ตอนที่แล้วTXV – 65 หวิงชุนไม่ได้ยากอย่างที่คิด !
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปTXV –  67 การประยุกต์ !

TXV – 66 เคล็ดวิชาและสาวรูปงาม !


TXV – 66 เคล็ดวิชาและสาวรูปงาม !

          คนที่เพิ่งเดินเข้ามาเป็นผู้หญิงวัยยี่สิบต้นๆ มีกระเป๋าเดินทางถูกลากตามมาด้านหลัง เธอตัวสูง มีขาเรียวยาว ยังเด็กและสวยมาก โดยเฉพาะขาเรียวยาวคู่นั้นที่โผล่พ้นกางเกงขาสั้นออกมาขาวราวกับสีของหยก และมีความยาวมากกว่าครึ่งของส่วนสูงของเธอ และมันก็สะดุดตามาก เธอน่าจะป็นนางแบบที่ขาสวยสุดๆเลย

 

          หน้าอกที่กระชับและเต่งตึงถูกปกปิดไว้ในเสื้อคอทหารเรือ รูปร่างหน้าอกของเธอดูราวกับเป็นลูกกระสุนของปืนใหญ่สองกระบอก ยิ่งบวกกับใบหน้าสวยและผมดำยาวที่ปกคลุมศีรษะทำให้เธอดูสวยราวกับดาราฮอลลีวูด แองเจลลิน่า โจลี่ ทั้งเซ็กซี่และดูมีสเน่ห์ แถมยังดูสง่างามมากอีกด้วย...

 

          ‘คนๆนี้เป็นผู้หญิงที่พิเศษมาก’ เซี่ยเหล่ยคิด เขาไม่เคยเห็นเธอมาก่อนในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาที่เขามาอยู่ที่นี่ และจากการพูดของเธอก็ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ใช่นักศึกษาใหม่

 

          “หลางซือเหยาคุณกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?” ลู่เชิงเดินไปต้อนรับเธอพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า

 

          หลางซือเหยา ? เซี่ยเหล่ยหันไปมอง หลางเฉิงชุน และหันกลับมามอง หลางซือเหยา และแล้วเขาก็มองเห็นความคล้ายคลึงกันระหว่างสองคนนี้

 

          “ฉันเพิ่งลงจากเครื่องบินเมื่อเช้านี้ ฉันกลับมาแล้ว พ่อ” หลางซือเหยา พูด

 

          หลางเฉิงชุนยังคงดูน่าเกรงขาม “ไม่มีแม้แต่การโทรมาบอกว่าลูกจะกลับมา ลูกยังคงเห็นพ่อเป็นพ่ออยู่หรือเปล่าหึ ?”

 

          หลางซือเหยา ยิ้มและพูดต่อ “พ่อคะ ฉันไม่อยากให้พ่อต้องเหนื่อยกับการเดินทางไปสนามบินนะ ลูกสาวคนนี้จะแสดงความเป็นห่วงเป็นใยพ่อไม่ได้หรือ ?”

 

          “คราวนี้จะกลับมาอยู่นานแค่ไหนล่ะ?” หลางเฉิงชุนถาม

 

          “ฉันยังไม่กลับไปเร็วๆนี้หรอก พ่อ ฉันลาออกจากงานแล้วนะ ต่อจากนี้ฉันจะมาอยู่คุยกับพ่อทุกวันเลย ดีไหม?” หลางซือเหยา พูด

 

          “ดี ดีมากเลย ฮ่าๆ” หลางเฉิงชุนยิ้มขณะพูด

 

          เมื่อคนเราแก่ตัวลง พวกเขาก็แค่ต้องการให้ลูกๆกลับมาอยู่ข้างๆ ไม่ใช่เพราะเหตุผลแอบแฝงอื่นใด แต่เป็นเพราะมันจะทำให้พวกมีความสุขและรู้สึกสบายใจที่ได้อยู่กับลูกหลาน

 

          หลางเฉิงชุนยิ้มและพูด “ซือเหยา ถ้าลูกกลับมาเป็นผู้ช่วยสอนที่นี่ พ่อมั่นใจว่าเราจะมีนักเรียนใหม่จำนวนมากเลยล่ะ”

 

          หลางซือเหยา ยิ้มก่อนจะเดินออกไป “ฉันขอเอากระเป๋าไปเก็บก่อน แล้วจะกลับมาคุยกับพ่อนะ”

 

          เธอลากกระเป๋าไปที่ประตูด้านใน ขณะเดินผ่านเซี่ยเหล่ยเธอพูดว่า “อย่าไปมีเรื่องกับผู้ฝึกตนคนนี้เลย เขาเป็นคนป่าเถื่อนมากนะ”

 

          ‘ผู้ฝึกตน’ คือชื่อเล่นของลู่เชิงงั้นหรือ ? แต่มันก็ดีกว่าชื่อที่นักเรียนที่สนิทสนมกับเขาเรียกล่ะนะ ‘นักปราชญ์ลู่’

 

          เซี่ยเหล่ยยิ้ม “เปล่าหรอก เราแค่ล้อเล่นกันเท่านั้นแหละ”

 

          หลางซือเหยา ลากกระเป๋าหายเข้าไปในห้องแล้ว เอวเล็กๆกับสะโพกกลมมน บวกกับขายาวๆของเธอทำให้เธอดูดีมากโดยเฉพาะเมื่อมองจากด้านหลัง

 

          เซี่ยเหล่ยหันไปมองทางอื่น สำหรับผู้ชายคนอื่นๆมันยากมากที่จะสามารถมองเห็นผู้หญิงได้แบบธรรมชาติอย่างที่พวกเธอเป็น นั่นทำให้ผู้หญิงกลายเป็นสิ่งลึกลับสำหรับพวกเขา แต่นั่นมันกลับง่ายมากสำหรับเซี่ยเหล่ย เขาสามารถมองเห็นสิ่งนี้ได้ และทำให้พวกผู้หญิงไม่ใช่สิ่งที่ลึกลับและน่าดึงดูดใจมากนัก เขาอยากลองหัดยับยั้งชั่งใจเสียบ้าง แต่แน่นอนว่าสำหรับเจียงหยูยี่จะเป็นข้อยกเว้นสำหรับเรื่องนี้.....

 

 ลู่เชิงหันมาคุยกับเซี่ยเหล่ย “คุณเคยฝึกหวิงชุนมาก่อนไหม?”

 

          เซี่ยเหล่ยส่ายหน้า “ไม่ครับ”

 

          แต่ลู่เชิงไม่เชื่อเขา “คุณกำลังโกหก ใช่ไหม? ผมเห็นคุณโจมตีหุ่นไม้ได้ดีทีเดียว ทักษะของคุณไม่เลวนะ ผมต้องฝึกตั้งแปดเดือนกว่าจะทำได้เหมือนกับคุณในตอนนี้ คุณยังจะกล้าพูดว่าไม่เคยฝึกหวิงชุนมาก่อนอีกงั้นหรือ?”

 

          “ผมไม่เคย” เซี่ยเหล่ยไม่ต้องการจะอธิบายอะไรอีกต่อไป

 

          ขณะนั้นเองหลางเฉิงชุนเดินผ่านเขาไปและชี้ไปยังหุ่นไม้ “เหล่ย โจมตีหุ่นไม้นั่นให้ผมดูอีกครั้งสิ”

 

          “ครับ” เซี่ยเหล่ยเดินไปหาหุ่นไม้ สูดลมหายใจเข้าลีกๆแล้วโจมตีหุ่นไม้นั้นโดยการเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ

 

          ดวงตาข้างซ้ายได้ถ่ายทอดภาพการเคลื่อนไหวของหลางเฉิงชุนไปยังสมองของเขาในขณะที่เขาได้เรียนรู้ทักษะการเคลื่อนไหวและนำมันมาประยุกต์ใช้ได้เรื่อยๆ ทำให้ในครั้งนี้ทั้งความเร็วและประสบการณ์ของเขาเพิ่มมากขึ้น เขาปรับความเร็วในการส่งผ่านภาพจากดวงตาไปยังสมองให้เร็วขึ้น ทำให้ร่างกายของเขาเริ่มคุ้นเคยกับการเคลื่อนที่เลียนแบบหลางเฉิงชุนได้รวดเร็วและแม่นยำมากยิ่งขึ้น...

 

          กระบวนการนี้ดูเหมือนจะซับซ้อนและมหัศจรรย์ แต่จริงๆแล้วมันก็เหมือนกับการที่เราฝึกเต้นรำจากการดูจากแผ่นดีวีดี แค่แตกต่างกันตรงที่การฝึกเต้นรำต้องดูผ่านจอเครื่องเล่นดีวีดีที่วางอยู่บนโต๊ะ แต่เซี่ยเหล่ยดูและเรียนรู้มันผ่านดวงตาข้างซ้ายซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขาเอง นี่เป็นข้อได้เปรียบที่จะทำให้เขาเหนือกว่าคนอื่น

 

          ทุกครั้งที่โจมตีหุ่นไม้ ความเร็วของเขาจะเพิ่มขึ้นและแม่นยำขึ้นเรื่อยๆ เขาจมอยู่ในโลกของหวิงชุนและไม่ได้สนใจสิ่งใดอีกต่อไป

 

          เหล่านักเรียนรุ่นพี่ต่างหยุดการฝึกซ้อมของตัวเองและมามุงดูการโจมตีหุ่นไม้ของเซี่ยเหล่ย

 

          กลุ่มคนเหล่านั้นรวมถึงหลางเฉิงชุนต่างรู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่เห็น สำหรับพวกเขาแล้วเซี่ยเหล่ยไม่ได้ดูเหมือนเด็กใหม่ที่เพิ่งฝึกหวิงชุนได้แค่ไม่กี่วัน แต่กลับดูเหมือนคนที่เคยฝึกมาแล้วอย่างน้อยสักสิบปี ดูเหมือนเซี่ยเหล่ยจะพยายามปิดบังความสามรถของตัวเองอยู่และเขากำลังพยายามทำตัวเป็นหมูที่อยากจะเอาชนะเสือ...

 

          “นี่มันไม่ธรรมดาแล้ว คนๆนี้เป็นเด็กใหม่จริงหรอเนี่ย?” นักเรียนชั้นปีสุดท้ายคนหนึ่งอ้าปากค้างอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง แม้ว่าเขาจะไปยืนอยู่ตรงหน้าหุ่นไม้ตัวนั้น เขาก็คงไม่สามารถโจมตีมันได้อย่างได้ที่เซี่ยเหล่ยทำแน่

 

          “ไม่ใช่อย่างแน่นอน เขาต้องมีจุดประสงค์อะไรสักอย่างถึงได้ทำตัวราวกับเป็นเด็กใหม่แบบนี้ คุณคิดว่าเป็นไปได้ไหมที่เขาจะเป็นคนจากที่อื่น และมาที่นี่เพื่อสร้างปัญหาให้เรา?” รุ่นพี่คนหนึ่งพูด

 

 

          “บางทีเขาอาจจะมาที่นี่เพื่อลักพาตัวเด็กผู้หญิงก็ได้นะ”

 

          “เป็นไปได้นะ ! หลางซือเหยา ยังเป็นเด็กไร้เดียงสา บางทีเขาอาจจะมาเพื่อจุดประสงค์นี้ก็ได้” มีใครบางคนพูด

 

          “คุณกำลังพูดไร้สาระอะไรอยู่? รุ่นพี่หลางทำงานอยู่อเมริกาและจะกลับมาอย่างน้อยก็ปีละสองครั้งเท่านั้น ผู้ชายคนนี้ไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อนแล้วเขาจะมีเจตนาอย่างนั้นได้ยังไง? ฉันคิดว่าเขาต้องถูกส่งมาจากที่ไหนสักแห่งเพื่อมาสร้างปัญหาให้เราแน่”

 

          เหล่าเด็กนักเรียนต่างพึมพำกับตัวเองเงียบๆ

 

          ใบหน้าของลู่เชิงดูยิ่งอารมณ์เสียมากขึ้นเรื่อยๆ เขาขยับเข้าไปใกล้หลางเฉิงชุนและพูดข้างหูเขา “หัวหน้าหลาง ชายคนนี้บอกว่าเขาเพิ่งเรียนหวิงชุนได้แค่ไม่กี่วัน แต่ดูจากฝีมือของเขาแล้ว นี่คือคนที่เพิ่งฝึกหวิงชุนแค่ไม่กี่วันจริงๆหรอ?”

 

          หลางเฉิงชุนส่ายหน้าและยื่นนิ้วมือออกไปสามนิ้ว “จากที่ฉันดู เขาน่าจะฝึกมาอย่างน้อย 3 ปีแล้ว”

 

          “หัวหน้าหลาง คุณฝึกหวิงชุนมาทั้งชีวิต ถ้าคุณบอกว่า 3 ปี แน่นอนว่ามันต้อง 3 ปีจริงๆ แต่ทำไมเขาต้องโกหกล่ะ?” ลู่เชิงพูด

 

          “ไม่ มันไม่ใช่ มันเหมือนกับ…” หลางเฉิงชุนขมวดคิ้วและรู้สึกว่าเขาประเมินความสามารถของผู้ชายคนนี้ไม่ได้อีกต่อไป เซี่ยเหล่ยเป็นเหมือนกับกลุ่มหมอกลึกลับที่สายตาของเขาไม่สามารถมองเข้าไปได้

 

          ขณะนั้นเอง หลางซือเหยา ก็เดินออกมาและเข้าไปยืนข้างๆหลางเฉิงชุนเพื่อดูเซี่ยเหล่ยโจมตีหุ่นไม้ จากที่ได้ดู เธอรู้สึกแปลกใจมาก “พ่อ นักเรียนคนนี้ชื่ออะไร? ทำไมฉันไม่เคยเห็นเขามาก่อนล่ะ?”

 

          “เขาชื่อเซี่ยเหล่ย”หลางเฉิงชุนพูด “เขาเพิ่งมาที่นี่เมื่อไม่กี่วันที่แล้ว แน่นอนว่าลูกต้องไม่เคยเห็นเขามาก่อน”

 

“เขาเคยฝึกหวิงชุนมาก่อนหรือ?” หลางซือเหยา ถาม

 

          หลางเฉิงชุนส่ายหน้า “เปล่า เขาบอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้เรียนหวิงชุน”

 

          หลางซือเหยา อ้าปากค้างอย่างตกตะลึง “ไม่มีทาง การเคลื่อนไหวของเขาเหมือนได้รับการฝึกฝนมาจนชำนาญแล้ว เขาจะเป็นคนที่เพิ่งมาฝึกได้แค่ไม่กี่วันไปได้ยังไง?”

 

          “เขาเป็นคนซื่อสัตย์และคงไม่มีทางโกหก แต่ก็นั่นล่ะ เขาดูไม่เหมือนคนที่เพิ่งฝึกแค่ไม่กี่วันจริงๆ พ่อไม่สามารถมองเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่งได้”

 

          “มองไม่ออกงั้นหรือ ? ฉันจะรู้ความสามารถจริงๆของเขาแน่ถ้าได้ประมือกับเขา” หลางซือเหยา พูด

 

          “ซือเหยา ให้ผมทำเถอะ ผมจะสู้กับเขาเอง” ลู่เชิงพูด

 

          “ไม่ ไม่ คุณกำลังอารมณ์ไม่ดีและคุณยังควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ มันจะดีกว่าถ้าฉันทำเอง” หลางซือเหยา พูดขณะเดินตรงไปหาเซี่ยเหล่ย

 

          เซี่ยเหล่ยเพิ่งหยุดการเคลื่อนไหวครั้งสุดท้ายและกำลังผ่อนคลายร่างกายของเขาอยู่

 

          เขาเหนื่อยจากการประลองกับหุ่นไม้ ทั้งใบหน้าและลำตัวของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ แขนขาของเขาปวดมากและมีรอยช้ำหลายแห่ง การที่เขาโจมตีหุ่นไม้นี้ได้ค่อนข้างลำบากเป็นเพราะมันเป็นโจมตีอย่างต่อเนื่องกลับมาตลอดเวลา แม้ว่าฝ่ามือของเขาจะด้านแค่ไหนแต่ก็ยังได้รับบาดเจ็บกลับมาอยู่ดี...

 

          จากการโจมตีของหุ่นไม้พวกนี้ทำให้เซี่ยเหล่ยเข้าใจพลังของหวิงชุนมากขึ้น เขาต้องกลับไปคิดทบทวนดูอีกครั้ง

 

          “เซี่ยเหล่ยใช่ไหม?” หลางซือเหยา ยิ้ม “ไม่เลวนี่”

 

          เซี่ยเหล่ยพบว่า หลางซือเหยา กำลังเดินมาข้างๆเขา เขาจึงยิ้มและพูดตอบอย่างสุภาพ

 

          “คุณหลาง คุณต้องล้อผมเล่นแน่ๆ ผมแค่ฝึกไปแบบสุ่มสี่สุ่มห้าเท่านั้น”

 

          “สุ่มสี่สุ่มห้าแต่คุณแสดงออกมาได้ไม่เลวเลย ?”

 

          เซี่ยเหล่ยหัวเราะออกมาแต่เขาก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป...

 

          “คุณสนใจจะฝึกซ้อมกับฉันไหม?” หลางซือเหยา ถาม

 

          เซี่ยเหล่ยส่ายหน้า “ผมเพิ่งเรียนหวิงชุนแค่ไม่กี่วันและผมก็ยังไม่ชำนาญในหลายๆเรื่อง คงเป็นคู่ซ้อมให้คุณไม่ได้หรอก ผมคงต้องขอปฏิเสธ”

 

          ทันใดนั้น หลางซือเหยา พุ่งมาข้างหน้าและโจมตีหน้าอกของเซี่ยเหล่ยอย่างรวดเร็วด้วยหมัดหนึ่งนิ้ว

 

          เซี่ยเหล่ยคิดไม่ถึงว่าเธอจะโจมตีเขาอย่างฉับพลันและเขาไม่สามารถตอบโต้ได้ทันเวลา ทำให้ถูกโจมตีเข้าเต็มๆ หลางซือเหยา อาจดูเหมือนผู้หญิงที่ตัวเล็กและบอบบาง แต่ความแข็งแรงของเธอกลับไม่น้อยไปกว่าผู้ชายเลย หมัดนั้นทำให้เขากระเด็นไปไกลถึงสองเมตรและไฟลุกท่วมอกด้วยความเจ็บปวด

 

          ก่อนที่เซี่ยเหล่ยจะพยุงตัวให้กลับสู่สมดุลได้  หลางซือเหยา ก็พุ่งเข้ามาด้านหน้าและเตะตรงตำแหน่งเหนือเข่า ทำให้เซี่ยเหล่ยล้มลงไปกองกับพื้น

 

          เหล่าลูกศิษย์ดูเหตุการณ์ต่างก็ส่งเสียงเชียร์ และลู่เชิงก็ได้คุยโอ้อวดพลังกำปั้นของตัวเองอย่างเกินจริง

 

          ‘ดูจากการโจมตีที่เขาคาดไม่ถึงแล้ว เขาคงจัดการเธอไม่ง่ายแล้วล่ะ แม่งเอ้ย!’ เซี่ยเหล่ยสบถในหัว เขาพลิกตัวและหมอบลง จากนั้นจึงพยายามเคลื่อนที่ไปยังจุดต่อสู้ เตรียมพร้อมสู้กับ หลางซือเหยา

 

          “คุณควรทำแบบนี้ตั้งแต่แรกนะ” ทันทีที่พูดจบเธอก็พุ่งเข้ามาโดยมีเป้าหมายเพื่อโจมตีหน้าอกเขาในชั่วพริบตาเดียว 

 

          คราวนี้เซี่ยเหล่ยเตรียมรับมือไว้แล้วโดยใช้มือขวาของเขาปัดมือเธอออกไปด้านข้าง ในขณะเดียวกันก็พุ่งข้อศอกขวาไปยังเอวของเธอเพื่อจะโจมตี

 

หลางซือเหยา ใช้แขนซ้ายมาขวางไว้และผลักข้อศอกขวาของเซี่ยเหล่ยไปข้างหน้าเต็มแรง  ทั้งสองคนผลัดกันโจมตีและป้องกันหลายสิบครั้งในชั่วพริบตาและยังไม่มีใครสามารถเอาอีกฝ่ายลงได้

 

พวกเขาหันมาสบตากันและเริ่มการต่อสู้อีกครั้ง

 

หลางซือเหยา เรียนรู้หวิงชุนจากหลางเฉิงชุนตั้งแต่ยังเด็ก ทั้งประสบการณ์และระดับความสามารถของเธอไม่ใช่สิ่งที่คนเพิ่งเริ่มฝึกอย่างเขาสามารถไปเทียบได้ แต่เซี่ยเหล่ยก็มีข้อได้เปรียบของเขาเช่นกัน นั่นก็คือดวงตาข้างซ้ายของเขา ไม่ว่า หลางซือเหยาจะเร็วแค่ไหน เธอก็ไม่มีทางเร็วไปกว่าตาซ้ายของเขา เซี่ยเหล่ยใช้ตาซ้ายจับจ้องไปยัง หลางซือเหยาและทำนายการเคลื่อนที่ของเธอก่อนเธอจะเคลื่อนไหว ทำให้เขาสามารถหลบทุกการโจมตีที่รุนแรงของเธอได้

 

          ทั้งสองคนก้าวถอยหลังและพุ่งไปข้างหน้า เธอต่อย เตะ เธอมั่นใจในพลังฝ่ามือ เธอและมั่นใจในพลังของศอก มันยากมากที่จะดูว่าใครเหนือกว่า เมื่อเวลาผ่านไปเซี่ยเหล่ยทั้งต่อยและเตะหลางซือเหยา เธอก็ต่อยและเตะเขาเช่นกัน ทั้งคู่ดูเป็นคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมกันมาก...

 

          ขณะกำลังต่อสู้อยู่นั้น ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัวเซี่ยเหล่ย ‘เขาเป็นผู้ชายแน่นอนและเขาต้องแข็งแกร่งกว่าหลางซือเหยา แต่กลิ่นไอบางอย่างจากเธอทำให้เขารู้สึกว่าเธอแข็งแกร่งกว่า นี่ต้องเกี่ยวข้องกับเทคนิคการผสานพลังออกมาแน่ ตาซ้ายของเขาสามารถมองการเคลื่อนที่ของเธอออก และเธอไม่มีทางเร็วไปกว่าดวงตาของเขา แต่ถ้าเขาสามารถมองเห็นว่าเธอแผ่พลังออกมาในทิศทางไหนได้ล่ะ? ถ้าเขามองเห็นมัน เขาก็จะเข้าใจความลับของการใช้พลังหวิงชุนได้อย่างรวดเร็ว และเมื่อเขาเข้าใจแล้ว เขาก็จะไม่ต้องกลัวคู่ต่อสู้อย่างลู่เชิงอีกต่อไป!’

 

          เมื่อเซี่ยเหล่ยคิดได้ดังนั้น ตาข้างซ้ายของเขาก็กระตุกขึ้นมา เสื้อยืด ชุดชั้นใน และทุกอย่างบนตัว หลางซือเหยา หายวับไป สายตาของเขามองเห็นทุ่งหิมะสีขาว ส่วนที่ขาวซีดดูคล้ายกับหิมะในฤดูใบไม้ผลิ และส่วนสีชมพูดูเหมือนดอกพีชในเดือนมีนาคม ภาพที่แสนล่อลวงใจทำให้จ้องมองไปชั่วขณะหนึ่ง และปฏิกิริยาของเขาก็ชะงักไป

 

          “เฮ้!” หลางซือเหยา ตะโกนเรียกและเตะฝ่าเท้าไปที่ท้องน้อยเซี่ยเหล่ย

 

          เสียงเตะดังมากและเซี่ยเหล่ยกุมหน้าท้องของเขาไว้ขณะทรุดลงไปบนพื้น

 

          “คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?” หลางซือเหยา รีบช่วยพยุงเซี่ยเหล่ยขึ้นมา

 

          เซี่ยเหล่ยรีบปิดตาและตำหนิตัวเอง ‘สมน้ำหน้า!!’

 

          ติดตามตอนต่อไป.......

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด