ตอนที่แล้วบทที่ 66 ฟื้น
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 68 ช่วงเวลาผ่อนคลายช่างหาได้ยาก

บทที่ 67 ถามตอบ


 

จั่วม่อย่องมาถึงหน้าประตูกระท่อมหญ้าอย่างระมัดระวัง คนตึงเครียดราวกับเส้นเชือกเขม็งเกลียว หากมีแรงกระทำจากภายนอกสักเล็กน้อย เกรงว่าคงขาดผึงในบัดดล

มันสูดลมหายใจลึก แม้ว่าจะทะลวงถึงขั้นลมหายใจที่สองของเคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด และไม่ต้องอาศัยจมูกปากหายใจ แต่เมื่อรู้สึกร้อนรนกระวนกระวาย มันยังคงสูดลมหายใจลึกตามรูปแบบอันเคยชินโดยไม่รู้ตัว เพื่อสงบอารมณ์ สักครู่จิตใจค่อยเยือกเย็นลง มันค้อมกายคำนับไปยังประตูไม้ของกระท่อมหญ้า “ศิษย์จั่วม่อ คารวะอาจารย์ลุง!”

“เข้ามา!” สุ้มเสียงเย็นเยือกอาจารย์ลุงซินหยานดังออกมาจากในกระท่อม

ประตูไม้เปิดออกอย่างไร้เสียง ภายในกระท่อมปกคลุมด้วยความมืดผืนหนึ่ง ในใจจั่วม่ออดตึงเครียดขึ้นมาอีกรอบไม่ได้ มันรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปข้างใน

การตกแต่งกระท่อมเรียบง่ายสมถะถึงที่สุด มีเพียงเสื่อสมาธิผืนเดียวเท่านั้น นอกเหนือจากนี้ไม่มีอะไรอื่นอีก อาจารย์ลุงซินหยานนั่งอยู่บนเสื่อสมาธิ แสงแดดลำเล็กๆ ส่องลอดเข้ามาในกระท่อมหญ้า ฉายลงไปบนร่างของอาจารย์ลุงซินหยาน ทั้งร่างของอาจารย์ลุงคล้ายอยู่ภายใต้รัศมีแสงอาทิตย์ แต่ใบหน้ามันกลับซ่อนอยู่ในเงาของปอยผมที่หน้าผาก ไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจน จนกระทั่งมันลืมตาขึ้น

ภายใต้เงามืด น้ำแข็งเย็นสองจุดสว่างเรืองขึ้น ด้วยเหตุผลบางประการ จั่วม่อรู้สึกเย็นเยียบไปถึงไขสันหลัง แผ่ซ่านจากส่วนล่างสุดไปยังบนสุด กล้ามเนื้อทุกมัดเกร็งแน่น ตัวแข็งทื่อไปทั้งร่าง

“เจ้าทำให้ข้าประหลาดใจ” สุ้มเสียงของซินหยานไม่ต่างอันใดกับหมอกเย็น แทรกซึมผ่านผิวหนังลงไปในหัวใจของจั่วม่อ เย็นจนมันแทบขยับตัวไม่ได้

“เจ้าไม่ได้มีพรสวรรค์ใดๆ ทางด้านกระบี่” ซินหยานกล่าวเรียบเรื่อย

จั่วม่อหัวใจเขม็งแน่น ฉับพลันนั้นมันรู้สึกแทบลืมหายใจ หวาดผวา ราวกับกระแสน้ำท่วมทะลวงเขื่อน ทะลุผ่านแนวป้องกันทางจิตวิทยาของมันในทันที นี่...อาจารย์ลุงค้นพบมันแล้วหรือไม่?

“เจ้าสามารถบรรลุเจตจำนงกระบี่ภายในสามเดือน นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ข้าประหลาดใจ” ซินหยานละสายตาจากจั่วม่อ พริ้มตาปิดลงช้าๆ น้ำแข็งเย็นเรืองรองสองจุดเลือนหายไปในเงามืด “ข้าไม่สนใจโชควาสนาที่เจ้าได้ประสบมา แต่เจ้าต้องจำไว้ ในอนาคตหากเจ้ากระทำสิ่งที่ผิดต่อสำนัก ข้าจะสังหารเจ้าด้วยกระบี่ของข้า”

น้ำเสียงสงบเยือกเย็นถึงที่สุด ราวกับกำลังเล่าถึงสภาพดินฟ้าอากาศ

จั่วม่อประหนึ่งจู่ๆ ก็พุ่งจากนรกขึ้นสวรรค์ในรวดเดียว ความประหลาดใจอันน่ายินดีนี้ทำให้มันตะลึงงันไปครู่ใหญ่ มันเตรียมจะยืดคอรอรับคมกระบี่อยู่แล้วเชียว มันคาดเดาว่าอาจารย์ลุงรองได้มองทะลุผ่านมันแล้ว และพบเห็นผูเยาอยู่ในทะเลแห่งจิตสำนึกของมัน

กล้ามเนื้อที่เกร็งแน่นคลายตัวลงในทันที จั่วม่อรู้สึกร่างอ่อนยวบ ความกลัวที่อ้อยอิ่งอยู่ในใจประดุจน้ำท่วมขัง เกือบจะกลืนกินมันลงไป สองเท้าอ่อนร่วนบอบช้ำแทบจะยืนไม่อยู่

“ศิษย์ทราบแล้ว!” จั่วม่อรีบตอบรับ จิตใจมั่นคงขึ้นเล็กน้อย

“เคล็ดกระบี่เพลิงธาราที่เจ้าฝึกปรือนับว่าพิเศษเฉพาะยิ่ง แต่ถูกจำกัดด้วยองค์ความรู้ของผู้คิดค้น ยากจะพัฒนาต่อไปในอนาคต” ซินหยานไม่ได้ลืมตา ขณะที่กล่าวอย่างเยือกเย็น “รากฐานของเจ้าอ่อนแอไปบ้าง มีหลายอย่างจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม บางแห่งที่เจ้าปรับเปลี่ยนด้วยตัวเอง นั่นไม่เลวเลย”

หลังจากนั้นซินหยานชี้ออกมาบางจุด จั่วม่อผู้ซึ่งบัดนี้สงบใจได้แล้วรู้สึกปลาบปลื้มยินดีและตั้งอกตั้งใจ ทุกจุดที่อาจารย์ลุงชี้แนะให้ ล้วนเป็นตำแหน่งที่มันรู้สึกอึดอัดและสะดุดขัดข้อง แต่ไม่ทราบจะปรับปรุงอย่างไร พอได้ฟังคำชี้แนะของอาจารย์ลุง มันก็นึกออกในทันใด

พออธิบายแล้วเสร็จ ซินหยานก็โยนม้วนหยกให้จั่วม่อม้วนหนึ่ง “นี่เป็นเคล็ดกระบี่พื้นฐานส่วนหนึ่ง ฝึกปรือให้มากไว้” ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างเศร้าเสียดาย “เจ้ากำลังมุ่งมั่นกับวิชาหลอมกลั่นโอสถและเจ้ายังเป็นเกษตรกรปราณด้วย ไม่เหมาะจะฝึกปรือวิถีเซียนกระบี่ สำหรับเซียนกระบี่แล้ว สิ่งสำคัญคือมุ่งเน้นเรื่องเดียว ไม่ถูกรบกวนจากเรื่องอื่นๆ คือใจกระบี่กระจ่างแจ้ง เอาเถอะ จงพยายามให้ดีที่สุดเท่าที่เจ้าจะทำได้”

คารวะอำลาอาจารย์ลุง เมื่อจั่วม่อเดินผ่านไปบนพื้นดินหน้ากระท่อมหญ้าอีกรอบ มันไม่รู้สึกถึงเจตจำนงกระบี่ที่เคยพบเมื่อขามาอีกต่อไป ราวกับว่าเจตจำนงกระบี่เหล่านั้นรู้จักมันแล้ว และหลบซ่อนอยู่เฉยๆ ไม่แสดงตัวอีก

บนเส้นทางจากดอยมองอาทิตย์ไปยังลานน้อยลมตะวันตก จั่วม่อใคร่ครวญคำพูดของอาจารย์ลุงมาตลอดทาง ความหมายของอาจารย์ลุงย่อมเห็นได้ชัด หากมันต้องการก้าวต่อไปในมรรคาแห่งเซียนกระบี่และประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง มันจะต้องละทิ้งการเป็นเกษตรกรปราณและวิชาหลอมกลั่นโอสถ ทุ่มเทฝึกปรือเฉพาะกระบี่ มิเช่นนั้นมันจะพบว่ายากที่จะมุ่งไปตามวิถีกระบี่

วาจาของอาจารย์ลุงชัดเจนและเหมาะสม แต่จั่วม่อย่อมทราบกระจ่างว่าตัวมันมีน้ำหนักสักเท่าใด

หากมันเป็นเช่นศิษย์พี่เหวยเสิ้ง มันอาจละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างและมุ่งหน้าสู่มรรคาแห่งเซียนกระบี่ แต่น่าเสียดายที่มันไม่ใช่ มันทราบกระจ่างว่าตนมีพรสวรรค์ขั้นใด หากไม่มีผูเยา มันย่อมไม่มีปัญญาบรรลุถึงเจตจำนงกระบี่ มันต้องถูกสับฟันหลายพันหลายหมื่นกระบี่ กว่าจะเข้าใจเจตจำนงกระบี่กระแสธารของอาจารย์ลุง แต่หากเป็นศิษย์พี่เหวยเสิ้ง เกรงว่าจะใช้เวลาเพียงไม่กี่สิบครั้ง ก่อนที่จะบรรลุความเข้าใจระดับเดียวกับมัน

และหากมันไม่มีประสบการณ์ในการทำความเข้าใจเจตจำนงกระบี่กระแสธาร มันย่อมไม่มีปัญญาฝึกปรือเจตจำนงกระบี่เพลิงธาราสำเร็จภายในสามเดือน

มันโชคดีแล้วที่ไม่เดินไปในวิถีทางเดียวกับศิษย์พี่เหวยเสิ้ง!

เดินไปคิดไป สายลมโชยชายลูบไล้ใบหน้าอย่างนุ่มนวล จั่วม่ออารมณ์เริ่มฮึกหาญกว่าเดิม มรรคาที่แต่ละคนเลือกเดินไม่เหมือนกัน ไม่ต้องกล่าวถึงว่าพลังฝีมือที่รุดหน้าของมันในยามนี้ เป็นสิ่งที่มันไม่กล้านึกถึงมาก่อน แต่เวลานี้มันก็ทำสำเร็จแล้ว

อารมณ์ของจั่วม่อกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ตลอดทั้งวันนี้หลังจากเผชิญกับสภาวะอารมณ์ผันผวนขึ้นๆ ลงๆ ร่างกายมันก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง ปรารถนาจะพักผ่อนสักครา

อย่างไรก็ตาม เมื่อมันเดินมาถึงปากทางเข้าหุบเขาลมตะวันตก สองเท้าชะงักกึก คนแข็งค้างอยู่กับที่

“ไอ๊ย่า! ศิษย์พี่จั่วม่อ ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว ในการทดสอบของสำนักศิษย์พี่ร้ายกาจยิ่ง ศิษย์น้องผู้นี้มาร่วมยินดีกับศิษย์พี่โดยเฉพาะ นี่เป็นของขวัญเล็กน้อย... ...”

“ศิษย์พี่จำข้าได้หรือไม่? ปีนั้นหากไม่ใช่เคล็ดเมฆฝนหล่นรินของศิษย์พี่ เกรงว่าข้าคงถูกขับออกจากสำนักไปแล้ว ผู้น้องยังคงจดจำได้แม่น... ...”

“ศิษย์พี่ น้องสาวจากดอยตะวันออกของเรา... ...”

มองไปยังฝูงชนแออัดยัดเยียด จั่วม่อรู้สึกศีรษะลั่นอึงอล

ปากทางเข้าหุบเขาลมตะวันตกถูกปิดกั้นไว้อย่างสิ้นเชิง ฉากนี้ยังสับสนวุ่นวายยิ่งกว่าครั้งที่มันเข้าเป็นศิษย์ฝ่ายในเสียอีก แม้แต่ของกำนัลที่พวกมันตระเตรียมมาก็ยังล้ำค่ากว่าคราวก่อน ศิษย์ฝ่ายนอกบางคนซึ่งมีพื้นฐานตระกูลที่ดีได้ใช้จ่ายเงินทองไปเป็นจำนวนมาก

มันจำเป็นต้องพักผ่อนอย่างเร่งด่วน จั่วม่อรู้สึกเหมือนศีรษะกำลังจะระเบิด

“หยุดโหวกเหวกกันเสียที!” ทันใดนั้นเสียงหนึ่งตวาดดังสะท้อน ทุกผู้คนหุบปากทันควัน

เห็นสวี่อี้นำสตรีสองนางร่วมทางมา จั่วม่อเห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นต้าซือเจี่ยกงซุนฉิงกับศิษย์พี่หญิงซวีอีเซี่ย ผู้ที่ส่งเสียงตวาดเป็นศิษย์พี่สวี่อี้เอง สวี่อี้โบกมือไล่ “ออกไปให้หมด”

เหล่าศิษย์ฝ่ายนอกรู้สถานการณ์ พากันกระจัดกระจายไปดั่งนกแตกรัง

สวี่อี้ประสานมือมาทางจั่วม่อ กล่าวว่า “ศิษย์น้องอย่าตำหนิว่าข้ากระทำเกินเลย คนเหล่านี้ช่างเสียงดังหนวกหูเสียจริง”

จั่วม่อรีบประสานมือคำนับตอบ “ขอบคุณท่านมาก ศิษย์พี่ ผู้น้องตาลายวิงเวียนแต่แรกแล้ว หากศิษย์พี่มาช้ากว่านี้อีกสักหน่อย เกรงว่าศิษย์พี่คงได้มาเก็บซากศพน้องชายผู้นี้แล้ว” จากนั้นหันไปคำนับทักทายกงซุนฉิงกับซวีอีเซี่ย “ต้าซือเจี่ย ซานซือเจี่ย!”

“เฮะเฮะ เจ้าเป็นคนน่าเล่นจริงๆ !” ซวีอีเวี่ยในชุดเขียวหัวร่อร่าเริง

จั่วม่อตื่นตัวและระมัดระวังสตรีที่ดูไร้เดียงสาผู้นี้อย่างลึกล้ำ ศิษย์พี่หญิงหลี่อิงฟ่งบอกว่านางได้รับม้วนหยกม้วนนั้นมาจากศิษย์พี่หญิงซวีอีเซี่ย ในเวลานั้นมอบม้วนหยกนั้นให้มัน เจตนาที่แอบแฝงอยู่ภายในยากจะบอกได้

กงซุนฉิงแย้มยิ้มอบอุ่นเป็นเอง คำนับตอบพลางกล่าวว่า “ศิษย์น้องดูเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย วันอื่นเราค่อยมาใหม่ดีหรือไม่?”

“ศิษย์พี่หญิงกล่าวอันใด มา มา มา ทุกท่านเชิญเข้า ลองมาลิ้มรสชาของข้าบ้าง” จั่วม่อรีบกล่าว แล้วหันเหให้เป็นเรื่องขบขัน “แต่ข้าไม่มีใบชาปราณเช่นศิษย์พี่ อย่าตำหนิข้าก็แล้วกัน”

ทั้งหมดเริ่มเดินเข้าไปในหุบเขา เมื่อมองเห็นอาคมหวงห้ามที่พังทลายเกลื่อนพื้น แต่ละคนล้วนมีสีหน้าครุ่นคิด พวกมันย่อมเคยได้ยินเรื่องที่หลัวหลีแล่นมาท้าทายจั่วม่อที่หุบเขา เรื่องนี้แพร่สะพัดไปทั่วสำนักกระบี่สุญตาอย่างครึกครื้น จากนั้นหวนนึกถึงการประลองที่พวกมันไม่มีผู้ใดได้ชัย ทั้งสามคนล้วนมีความคิดของตัวเอง

จั่วม่อไม่ได้แสดงสีหน้าใด อันที่จริงมันก็ไม่สามารถปั้นสีหน้าได้อยู่แล้ว ใบหน้าผีดิบดวงนี้ย่อมไม่อาจแสดงอารมณ์ได้แต่แรก

เข้าไปถึงลานน้อยลมตะวันตก เห็นจั่วม่อกลับมา ห่านจะงอยเทาบนหลังคาก็ส่งเสียงร้องเรียกราวกับว่านางกำลังทักทาย เมื่อเพิ่งรอดตายกลับมา จั่วม่ออารมณ์ดียิ่ง จึงโบกมือทักทายนกตัวเมียของมัน

กงซุนฉิงเห็นการกระทำอันอ่อนเยาว์ของจั่วม่อ อดยิ้มกว้างไม่ได้

ซวีอีเซี่ยเพียงแค่เหลือบมองแวบหนึ่ง เห็นมันเป็นเพียงห่านจะงอยเทาธรรมดาสามัญตัวหนึ่ง นางก็ละสายตา ดวงตาเป็นประกายมีร่องรอยดูถูก พาหนะของนางเป็นสัตว์ร้ายตาไฟสีทองระดับสาม โดดเด่นน่าเกรงขามเป็นที่สุด ในสายตาของนาง ห่านจะงอยเทาไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าพาหนะของชาวชนบท

ทั้งสี่นั่งลง จั่วม่อชงชากาหนึ่ง ทั้งสามคนแตะริมฝีปากเล็กน้อยก่อนจะวางถ้วยชาลง แน่นอนว่าจั่วม่อไม่ใส่ใจ สิ่งที่มันมีเป็นเพียงใบชาธรรมดาสามัญ ราคาย่อมเยาไปบ้าง โดยปกติแล้วกระทั่งตัวมันเองยังไม่ดื่ม

“ศิษย์น้องบรรลุเจตจำนงกระบี่ในสามเดือน ทำเอาข้าประหลาดใจอย่างแท้จริง ศิษย์น้องเจ้าก็เหลือเกินจริงๆ ไม่ยอมแพร่งพรายแม้แต่น้อย ปล่อยให้ข้าคอยเป็นห่วงอยู่ตั้งนาน” สวี่อี้กล่าวอย่างยิ้มแย้ม

จั่วม่อรีบอธิบาย “นี่ไม่ใช่ว่าผู้น้องจงใจปกปิดไว้ แม้แต่ผู้น้องยังไม่เคยคิดว่าจะเป็นไปได้ กล่าวอย่างไม่อาย ตอนนั้นน้องชายผู้นี้ฝึกกระบี่อยู่ในแม่น้ำและถูกน้ำพัดพาไปหลายร้อยหลี่ แม้แต่ท่านเจ้าสำนักยังต้องส่งคนออกไปค้นหา”

ทั้งสามสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นแปลกพิกลอยู่บ้าง เหตุการณ์ที่จั่วม่อฝึกกระบี่ในแม่น้ำและถูกน้ำพัดหายไป ในหมู่พวกมันเห็นเป็นเรื่องชวนหัว ทั้งสามล้วนเคยล้อเลียนหรือดูถูก เวลานี้จั่วม่อกลับนำมากล่าวเยาะเย้ยตัวเอง ทั้งสามคนย่อมรู้สึกไม่มีรสชาติอยู่บ้าง

จั่วม่อบรรลุเจตจำนงกระบี่และก้าวเดินล้ำหน้าพวกมันไปไกล ก่อนหน้านี้เยาะเย้ยจั่วม่อ ยิ่งแสดงให้เห็นชัดเจนถึงความโง่เขลาเบาปัญญาของพวกมันเอง

“เคล็ดวิชากระบี่ที่ศิษย์น้องฝึกปรือเรียกว่าอะไร?” ซวีอีเซี่ยถามด้วยใบหน้าไร้เดียงสา

“เคล็ดกระบี่เพลิงธารา” จั่วม่อไม่ได้ปิดบัง หากพวกมันอยากรู้ ย่อมค้นหาได้ไม่ยาก “มันเป็นเพลงกระบี่เบญจธาตุระดับสาม น่าเสียดายที่อาจารย์ลุงกล่าวว่ามันยากจะก้าวหน้าไปมากกว่านี้”

ได้ยินเช่นนี้ ดวงตากลอกกลิ้งของซวีอีเซี่ยอดเปิดเผยประกายตื่นเต้นยินดีไม่ได้

จั่วม่อจับแววตานี้ได้โดยบังเอิญ มันอดหัวร่อเยาะในใจไม่ได้ เด็กหญิงนี้ในใจไม่มีเจตนาดีงามเลยจริงๆ !

“ศิษย์น้องอย่าเพิ่งท้อแท้” กงซุนฉิงกลับปลอบโยนมัน “พรสวรรค์ของเจ้าเด่นล้ำเหลือเกิน ท่านเจ้าสำนักกับอาจารย์ลุงย่อมไม่ปล่อยให้ความสามารถของเจ้าสูญเปล่า”

“ศิษย์พี่หญิงสั่งสอนถูกต้อง” สัมผัสถึงความห่วงกังวลอย่างจริงใจของผู้อื่น จั่วม่อบังเกิดความรู้สึกที่ดีต่อนางและประสานมือค้อมคำนับไปทางกงซุนฉิง กงซุนฉิงมอบความอนุเคราะห์ อาจเป็นเหตุมาจากที่นางจะเข้าพิธีวิวาห์เร็วๆ นี้ แต่นางก็ไม่ได้เข้าไปใกล้ชิดกับกลุ่มของฉินเฉิง ดูเหมือนว่านางไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับการประลองกำลังของทั้งสองฝ่าย

“มาคราวนี้เป็นข้าเองที่เสาะหาศิษย์น้อง” ต้าซือเจี่ยกล่าวยิ้มๆ น้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยน “ทั้งสองคนนี้ถูกข้าลากมาเป็นเพื่อนร่วมทาง ฟังว่าศิษย์น้องสามารถหลอมกลั่นเม็ดยาชนิดหนึ่งที่เรียกว่าเม็ดยาอีกาทองคำ ซึ่งอาจสร้างแหล่งกำเนิดไฟอีกาทองคำขึ้นมาได้ ไม่ทราบว่าจริงหรือไม่?”

“ผลการวิเคราะห์กล่าวว่าอย่างนั้น แต่น้องชายผู้นี้ยังไม่เคยทดลองดู” จั่วม่อตอบอย่างระวังตัว

“ไม่เป็นไร” กงซุนฉิงแย้มยิ้ม พลางหยิบกล่องหยกออกมา “ข้าต้องการใช้ของสิ่งนี้แลกเปลี่ยนเม็ดยาอีกาทองคำหนึ่งร้อยเม็ดจากศิษย์น้อง ศิษย์น้องลองพิจาณาดู”

กล่าวจบ นิ้วเรียวงามของนางก็เลื่อนกล่องหยกมาถึงเบื้องหน้าจั่วม่อ

จั่วม่อเปิดกล่องหยกด้วยอาการงงงวยอยู่บ้าง แต่ทันทีที่กล่องหยกเปิดออกมา ดวงตามันก็เบิกกว้าง ความปิติยินดีในดวงตาไม่สามารถปกปิดเอาไว้ได้!

กลุ่มถึงตอนที่ 110 แล้ว คลิก

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด