ตอนที่แล้วบทที่ 65 เพลิงธาราผลาญฟ้า!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 67 ถามตอบ

บทที่ 66 ฟื้น


 

จั่วม่อค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ อดสูดปากครวญครางอย่างเจ็บปวดไม่ได้

“ศิษย์พี่ ท่านฟื้นแล้ว” สตรีไม่คุ้นหน้าผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างเตียง สีหน้าเคารพนอบน้อม จั่วม่อสังเกตเห็นเค้าความหวั่นเกรงในสายตานาง พิศจากอาภรณ์ที่นางสวมใส่ นางสมควรเป็นศิษย์สตรีฝ่ายนอกผู้หนึ่ง แต่จั่วม่อไม่รู้จักนาง

“ข้าอยู่ที่ใด?” จั่วม่อถามพลางดิ้นรนลุกขึ้น

“ที่นี่คือเรือนขิงหอม เพราะท่านได้รับบาดเจ็บ นายหญิงจึงพาท่านมาที่นี่” ศิษย์สตรีนางนี้รีบตอบ

อ้อ ที่แท้เป็นซือฟู่ จั่วม่อค่อยคลายใจและครุ่นคิด จากนั้นรู้สึกท้องลั่นโครกคราก มันเงยหน้าถาม “มีสิ่งใดรับประทานหรือไม่?”

ศิษย์สตรีนางนั้นรีบพยักหน้า “โปรดรอสักครู่” จากนั้นนางหมุนตัวเดินออกจากห้องไป ไม่นานก็กลับมาพร้อมชามข้าวและกับข้าวจำนวนหนึ่ง

กลิ่นปราณธรรมชาติหนาแน่นตลบอบอวลออกมาจากอาหาร จั่วม่อรู้สึกหัวใจโลดขึ้น และยิ่งหิวโหยมากกว่าเดิม โดยไม่เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว มันเริ่มสวาปามราวกับงานเลี้ยงฉลอง ข้าวสวยในชามแน่นอนว่าไม่ใช่ข้าวธรรมดาที่มันรับประทาน แต่เป็นข้าวปราณหุงสุกชามใหญ่ ส่วนกับข้าวในจานเล็กๆ ที่วางเรียงรายเตรียมจากพืชผักปราณหลายชนิด ล้วนอุดมไปด้วยปราณธรรมชาติ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและกำลังฟื้นตัวเช่นจั่วม่อ

อาศัยคนยากจนเข็ญใจเช่นจั่วม่อ ไหนเลยจะเคยมีบุญได้ลิ้มลองกระยาหารปราณเหล่านี้ มันเคยได้รับปันส่วนข้าวปราณเป็นประจำทุกเดือน แต่ไม่ทราบวิธีเตรียมอาหารปราณ

          การตระเตรียมกระยาหารปราณก็เป็นวิชาความรู้แขนงหนึ่ง จำเป็นต้องมีทักษะชั้นสูงและเคล็ดลับพิเศษเฉพาะ ศาสตร์แขนงนี้เรียกว่าวิชาปรุงกลั่นกระยาหาร วัตถุดิบและส่วนผสมทุกชนิดอุดมด้วยปราณธรรมชาติ อาศัยการผสมผสานตามอัตราส่วนพิเศษเฉพาะ และปรุงกลั่นอย่างพิถีพิถัน ปราณธรรมชาติในอาหารจะถูกกระตุ้นและปลดปล่อยออกมาอย่างสมบูรณ์ ดูดซึมได้ง่ายดาย ทั้งยังอ่อนโยนนุ่มนวลกว่าการดูดซับจากจิงสือมาก

อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นสิ่งที่คนร่ำรวยจิงสือและมือเติบเท่านั้น จึงจะมีปัญญาเพลิดเพลิน

เมื่อเทียบกับกระยาหารปราณระดับสูงอื่นๆ ข้าวปราณก็เป็นกระยาหารปราณที่สามัญที่สุดและแพร่หลายมากที่สุด อย่างไรก็ตาม จั่วม่อมักจะขายข้าวปราณที่มันได้รับปันส่วนมาทุกเดือนเปลี่ยนเป็นจิงสือจนหมด อาศัยเส้นชีพจรปราณปฐพีในห้องศิลา อิทธิฤทธิ์ของข้าวปราณจึงไม่ค่อยสำคัญต่อมันมากนัก

นี่เป็นครั้งแรกที่จั่วม่อได้เพลิดเพลินกับความเลิศหรูเช่นนี้ ผู้ที่ปรุงกลั่นกระยาหารชุดนี้ฝีมือสูงส่งไม่เบา ปราณธรรมชาติหนาแน่นอุดมสมบูรณ์ยิ่ง เพียงแค่กลิ่นหอมที่โชยออกมา จั่วม่อก็รู้สึกจิตใจโปร่งเบา และเมื่ออาหารล่วงผ่านเข้าไปในปาก ทำเอาจั่วม่อเกือบจะเผลอกลืนลิ้นตัวเองลงไปด้วย

ราวกับพายุบุแคม กระยาหารปราณบนโต๊ะถูกกวาดจนเกลี้ยงเกลา ไม่หลงเหลือแม้แต่เศษข้าวสักเม็ด

จั่วม่อเอนกายลูบพุง ยังอยากได้เพิ่มอีกสักเล็กน้อย เวลานี้ศิษย์สตรีนางนั้นกล่าวเตือนว่า “ศิษย์พี่สามารถนั่งเข้าฌาน จะช่วยในการดูดซึมปราณธรรมชาติในกระยาหาร”

ได้ยินดังนั้น จั่วม่อรีบนั่งไขว้ขาท่าดอกบัว จมดิ่งลงสู่สภาวะฌาน

เห็นมันทำตามคำนาง ศิษย์สตรีผู้นั้นค่อยทำความสะอาดอย่างเงียบเชียบ จากนั้นนางก็ออกไปพร้อมปิดประตูให้อย่างเบามือ

 

เมื่อถอยออกจากฌาน จั่วม่อรู้สึกจิตใจแช่มชื่นอย่างเต็มที่ สุขสบายจนไม่อาจบ่งบอกบรรยาย นึกถึงกระยาหารปราณที่เพิ่งรับประทานต้องอดทอดถอนออกมาไม่ได้ เพราะผลลัพธ์ของอาหารมื้อนี้มีประสิทธิภาพมากกว่านั่งเข้าฌานในห้องศิลาถึงสองชั่วยามเสียอีก แต่จะอย่างไรเส้นชีพจรปราณปฐพีในห้องศิลาไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายอันใด อย่าได้เห็นว่าอาหารมื้อเมื่อครู่ไม่ได้มากมายกระไรนัก แน่นอนว่าราคามิได้ย่อมเยาเลย หากไม่ใช่ว่าเป็นรางวัลจากสำนัก มันยังไม่มีปัญญาจ่ายเสียด้วยซ้ำ

ผลักประตูเปิดกว้าง จั่วม่อเดินออกจากห้อง

เบื้องหน้าสายตาเป็นลานน้อยแห่งหนึ่ง ยามนี้เองจั่วม่อค่อยทราบว่ามันอยู่ที่ใด นี่คือลานด้านในอันเงียบสงบ มันมักเดินผ่านสถานที่แห่งนี้อยู่ทุกวัน เมื่อสังเกตมากขึ้นก็รู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง

มันตัดสินใจไปคารวะซือฟู่เสียก่อน

เดินออกจากลานน้อย จั่วม่อพบเห็นศิษย์สตรีจำนวนหนึ่งตามรายทาง

มันรู้สึกทันทีว่ามุมมองของพวกนางคล้ายแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

ก่อนหน้านี้พวกนางล้วนมีท่าทีเคารพนอบน้อมต่อมัน แต่เวลานี้ในความเคารพยังแฝงร่องรอยความหวั่นเกรงอีกส่วนหนึ่ง และความกลัวเกรงจากส่วนลึกในหัวใจนี้เอง เป็นเหตุให้เอวและหลังของพวกนางค้อมต่ำกว่าเดิม มีทัศนคติที่ทั้งนอบน้อมทั้งระมัดระวังตัว จั่วม่อรู้สึกรับไม่ได้อยู่บ้าง

สวี่ฉิงพอเห็นจั่วม่อก็รีบค้อมกายคารวะ “ศิษย์พี่ ซือฟู่รอท่าน*อยู่”

กระทั่งสวี่ฉิงยังใช้คำ ‘ท่าน*’ อย่างเป็นทางการ จั่วม่อค่อนข้างอึดอัดใจ “นี่ไม่ดีเลย ศิษย์น้องหญิงเจ้าเรียกข้าเช่นนี้ฟังดูเหินห่างพิกล!”

(*ปกติคำที่สวี่ฉิงและคนอื่นๆ ใช้แทนตัวจั่วม่อเป็นคำว่า หนี่ แปลว่า เจ้า,ท่าน ใช้แบบไม่เป็นทางการ แต่ในที่นี้นางเปลี่ยนไปใช้คำว่า หนิน แปลว่าท่าน ใช้ยกย่องอย่างเป็นทางการ)

“ศิษย์พี่กล่าวถูกต้อง สวี่ฉิงผิดไปแล้ว!” สวี่ฉิงแย้มยิ้มอบอุ่น

ก่อนหน้านี้นางแม้เคยช่วยเหลือให้จั่วม่อยืมเงิน แต่จะอย่างไรไม่ได้คาดหวังในแง่ดี ผู้ใครจะคาดคิดได้ว่าจั่วม่อสามารถต่อกรซึ่งหน้ากับศิษย์พี่หลัวหลีได้อย่างคู่คี่ก้ำกึ่งถึงเพียงนี้ เมื่อได้ชมดูฉากนั้นนางถึงกับยืนเหม่อมองอย่างโง่งม จนกระทั่งถึงยามนี้นางยังรู้สึกไม่เชื่อถือ เรื่องนี้เป็นเหตุให้เหล่าศิษย์สตรีแห่งเรือนขิงหอมได้เห็นตัวตนใหม่ของศิษย์พี่ผีดิบผู้นี้ สวี่ฉิงฉลาดปราดเปรื่อง นางทราบว่าการประลองนี้จะยกระดับสถานะของศิษย์พี่อย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นในเรือนขิงหอมหรือในสำนักก็ตาม

เดิมทีศิษย์พี่หญิงห่าวหมิ่นอยู่ในเรือนขิงหอมทั้งจองหอง ทั้งกระทำการตามอำเภอใจ แต่นับจากนี้เป็นต้นไป นางแน่นอนว่าต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัวมากกว่าเดิม หากนางยังไม่ควบคุมตัวเองเหมือนเช่นเดิม นางก็นับว่าโง่งมยิ่งแล้ว ศิษย์พี่จั่วม่ออาจดูเฉื่อยชาแข็งกระด้าง แต่ไม่ว่าจะเป็นความกลอกกลิ้ง พลังอำนาจ หรือพรสวรรค์ ล้วนเหนือล้ำกว่าห่าวหมิ่น

สวี่ฉิงย่อมล่วงรู้ถึงการลอบประลองกำลังกันระหว่างเหล่าศิษย์ฝ่ายใน และในฐานะศิษย์ฝ่ายนอกผู้หนึ่ง เป็นธรรมดาที่นางจะรู้สึกผูกพันกับเหวยเสิ้งและจั่วม่อที่เคยเป็นศิษย์ฝ่ายนอกเช่นเดียวกันมากกว่า

แต่สวี่ฉิงยังคงระมัดระวังและเผื่อทางถอยไว้บ้าง มีผู้คนมากมายที่เมื่อเจริญรุ่งเรืองขึ้น นิสัยใจคอก็แปรเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง ระมัดระวังไว้ก่อนย่อมไม่มีทางผิดพลาด อย่างไรก็ตาม ศิษย์พี่จั่วม่อดูเหมือนนิสัยใจคอดีงามกว่าที่นางคาดไว้มาก

ใบหน้าผีดิบของจั่วม่อยังคงดูไร้อารมณ์ มันพยักหน้ารับคำต่อสวี่ฉิง จากนั้นเดินตรงไปยังห้องหลอมกลั่นของซือฟู่

ผลักประตูเข้าไป มันก็พบเห็นท่านอาจารย์สือฟ่งหรงของมัน

“ทีเวลาเช่นนี้เจ้ากลับแสดงความกล้าหาญ!” ทันทีที่สือฟ่งหรงเห็นหน้ามัน นางก็เปิดฉากดุด่าอย่างไม่ไว้หน้า “ต่อไปให้ยอมรับความพ่ายแพ้เสียก่อน ไม่จำเป็นต้องทำร้ายตัวเองเช่นนี้อีก” นางหลงลืมไปอย่างสิ้นเชิง ว่าเป็นนางเองที่ขีดเส้นตายให้จั่วม่อห้ามพ่ายแพ้อย่างเด็ดขาด

จั่วม่อย่อมไม่กล่าวเตือนนางเรื่องนี้อย่างคนรู้ความ และพึมพำรับคำอย่างเชื่อฟัง จะให้โต้แย้งท่านผู้เฒ่า มันหาได้มีความกล้าไม่

สือฟ่งหรงน้ำเสียงอ่อนลง “แต่เจ้าไม่ได้ทำให้ข้าเสียหน้า ดีมาก” จั่วม่อได้ยินเช่นนี้ต้องลอบกลอกตา นี่จึงเป็นสิ่งที่ท่านคิดจริงๆ ในใจสินะ

สือฟ่งหรงพออกพอใจกับศิษย์ผู้นี้ไม่น้อย แม้ว่ามันเป็นเกษตรกรปราณผู้หนึ่ง แต่นางยังต้องตื่นตะลึงกับพรสวรรค์ด้านวิชาหลอมกลั่นโอสถของมัน มันเพียงเพิ่งเริ่มร่ำเรียนวิชาหลอมกลั่นโอสถก็สามารถหลอมกลั่นเม็ดยาอีกาทองคำออกมา ครั้งแรกที่จั่วม่อหลอมกลั่นเม็ดยาอีกาทองคำสำเร็จอาจกล่าวได้ว่าโชคช่วย แต่จากนั้นมันกลับสามารถหาวิธีการหลอมกลั่นเฉพาะได้ นางแม้ไม่ได้กล่าวอันใด แต่ในใจลอบตื่นตะลึงแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่สามารถสำเร็จได้ด้วยโชคเพียงอย่างเดียว เมื่อตระหนักถึงพรสวรรค์ผิดธรรมดาของมัน สือฟ่งหรงย่อมเข้มงวดกับมันมากขึ้น

อันที่จริงในการประลองของจั่วม่อกับหลัวหลี นางไม่ได้คาดหวังอันใด แม้ว่านางจะออกคำสั่งกำชับห้ามมันพ่ายแพ้ก็ตาม นางย่อมทราบกระจ่างว่าพลังฝีมือของพวกมันต่างชั้นกันถึงเพียงไหน อย่างไรก็ตาม จั่วม่อก็ทำให้นางตะลึงพรึงเพริดอีกครา แม้ว่ามันไม่อาจเรียกว่าชนะได้อย่างเต็มปาก แต่แน่นอนว่าไม่ได้พ่ายแพ้

ภายในระยะเวลาสั้นๆ แค่สามเดือน มันถึงกับบรรลุเจตจำนงกระบี่! ด้วยฝีมือเช่นนี้กระทั่งศิษย์พี่รองผู้เย็นชายังต้องประหลาดใจ ศิษย์พี่เจ้าสำนักกับศิษย์พี่สามก็อ้าปากค้าง ดังนั้นในใจนางสุขสราญบานใจมาก

“เวลาสามเดือน เจ้าสามารถเข้าใจเจตจำนงกระบี่ ความสามารถทางกระบี่ของเจ้าไม่ด้อยเลย หากมันถูกฝังไว้เฉยๆ ก็น่าเสียดาย” สือฟ่งหรงกล่าวเนิบนาบ “ต่อไปเจ้าสามารถไปหาอาจารย์ลุงรองเพื่อฝึกฝนวิชากระบี่ แต่ข้าเตือนไว้ก่อน เมื่อไปหาอาจารย์ลุงรอง อย่าได้ทำให้ข้าอับอาย หากข้าทราบว่าเจ้าเกียจคร้านละก็ ฮึ่ม!” คำสุดท้ายแค่นเสียงออกมาอย่างเย็นเยียบยิ่ง

จั่วม่อในใจลอบคร่ำครวญอย่างหวนโหย ไปยังสถานที่ของอาจารย์ลุงรองเพื่อร่ำเรียนกระบี่ การปรนนิบัติเช่นนี้นับว่าสูงค่ามากในสำนักกระบี่สุญตา เป็นสิ่งที่ศิษย์ทุกคนเฝ้าใฝ่ฝันถึง หากเป็นในอดีตจั่วม่อย่อมต้องรีบพยักหน้าเห็นพ้องด้วยจนคอแทบหลุด...แต่บัดนี้...

มันนึกถึงผูเยาที่ยังเอนกายอย่างเกียจคร้านสุขสบายอยู่ในจิตสำนึกของมัน แล้วจากนั้นนึกถึงสายตาดุจคมกระบี่ของอาจารย์ลุงรอง......

จั่วม่อตัวเย็นเฉียบ รู้สึกเหมือนตกลงไปในหลุมน้ำแข็ง

มันยังคงจดจำวันนั้นได้แม่นมั่น นึกถึงฉากที่เจตจำนงกระบี่หิมะขาวของอาจารย์ลุงซินหยานผ่าครึ่งทะเลดำในราตรีที่มันพบพานผูเยาเป็นครั้งแรก แม้แต่อสูรปิศาจที่ทรงพลังเช่นผูเยายังไม่ใช่คู่มือของอาจารย์ลุงรอง หากอาจารย์ลุงรองค้นพบผูเยาในทะเลแห่งจิตสำนึกของมัน ชะตากรรมของมันเกรงว่าจะน่าอนาถถึงที่สุด!

สิ่งที่เป็นรางวัลล้ำค่าในสายตาผู้อื่น จั่วม่อกลับต้องคิดหาหนทางหลีกเลี่ยง

“ศิษย์...ศิษย์นี้อยากร่ำเรียนวิชาหลอมกลั่นโอสถกับซือฟู่......”

ก่อนที่จั่วม่อจะทันกล่าวจบ สือฟ่งหรงก็ขัดขึ้น “หลอมกลั่นโอสถก็คือหลอมกลั่นโอสถ ฝึกปรือกระบี่ก็คือฝึกปรือกระบี่ ไม่มีผู้ใดบอกว่าหลอมกลั่นโอสถหมายถึงไม่สามารถฝึกปรือกระบี่! อย่าได้กล่าวมากความและจงไปตามที่ข้าสั่ง!”

“แต่......”

“ฮึ่ม!” สือฟ่งหรงมองจั่วม่ออย่างกังขา “เจ้ามีปัญหาอันใด?”

ถูกทิ่มแทงด้วยสายตาของซือฟู่ จั่วม่อหัวใจแทบกระดอนออกมา อย่าให้ซือฟู่ระแคะระคายอะไร! มันรีบส่ายศีรษะเป็นพายุ “ไม่มี! ไม่มี!”

“หากไม่มีอะไร ก็ไปได้แล้ว!” สือฟ่งหรงโบกมือเร่งให้จั่วม่อรีบไป

ออกมาจากห้องหลอมกลั่นของท่านอาจารย์ จั่วม่อไม่สบายใจอย่างยิ่ง ในบรรดาผู้อาวุโสทั้งสี่ ผู้ที่มันกลัวพบหน้ามากที่สุดคืออาจารย์ลุงซินหยาน เมื่อใดที่อาจารย์ลุงซินหยานจ้องมองมัน จั่วม่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายสามารถมองมันจนทะลุปรุโปร่ง ไม่มีความลับใดแอบซ่อนสายตาของอาจารย์ลุงรองได้

แต่อุปสรรคนี้เห็นได้ชัดว่าไม่อาจหลีกหนีได้

จั่วม่อเดินทางไปยังที่พำนักของอาจารย์ลุงรองอย่างระมัดระวัง อาจารย์ลุงรองมีฝีมืออยู่สองอย่าง หนึ่งคือกระบี่ อีกหนึ่งคือวิชาหลอมสร้าง ศิษย์พี่เหวยเสิ้งได้รับการฝึกอบรมเป็นการส่วนตัวจากอาจารย์ลุงรอง หลัวหลีก็เคยได้รับการสอนสั่งจากมัน นอกจากนั้นศิษย์พี่สวี่อี้เป็นศิษย์เพียงคนเดียวของอาจารย์ลุงรองและร่ำเรียนวิชาหลอมสร้างจากมัน

จั่วม่อได้แต่จำใจมุ่งหน้าไปยังที่พำนักของอาจารย์ลุงรอง

อาจารย์ลุงรองอาศัยอยู่เพียงลำพังบนดอยมองอาทิตย์ นี่เป็นสถานที่ที่จั่วม่อไม่เคยย่างกรายมาก่อน เดินไปตามเส้นทางคดเคี้ยวบนภูเขา จั่วม่อทั้งระมัดระวังทั้งกระวนกระวาย ครั้นเมื่อไต่ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของดอยมองอาทิตย์ มันก็ตะลึงลาน

ยอดเขาแห่งนี้มีขนาดใหญ่โตกว้างขวางมาก แต่ท่ามกลางความกว้าง เห็นเพียงกระท่อมหญ้าขนาดเล็กตั้งอยู่อย่างเดียวดาย นอกจากนั้นแล้ว ต้นหญ้าสักชุ่นก็ไม่มีงอกออกมา

จั่วม่ออยู่ห่างจากกระท่อมหญ้าราวหนึ่งร้อยห้าสิบก้าว หนึ่งร้อยห้าสิบก้าวนี้มันเดินเข้าไปด้วยหัวใจเต้นระรัว เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็แทบจะหมุนตัวกลับแล้ววิ่งหนีไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้

เห็นใต้ฝ่าเท้ามัน ไม่มีพื้นที่สมบูรณ์แม้แต่ชุ่นเดียว อันที่จริงก็ไม่ใช่แค่ใต้ฝ่าเท้ามันเท่านั้น แต่เป็นยอดเขาทั้งยอดของดอยมองอาทิตย์ ไม่มีพื้นดินที่สมบูรณ์ดีแม้สักส่วนเสี้ยว มีแต่รอยแตกตัดไขว้ไปมาเหลือคณานับ พื้นดินทั้งหมดของดอยมองอาทิตย์ราวกับถูกไถพรวนอย่างหนักนับครั้งไม่ถ้วน

เมื่อก้าวขึ้นไปบนพื้นดินที่ถูกพลิกขึ้น จั่วม่อหัวใจดิ่งวูบ!

เจตจำนงกระบี่!

ผืนดินแตกๆ บนพื้นที่พลิกเปิดขึ้นใต้ฝ่าเท้ามันนี้ ประจุไว้ด้วยเจตจำนงกระบี่ที่เข้มแข็งแกร่งกร้าวถึงขีดสุด! พวกมันพลุ่งพล่านออกมา ราวกับกระหายจะตัดขาของจั่วม่อทิ้ง หรือไม่ก็อยากกระซวกเข้ามาในร่างมันโดยเจาะผ่านฝ่าเท้าขึ้นมาจากพื้นดิน รังสีสังหารอันเย็นยะเยียบบันดาลให้จั่วม่อขนหัวลุกซู่

จั่วม่อกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ ควบคุมแรงกระตุ้นอยากชักกระบี่ผลึกน้ำแข็งออกมาฟาดฟันตอบโต้ พลางกัดฟันสืบเท้ารุดไปข้างหน้า

ทีละก้าว ทีละก้าว!

เท้าของมันเหมือนเหยียบย่ำไปบนเคล็ดลับกระบี่มากมายเหลือคณา แต่ละก้าวระมัดระวังถึงขีดสุด

จั่วม่อยิ่งเดินยิ่งรู้สึกถึงแรงกระตุ้นไม่มีที่สุดสิ้นให้กระชากกระบี่ผลึกน้ำแข็งออกมา นี่เป็นปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณป้องกันตัว แต่ทุกครั้งมันเพียรยับยั้งตัวเองไว้!

พื้นดินผืนนี้ทั้งหมดปิดซ่อนเจตจำนงกระบี่มากมายนับไม่ถ้วน ทันทีที่มันเรียกกระบี่ผลึกน้ำแข็งออกมาจริงๆ นี่ไม่ผิดอันใดกับแหย่รังแตน! เจตจำนงกระบี่ที่หลบซ่อนอยู่เหล่านี้ จะพุ่งออกมารุมฉีกทึ้งมันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในบัดดล!

บัดซบ!

สถานที่ผีสางอะไรกันนี่!

 

กลุ่มถึงตอนที่ 106 แล้ว คลิก

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด