขาหมดสติทำให้ยังมีเวทย์น้ำหลงเหลืออยู่ในตัวของเขา ซึ่งเวทย์น้ำนั้นช่วยในเรื่องของความผ่อนคลายทำให้เขานั้นคลายกังวลในเรื่องต่างๆจนหลับอย่างสงบแบบนี้

เมื่อเม็กมาถึงห้องเจ่าไห่ก็แอบฟังเสียงในห้อง ซึ่งในห้องนั้นไม่มีเสียงการเคลื่อนไหวใดๆ เม็กจึงเคาะประตู “นายน้อย ถึงเวลาอาหารเย็นแล้วเจ้าค่ะ กรุณาตื่นด้วยเจ้าค่ะ”

แต่ยังคงไม่มีเสียงตอบรับ เม็กจึงเรียกอีกครั้ง แต่ก็ยังเงียบ จนในที่สุดเม็กต้องเข้าไปในห้องอย่างไม่มีทางเลือก

ในห้องนั้น เม็กได้ยินแต่เสียงลมหายใจ เธอค่อยเดินไปที่เตียงของเจ่าไห่ เจ่าไห่นั้นนอนหลับอุตุจนไม่ได้ยินเสียงของเธอแม้แต่น้อย

เม็กถอนหายใจ เธอไม่รู้ว่าเจ่าไห่นั้นงี่เง่าหรือปัญญาอ่อนที่หลับได้แม้แต่สถานการณ์แบบนี้

เม็กยืนอยู่ถัดจากเตียงเจ่าไห่ ผลักเขาเบาๆ “นายน้อยตื่นนอนได้แล้วเจ้าค่ะ ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว”

เจ่าไห่ตื่นขึ้นมาด้วยความมึนงงและพึมพำว่า“นี้กี่โมงแล้วละ”

เม็กรีบกล่าวว่า: “นายน้อย ตอนนี้ 1 ทุ่มแล้วเจ้าค่ะ เชฺิญทานมื้อเย็นที่ห้องอาหารได้แล้วค่ะ”

เจ่าไห่ลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วหันไปทางเม็กที่ยืนอยู่ข้างเตียงก่อนที่เขาจะมองออกไปข้างนอก และพบว่าตอนนี้ท้องฟ้านั้นมืดแล้ว เขาค่อยลุกขึ้นมาก่อน ส่ายหัวเล็กน้อยเพราะความมึนงง หลังจากบิดขึ้เกียจ เขากลับมามองที่เม็กแล้วถามว่า “เม็กวันนี้ วันที่เท่าไหร่แล้ว”

เม็กก้มหัวลง “นายน้อยวันนี้วันที่ 6 ของเดือนเมษายนเจ้าค่ะ”

เจ่าไห่พยักหน้า ก่อนจะนับวัน ตั้งแต่ที่เขาหมดสติปนั้นคือวันที่ 7 กุมพาพันธ์ ปี 1637 ถ้านับไม่ผิด เขานั้นหมดสติไปมากกว่าเดือน แต่การที่เขาสามารถที่จะเคลื่อนไหวได้ปกติขนาดนี้หลังจากที่หมดสตินานนับเดือน ถ้าหากอยู่ในโลกของเขา คงเรียกได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์

แต่เจ่าไห่ไม่ได้ถามเม็กเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะในความทรงจำของอดัมนั้นเวทย์รักษาของนักเวทย์ในทวีปนั้นเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อมาก แม้ว่าเขาจะหมดสติไปเป็นปีก็ไม่ทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้อลีบและสามารถที่จะเคลื่อนไหวร่างกายได้เป็นปกติราวกับว่าแค่งีบหลับไป

เจ่าไห่นั่งอยู่บนเตียงและเม็กกำลังหยิบรองเท้ามาใส่ให้เขา เมื่อเจ่าไห่เห็นก็พูดว่า “เม็ก วางไว้ตรงนั้นแหละ เด๋วฉันใส่เอง”

เม็กกล่าวอย่างตกใจ “นายน้อยมันจะให้ฉันใส่ให้เถอะเจ้าค่ะ มันเป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่นะเจ้าค่ะ”

เจ่าไห่นั้นไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์แบบนี้เลยสั่งให้เม็กหยุด “ไม่เป็นไร ฉันทำของฉันเองได้” เขาคว้ารองเท้าจากมือของเม็กและใส่เอง

เม็กมองที่เจ่าไห่ด้วยความไม่สบายใจ เธอรู้สึกว่าเจ่าไห่นั้นแปลกไปตั้งแต่ที่เขาพูดว่าจะใส่รองเท้าเอง เมื่อก่อนอย่าว่าแต่ใส่เลยขนาดถอดเองเขาก็ไม่เคยทำ และอยู่ๆทำไมวันนี้เขาถึงมาใส่รองเท้าเองละ

เมื่อเจ่าไห่ใส่รองเท้าเสร็จ ก็หันไปที่เม็ก “ไปกันเลย ฉันมีบางสิ่งที่ต้องคุยกับปู่กรีนด้วย”

แม้ว่าเม็กจะรู้สึกแปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น จากนั้นเธอก็นำทางเจ่าไห่ไปยังห้องอาหาร เม็กรู้ว่าตั้งแต่เจ่าไห่มาที่นี้ เขายังไม่เคยเดินออกมาจากห้องเลยดังนั้นเขาไม่มีทางรู้เส้นทางในปราสาทแน่นอน ถ้าหากเธอปล่อยให้เขาไปเองคงไม่มีทางหาห้องอาหารเจอ

เมื่อออกจากห้อง เจ่าไห่มองไปรอบๆด้วยความสงสัย ปราสาทแห่งนี้นั้นดูจากสภาพแล้วน่าจะถูกสร้างมานานมากแล้ว แต่มันดูแข็งแรงมาก แม้ว่ารูปแบบจะเป็นแบบโบราณแต่การออกแบบข้างในนั้นก็ไม่ดีเท่าบ้านที่อดัมเคยอยู่ แถมยังให้ความรู้สึกที่มืดมน

แต่เจ่าไห่ไม่ได้สนใจเรื่องนี้แถมกลับชอบมันอีกด้วย ในความคิดของเขา ปราสาทต้องให้ความรู้สึกที่มืดมนแบบนี้ ด้วยเป็นสไตล์โบราณทำให้เขาคิดว่าน่าจะมีห้องลับซ่อนอยู่

เจ่าไห่สังเกตเห็นคบเพลิงบนผนัง เมื่อนึกถึงราคาของผลึกเวทย์ทำให้เข้าใจว่าทำไมถึงใช้คบเพลิง

แม้ว่าอดัมจะเป็นขุนนางที่ไม่รู้คุณค่าของสิ่งของต่างๆ แต่เขาก็ยังรู้ราคาเกี่ยวกับผลึกเวทย์เพราะมันเป็นสิ่งที่มีราคาสูง สิ่งพวกนี้เป็นสิ่งที่กลุ่มสังคมของเขามักจะซื้อทำให้อดัมนั้นรู้ราคา

เจ่าไห่ก็นึกถึงตะเกียงเวทย์ในห้องของเขาที่ดูเหมือนจะเป็นตะเกียงเวทย์ชิ้นเดียวในปราสาทแห่งนี้ ทำให้เจ่าให้รู้สึกได้ถึงความใส่ใจของคนรอบข้าง

ห้องอาหารนั้นอยู่ไม่ไกลจากห้องของเจ่าไห่ ทำให้ทั้งสองถึงอย่างรวดเร็ว กรีน ,เมอร์ริน ,ร๊อคและบล๊อค นั้นยืนรอเจ่าไห่อยู่หน้าห้อง เมื่อเห็นเจ่าไห่พวกเขาก็คำนับ “สวัสดียามเย็นนายน้อย เชิญทานอาหาร”

เจ่าไห่พยักหน้า เมื่อเดินปยังที่โต๊ะไม้ เขาสังเกตเห็นว่ามันอาหารจัดไว้ที่เดียวสำหรับเขา ในความทรงจำของอดัม เมื่อขุนนางทานอาหาร คนรับใช้จะไม่สามารถนั่งร่วมทานได้และทำให้แต่ยืนข้างๆ และคอยบริการ

เจ่าไห่นั่งลงและมองไปรอบๆห้องอาหาร ตัวห้องนั้นไม่ใหญ่มากประมาณ 20 ตารางเมตร  ภายในห้องมีโต๊ะยาวหนึ่งตัวที่ที่คลุมด้วยผ้าสีขาว ซึ่งบนผ้าจะมีที่ตั้งเทียนอยู่ 2 อัน ซึ่งมีเทียนจุดอยู่ 3 เล่ม

มีเก้าอี้อยู่แปดตัวล้อมรอบโต๊ะที่ทำออกมาอย่างปราณีต ในแต่ละมุมของห้องอาหารก็จะมีคบเพลิงให้ความสว่างแก่ห้อง

เจ่าไห่หันมองไปยังกรีนและคนอื่น “ปู่กรีน ทุกนั่งลงทานอาหารได้แล้ว” หลังจากกินเสร็จ ผมมีบางอย่างอยากจะถาม”

กรีนคำนับนายน้อย “นายน้อย พวกผมทำอย่างนั้นไม่ได้ครับ เมื่อคุณทานอาหารพวกผมไม่สามารถนั่งรวมกับคุณได้ นี้คือกฎระเบียบของจักรวรรดิ”

เจ่าไห่ขึ้นเสียงเล็กน้อย “นั้นมันกฎระเบียบของจักรวรรดิ ไม่ใช่กฎระเบียบของฉัน เมื่อจักรวรรดิขับไล่เราออกมาอย่างนี้แล้วทำไมเรายังต้องทำตามอยู่ด้วยละ ไม่ต้องปฏิเสธอะไร ไปหยิบจานช้อนส้อมและมานั่งกินด้วยกัน ฉันจะได้ถามบางอย่างขณะทานไปด้วย ถ้าหากปู่กรีนไม่ทำ ผมก็ไม่ทานเหมือนกัน”

กรีนมองไปที่เจ่าไห่ก่อนที่จะมองไปยังเมอร์ริน ที่มองมายังเขา “จะมามองฉันทำไม นายน้อยไม่ได้ทานอาหารมาเป็นเดือนแล้ว อย่าบอกนะว่าจะให้นายน้อยหิวอย่างนี้”

เมื่อคิดถึงสุขภาพของเจ่าไห่ทำให้กรีนคิดหนัก และคำพูดของเมอร์ริน กรีนก็พูดว่า“งั้นเธอก็ไปห้องครัวกับเม็ก ฉันจะยืนรอกับนายน้อยที่นี้”

เมอร์รินก็รีบนำเม็กไปยังห้องครัว ส่วนกรีนก็นั่งลงพร้อมกับบล๊อคและร๊อค บล๊อคและร๊อคนั้นรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเมื่อนั่งลง เพราะทั้งสองคนนั้นเป็นคนที่พูดน้อย เพราะตั้งแต่เจอกับเจ่าไห่ พวกเขาพูดแค่ “สวัสดียามเย็นนายน้อย เชิญทานอาหาร”เพียงแค่นี้เท่านั้น

จากความทรงจำของอดัมนั้นเจ่าไห่รู้ว่าบล๊อคและร๊อคนั้นถูกพ่อของเขารับมาดูแล พวกเขานั้นเป็นคนหัวช้า และอาจเรียกได้ว่าเข้าขั้นโง่เลยละ แต่พวกเขามีพรสวรรค์อย่างอื่น ก็คือมีพละกำลังมากกว่าคนทั่วไป แถมยังฝึกพลังฉีมังกรคลั่ง ทำให้ทั้งสองนั้นเกือบจะได้เป็นนักรบระดับ 6 และยังจงรักภักดีต่อตระกูลบูดามาก

ในขณะที่รอเมอร์รินนำอาหารมา เจ่าไห่ถามกรีน“ปู่กรีนตอนนี้เรามีเงินในมืออยู่เท่าไหร่”

กรีนจ้องไปที่เจ่าไห่ เพราะไม่รู้ว่าเจ่าไห่ถามเรื่องนี้ทำไมก่อนจะตอบว่า “นายน้อยตอนนี้เรามีเงินเหลืออยู่ 180 เหรียญทองแต่ตอนนี้ไม่ขาดสิ่งของและอาหารใดๆแล้ว ดังนั้นนี้คือเงินที่เหลือทั้งหมด”

เจ่าไห่รีบถามต่อว่า “ถ้าเช่นนั้นแล้วตอนเราจากเมืองหลวงมา เราใช้เกวียนขนสิ่งของมาใช่ไหม  แล้วม้าละเป็นอย่างไรบ้าง?”

กรีนกล่าวว่า: “นายน้อย สถานที่นี้ค่อนข้างเล็กและยังไม่สามารถหาวิธีในการเพราะปู่ได้ เพื่อที่จะเก็บอาหารไว้ เรามีม้าแค่ห้าตัว  ส่วนเกวียนขนของนั้นเราเช่ามา”

เจ่าไห่เขาใจทันทีเลยว่ากรีนนั้นสื่อถึงอะไร กรีนนั้นจำเป็นต้องประหยัดให้มากที่สุด เพราะม้าที่ดีนั้นไม่ได้กินแค่หญ้าเพียงอย่างเดียว แต่จำเป็นต้องให้ธัญพืชด้วย และสถานที่แห่งนี้ยังไม่สามารถเพาะปลูกอะไรได้ ดังนั้นอะไรประหยัดได้ก็ต้องประหยัด และการเลี้ยงม้าให้ดีนั้นจึงเป็นไปไม่ได้

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด