ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 02   ทักษะ [การทำบะหมี่]

ตอนที่ 01 โชคดีกลายเป็นร้าย  แล้วก็กลับตาลปัตร


 

ตอนที่ 01   โชคดีกลายเป็นร้าย  แล้วก็กลับตาลปัตร

 

ผู้แปล  :  ThreeSwords

ปรับสำนวน  :  ThreeSwords

 

 

“นี่ค่าจ้างเดือนนี้ของแก  ฉินฟาง  ตอนนี้แกก็ไปได้แล้ว...”

 

หลี่เฟิงพูดพร้อมกับโบกซองใส่เงินค่าจ้างของฉินฟางที่อยู่ในมือ  และกำลังมองดูฉินฟางซึ่งมีรูปร่างผอมแห้งเล็กน้อยที่อยู่ตรงหน้า  บนใบหน้าของหลี่เฟิงจากที่เห็นนั้นสีหน้าเต็มไปด้วยการเยาะเย้ยถากถาง  และดวงตาของเขาก็เผยให้เห็นถึงความรู้สึกพึงพอใจอย่างเลือนราง  แสดงว่าเขามีความสุขมากกับการไล่ฉินฟางออก

 

“หลี่เฟิง  ทำไมแกถึงต้องสร้างความลำบากให้กับฉันอย่างนี้ล่ะ?”

 

ฉินฟางถามพร้อมใบหน้าที่แดงด้วยความโกรธ  ขณะกำลังจ้องมองหลี่เฟิงที่อยู่ตรงหน้าเขา

 

มองไปยังใบหน้าที่หนุ่มและหล่อเหลาของหลี่เฟิงกับเสื้อผ้าแบรนด์เนมที่เขากำลังสวมใส่  ความโกรธของฉินฟางในตอนนี้ก็ยิ่งเพิ่มขึ้น  ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้สนิทชิดเชื้อแต่อย่างน้อยก็เป็นเพื่อนร่วมห้องเรียนเดียวกัน  กระทั่งอาจเป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยเดียวกันในอนาคต  แต่มันเห็นได้ชัดสำหรับทุกคนว่าหลี่เฟิงไม่ชอบหน้าฉินฟาง  และจงใจสร้างความลำบากให้กับฉินฟางในครั้งนี้

 

“ทำไมน่ะเหรอ?  ตัวแกเองก็น่าจะรู้ดี......”

 

หลี่เฟิงหัวเราะ  บางทีอาจเป็นเพราะที่โรงผลิตยังมีคนอื่นอยู่และคงไม่ใช่ความคิดที่ดีนักในการที่จะพูดจาด้วยถ้อยคำที่รุนแรงเกินไป  ดังนั้นหลี่เฟิงจึงทำเพียงเอ่ยคำพูดเย็นชาหนึ่งประโยคก่อนที่หันหลังและเดินจากไป  โดยมีผู้จัดการโรงผลิตแห่งนี้เดินตามเขาไปอย่างระรี้ระริกราวกับสุนัชเดินตามเจ้าของ

 

“ขอโทษนะฉินฟาง  พี่.....”

 

ซุนปิงเป็นผู้ควบคุมการฝึกอบรมและหัวหน้าคนงานของโรงผลิตแห่งนี้  ความสัมพันธ์ของเขากับฉินฟางนั้นค่อนข้างดี  เขาชื่นชมฉินฟางซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่ทำงานราวกับว่าชีวิตขึ้นอยู่กับมัน  พอรู้ว่าฉินฟางต้องประหยัดอดออมเป็นอย่างมาก  เขาก็มักจะหาข้ออ้างเพื่อเลี้ยงข้าวฉินฟางด้วยอาหารดีๆ  เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉินฟางถูกเพื่อนร่วมงานรังแกซุนปิงก็จะช่วยปกป้องเสมอ  แต่โชคร้ายว่าครั้งนี้ซุนปิงไม่มีทางเลือกและก็ไม่สามารถทำอะไรได้  มิฉะนั้นเขาเองก็จะสูญเสียงานที่จ่ายค่าแรงดีนี้ไป

 

“ซุนเกอ  ไม่ต้องพูดอะไรหรอกครับ  ผมเข้าใจดี”

 

ฉินฟางพยายามพูดปลอบใจซุนปิงพร้อมกับฝืนยิ้ม  ตอนหลี่เฟิงเดินจากไปใบหน้าที่โกรธขึ้งของฉินเฟิงก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง  เขาเข้าใจถึงภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของซุนปิงที่กำลังเผชิญและยังเคารพในซุนเกอผู้ซึ่งคอยใส่ใจดูแลเขาเสมอ

 

“ตอนนี้มีแผนที่จะทำอะไรต่อไปล่ะฉินฟาง?  วันเปิดเรียนของมหาวิทยาลัยใกล้เข้ามาแล้วนะ  เดิมพี่คาดว่าเธอจะมีเงินลงเรียนพอหลังเสร็จงานนี้  ใครล่ะจะคิดว่า... เจ้าสารเลวนั่นจะจงใจสร้างความลำบากให้เธอแบบนี้”

 

ซุนปิงรู้ถึงสถานการณ์ของฉินฟางในเวลานี้  ทันทีหลังจากที่เขาเสร็จสิ้นการสอบเข้าชั้นอุดมศึกษา  ฉินฟางก็มาเข้าทำงานที่โรงผลิตแห่งนี้  ในขณะที่การทำงานสิบสองชั่วโมงก็ถือได้ว่าเป็นการทำงานที่ชีวิตของคนๆ หนึ่งถูกแขวนอยู่บนเส้นด้ายแต่ฉินฟางกลับยืนยันที่จะทำงานวันละยี่สิบชั่วโมงในทุกๆ วัน  ส่วนเวลาที่เหลือนั้นถูกใช้ไปกับการกินนอนและทำธุระส่วนตัว  พูดง่ายๆ ว่าเวลาส่วนใหญ่ของเขาถูกใช้ไปกับการทำงาน

 

แม้ในช่วงเวลาที่เขาควรจะต้องทำการยื่นเอกสารเพื่อทำการเลือกมหาวิทยาลัยต่างๆ  ถ้าไม่ใช่เพราะซุนปิงช่วยเตือนความจำ  เขาก็คงจะลืมเรื่องนั้นไปแล้วจริงๆ

 

เพราะฉะนั้นเป็นธรรมดาที่ผลตอบแทนของฉินฟางจะสูงที่สุดจากตารางการทำงานอันบ้าคลั่งของเขา  เพียงแค่เดือนแรกค่าตอบแทนในการทำงานของเขาที่เป็นแรงงานไร้ฝีมือก็สูงจนเทียบได้กับคนงานที่มีผลงานยอดเยี่ยม  เพราะเหตุนี้ซุนปิงจึงได้เตรียมงานพิเศษที่มีผลตอบแทนสูงมาให้  ถ้าฉินฟางทำมันได้สำเร็จก็จะได้ค่าตอบแทนที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการเข้าเรียนของเขาทั้งหมด  แต่เงื่อนไขของงานนี้ค่อนข้างประหลาดอยู่บ้างเพราะจะได้รับเงินหลังจากทำงานครบตามสัญญาเท่านั้น  ถ้ายกเลิกกลางทางก็จะไม่ได้รับเงินแม้นเพียงเฟินเดียว

 

การทำงานเป็นไปอย่างราบลื่นตลอดทั้งขบวนการ  เพียงไม่กี่วันหลังจากนั้นฉินฟางก็ทำงานเสร็จไปมากกว่าครึ่งของสัญญาแล้ว  แต่ก็ไม่มีใครคิดเลยว่าหลี่เฟิงจะเข้ามายังที่ทำงานของฉินฟางและทำการร้องขอผู้จัดการโรงผลิตให้ไล่ฉินฟางออก

 

โรงผลิตที่ตั้งโดยไม่ถูกต้องตามกฏหมายแบบนี้เห็นได้ชัดว่าไม่มีหลักประกันใดๆ  ถ้าเจ้านายขอให้ไปคุณก็ต้องไป  อันที่จริงแล้วที่นี่ก็ถือว่าไม่เลวร้ายเพราะยังจ่ายค่าจ้างให้เต็มจำนวน

 

“ลืมมันไปซะ  ไม่ต้องพูดอะไรเกี่ยวกับมันอีกแล้ว  พี่ไม่เชื่อว่าคนเป็นจะสามารถกลั้นปัสสาวะจนตายได้” (เป็นสุภาษิตจีนที่มีความหมายว่า  ปัญหาทั้งหมดนั้นถ้าคิดหาหนทางและไม่ยอมสิ้นหวังก็ย่อมมีวิธีการแก้ไข)

 

ฉินฟางรู้สึกสะท้อนใจเบาๆ  งานนี้เป็นทางหาเงินได้เร็วที่สุดเท่าที่เขาคิดออก  พอนึกถึงว่าตัวเขานั้นเพิ่งเรียนจบมอปลาย  ซึ่งตามมาตรฐานของสังคมแล้วยังถือว่าเป็นเยาวชนอยู่  ทำให้ยากที่จะหางานที่ทำเงินได้เร็วกว่านี้อย่างไรก็ตามฉินฟางไม่เคยลดตัวลงไปก่ออาชญากรรมอย่างเช่นการลักเล็กขโมยน้อย  แต่เขาก็รู้ว่าวันนี้จะต้องมาถึงและด้วยสถานการณ์ในตอนนี้  เขาไม่มีทางเลือกได้แต่หาวิธีอื่นที่สามารถทำเงินได้เร็วๆ แทน

 

หลังจากที่ทั้งสองยืนคิดใคร่ครวญกันอยู่สักพัก  ซุนปิงก็ดันฉินฟางไปด้านข้างและพูดเบาๆ ว่า

 

“ฉินฟาง  เอาอย่างนี้ไหม... พี่มีคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะเก่าที่สามารถเอากลับไปใช้ได้  เธอเองก็เพิ่งจะทำไปได้ครึ่งทางของเวลางาน  คิดดูแล้วยังพอมีเวลาเหลืออยู่แต่เธอคงรู้สึกประหม่าอยู่บ้าง  แต่ด้วยความสามารถของเธอแล้วน่าจะทำมันให้สำเร็จได้”

 

“เรื่องนี้...”

 

ฉินฟางรู้สึกลังเลในทันทีหลังจากได้ยินคำแนะนำของซุนปิง  ความคิดของซุนปิงไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้  ถึงแม้ว่าระดับความยากจะค่อนข้างสูง  ฉินฟางก็เชื่อมั่นว่าสามารถทำมันได้สำเร็จ  เขาต้องฟันฝ่าด้วยตัวเอง

 

ตอนที่การสอบเข้าชั้นอุดมศึกษาสิ้นสุดลง  เขามาพร้อมกับข้ออ้างที่ว่าพ่อของเพื่อนร่วมชั้นหางานให้ซึ่งจะช่วยทำเงินได้หลายพันหยวน  และต่อให้เงินที่ได้ไม่เพียงพอกับค่าเล่าเรียนอย่างน้อยมันก็จะช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัว  เพียงแค่ใช้ข้ออ้างนี้ฉินฟางก็จัดการกล่อมแม่ของเขาให้ยอมปล่อยออกมาทำงานข้างนอก

 

ถ้านี่เป็นเวลาที่เขาต้องกลับบ้าน  แม่ของเขาที่ไม่ได้รู้เรื่องราวก็จะพบเห็นความผิดปกติ  ฉินฟางไม่อยากให้แม่กังวลเกี่ยวกับตัวเขามากเกินไป  เพราะฉะนั้นแล้วเขาจะต้องทำตามคำแนะนำของซุนปิงให้สำเร็จ  ซึ่งแน่นอนว่ามันยากลำบากกว่างานปกติที่เขาทำก่อนหน้านี้

 

ซุนปิงตบไหล่ฉินฟางเบาๆ แล้วพูดว่า

 

“เธอตัดสินใจด้วยตัวเองล่ะกัน  แต่พี่คิดว่านี่เป็นหนทางเดียวที่เป็นไปได้ในตอนนี้!”

 

ซุนปิงเข้าใจความยากลำบากของฉินฟาง  จึงคอยดูแลเอาใจใส่ลูกน้องคนนี้ของเขาจริงๆ  ดังนั้นเป็นธรรมดาที่คำแนะนำของเขาจะเป็นที่สนใจของฉินฟางมาก

 

“ได้ครับ  ผมจะลองคิดดู”

 

หลังจากใคร่ครวญอย่างรอบคอบ  ดูเหมือนว่านี่จะเป็นหนทางเดียวในการหาเงินค่าเล่าเรียนของเขาได้จริงๆ  และด้วยการช่วยเหลือเป็นการภายในของซุนปิง  เขาก็ถือเครื่องคอมพิวเตอร์เก่าที่ผ่านการใช้งานมาแล้วหลายรุ่นออกจากที่ทำงานตรงไปยังห้องพักที่เช่าอยู่เป็นการชั่วคราว

 

***********

 

เพียงแต่ไม่ไกลจากโรงผลิตมีรถเมอร์เซเดส-เบนซ์สีดำกับรถมินิบัสจอดอยู่ข้างกัน  ซึ่งภายในรถมินิบัสมีคนอยู่สองสามคนที่คุณสามารถบอกได้ว่าเป็นพวกเด็กแก๊งค์โดยแค่ชำเลืองมอง  ข้างในรถเมอร์เซเดส-เบนซ์จะพบว่ามีคนอยู่สองคน  คนแรกคือหลี่เฟิงที่ทำให้ฉินฟางถูกไล่ออกได้สำเร็จ  ส่วนคนที่สองเป็นผู้ชายท่าทางดุร้ายและมีใบหน้าอันป่าเถื่อนที่แขนมีรอยสักเป็นรูปมังกรสีน้ำเงิน

 

ขณะที่พวกเขากำลังมองร่างของฉินฟางที่แบกเครื่องคอมพิวเตอร์เก่าเดินลับไปไกล  ดวงตาของหลี่เฟิงก็เปล่งประกายมุ่งร้ายและพูดกับชายร่างกำยำดุร้ายที่อยู่ข้างเขาในทันที

 

“หลงเกอ  เห็นเจ้าเด็กนั่นไหม?  กระทืบมันให้ผมหน่อย  มันจะดีมากถ้าพี่หักแขนหรือขาของมัน  ตราบเท่าที่พี่ไม่ได้ฆ่ามัน”

 

“ใจเย็นไว้นายน้อยเฟิง  ไม่ว่าอะไรที่คุณขอให้ผมทำ  แน่นอนว่าหลงเกอคนนี้จะสนองให้อย่างสาสม  เป็นที่น่าพึงพอใจ...”

 

ชายร่างกำยำยิ้มกว้างและหัวเราะด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความมุ่งร้ายเกินพรรณนา  ต่อหน้าการแสดงเช่นนี้หลี่เฟิงจึงเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกพึงพอใจสุดจะบรรยาย

 

“ลองมาดูกันว่าแกจะต่อต้านข้าต่อไปยังไง  ฉินฟาง......”

 

ขณะที่หลี่เฟิงมองดูหลงเกอนำสมุนแอบตามฉินฟางที่กำลังถือของไปอย่างช้าๆ  เขาก็สั่งให้คนขับรถค่อยๆ ขับตามไปโดยจงใจรักษาระยะห่างด้วย

 

กับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเบื้องหลังฉินฟางไม่ทันได้รู้ตัวโดยสิ้นเชิง  อารมณ์ของเขาไม่ค่อยจะดีนักแต่พอคิดว่าสถานการณ์ยังไม่ได้ถูกบีบบังคับจนไม่มีทางไปจึงได้ทุเลาลง  ตอนนี้เขากำลังเดินผ่านซอยเล็กๆ ซึ่งเป็นทางลัดกลับไปยังที่พักก็เลยเดินเลี้ยวเข้าไปโดยไม่ลังเล

 

นี่เป็นโอกาสทองที่ชายร่างกำยำและเหล่าสมุนรอคอยมาตลอดเวลา  แม้ว่าพวกมันจะเป็นพวกอันธพาลและการทะเลาะวิวาทเช่นนี้ถือเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้น  มันก็คงไม่ใช่ความคิดที่ดีที่จะทำเรื่องพวกนั้นบนท้องถนน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกมันวางแผนที่หักแขนหักขาทั้งสองข้างของฉินฟาง  ซอยเล็กๆ สายนี้จึงเป็นสถานที่เหมาะสมมากที่สุดในการลงมือ

 

ตอนแรกพวกมันวางแผนบีบบังคับให้ฉินฟางเข้าไปในซอยเพื่อลงมือ  แต่ไม่คาดว่าฉินฟางจะเดินเข้าไปในนั้นด้วยตัวเอง  หลงเกอส่งสัญญาณผ่านทางสายตาไปยังเหล่าสมุนที่อยู่ด้านข้างให้เริ่มเข้าขนาบฉินฟางในทันที

 

จังหวะก้าวเดินของฉินฟางไม่ได้รีบร้อน  เครื่องคอมพิวเตอร์ในมือเขาไม่ได้หนักแต่ก็ไม่ได้เบาเช่นกัน  ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างเหนื่อยหลังจากเดินมาเป็นเวลานาน  ไม่คาดคิดว่าจะมีคนมาปิดทางเดินข้างหน้า  แต่พิจารณาจากลักษณะภายนอกของสองคนที่มาขวางทางเขาแล้ว  เสื้อเชิ้ตตารางสี่เหลี่ยมดอกไม้  ย้อมผมสีเขียว  จึงสามารถ  บอกได้จากที่เห็นว่าเป็นพวกอันธพาล  แม้ว่าพวกมันจะหอบหายใจแต่ท่าทางที่มีต่อฉินฟางนั้นไม่เป็นมิตรเลย

 

แทบจะเป็นสัญชาตญาณ  ฉินฟางแอบบีบซองจดหมายที่อยู่ในกระเป๋าซึ่งข้างในซองมีเงินค่าจ้างของเดือนนี้  ถ้าถูกใครบางคนแย่งมันไปแล้วล่ะก็... ฉินฟางไม่กล้าที่จะคิดตามอีกต่อไป  เขาดันร่างไปติดกำแพงตั้งใจที่จะผ่านคนที่มาปิดล้อมโดยแนบไปกับผนัง

 

อย่างไรก็ตามหลังจากหอบหายใจอยู่สักพัก  พวกอันธพาลก็ฟื้นตัวเล็กน้อยและเห็นฉินฟางกำลังพยายามไถลผ่านโดยแนบไปกับกำแพง  พวกมันเข้ามาพิงที่ผนังในทันทีและยิ้มให้กับฉินฟาง  ในขณะเดียวกันก็หยิบแท่งไม้จากข้างทางและลองเหวี่ยงไปมาอยู่สองสามครั้งเพื่อแสดงอาการข่มขู่

 

ท่าจะไม่ดีแล้ว!

 

หัวใจของฉินฟางเต้นแรงในทันที

 

เขาก้มหัวลงตามสัญชาตญาณและพยายามเดินกลับไปทางที่เดินมา  แต่เมื่อเขาหันหลังกลับไปก็เห็นชายร่างกำยำใบหน้าดุร้ายพาลูกสมุนสองคนเดินตรงมาที่เขา  ชายร่างกำยำมามือเปล่าแต่คนของเขาถืออาวุธอยู่มือ

 

“พวกแก... ต้องการอะไร?”

 

ท้ายที่สุดแล้วฉินฟางก็ยังเป็นเด็กที่เพิ่งเรียนจบมอปลาย  และด้วยผลการเรียนกับความประพฤติที่ดีของเขาจึงไม่เคยได้พบปะกับพวกอันธพาลมาก่อน  เมื่อรู้สึกว่าถูกข่มขู่จึงรู้สึกกลัว  เสียงของเขาสั่นสะท้านและสีหน้าก็แสดงถึงความหวาดกลัว

 

“ข้าต้องการอะไรน่ะเหรอ?”

 

ชายร่างกำยำยิ้มเยาะและโบกมือพร้อมกับตะโกนว่า  “อัดมัน!”

 

*ผัวะ*

 

ยังไม่ทันมีโอกาสได้ตอบสนอง  หลังของฉินฟางก็ถูกฟาดด้วยแท่งไม้จนทำให้รู้สึกปวดแสบปวดร้อน  เขาโยนของที่อยู่ในมือลงบนพื้นและในเวลาเดียวกันนั้นก็ทำการเอียงไหล่  พยายามลดแรงปะทะของแท่งไม้

 

*ผัวะ*

 

แต่โชคร้ายที่ว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับพวกอันธพาลที่จะจบลงด้วยการตีแค่หนึ่งที  แท่งไม้อีกอันหนึ่งได้ฟาดลงบนร่างของฉินฟางทำให้เขาเจ็บปวดเหลือคณาอีกครั้ง  ไม่เพียงเท่านั้นด้วยการนำของหลงเกอ  พวกลูกสมุนที่เหลือจึงได้เริ่มทำการซ้อมฉินฟางทั้งชกทั้งเตะ

 

“แมร่งเอ้ย!”

 

ต่อให้เป็นพระพุทธองค์ก็คงจะพิโรธถ้าถูกยั่วยุมากพอ  แล้วนับประสาอะไรกับปุถุชนคนธรรมดาล่ะ?  ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำหรับฉินฟางเป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้ตัวเองถูกซ้อมโดยไม่ขัดขืน  เขากู่ร้องขึ้นมาในทันทีและใช้มือทั้งสองข้างยกเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะเหวี่ยงตรงไปที่หัวของหลงเกอที่ยืนอยู่ใกล้ตัวเขามากที่สุด  ซึ่งถ้ามันกระทบถูกแล้วแน่นอนว่าหัวของหลงเกอน่าจะแตกในทันที

 

“หลงเกอ......”

 

อันธพาลคนหนึ่งที่มีสายตาเฉียบแหลมตะโกนเตือนหลงเกอ  และในขณะเดียวกันก็เหวี่ยงแท่งไม้ในมือของมันตรงไปยังฉินฟางโดยไม่ทันได้ยั้งคิด  ซึ่งแรงที่ใช้หวดในครั้งนี้รุนแรงมากเกินกว่าที่มันจะควบคุมได้

 

*ผัวะ*

 

ฉินฟางที่กำลังจะฟาดใครบางคนด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์เกิดอาการเซ  แท่งไม้ที่มาจากทางด้านหลังนั้นตรงเข้าไปปะทะที่หลังศีรษะของเขาอย่างรุนแรง  จู่ๆ ฉินฟางก็รู้สึกว่าท้องฟ้ากับแผ่นดินกำลังปั่นป่วนและในทันทีหลังจากนั้นเขาก็หมดสติ  เครื่องคอมพิวเตอร์ในมือและศีรษะของฉินฟางกระแทกลงกับพื้นดิน  เลือดไหลรินออกมาจากบาดแผลเหมือนกับสายน้ำ........

 

“พวกเราฆ่าคนตาย!”

 

เมื่อเผชิญกับภาพเหตุการณ์เช่นนี้  พวกอันธพาลสะดุ้งตกใจเป็นอย่างมาก  หนึ่งในพวกมันที่มีขวัญกล้าเข้าไปตรวจลมหายใจของฉินฟาง  และเมื่อพบว่าเขาไม่หายใจแล้วมันจึงหันกลับมาพูดด้วยใบหน้าที่ซีดและตกใจว่า

 

“เจ้าเด็กนี่ตายแล้ว?”  มันแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่พูด

 

กระทั่งหลงเกอก็ตกใจสุดขีดจนดูไม่เหมือนคนที่สั่งลงมือ  ให้ซ้อมผู้คนงั้นเหรอ?  ด้วยความยินดี  แต่ให้ฆ่าคน?  เขาไม่ได้มีความกล้ามากขนาดนั้นจริงๆ

 

เมื่อหลงเกอมองไปรอบๆ ซอยยกเว้นบริเวณที่ลูกสมุนสองคนยืนเฝ้าตรงทางเข้า  พบว่ายังไม่มีใครสังเกตเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่นี้  ตอนนี้เขาไม่สนใจแล้วว่าจะได้หักแขนหักขาของฉินฟางหรือไม่  หลงเกอรีบออกคำสั่งในทันทีด้วยเสียงแผ่วๆ ว่า  “รีบไปกันเร็ว... เอาเจ้าเด็กนั่นไปด้วย”

 

เป็นธรรมดาที่ไม่มีเสียงคัดค้านจากเหล่าลูกสมุน  การฆาตกรรมเปรียบเทียบไม่ได้กับการก่ออาชญากรรมเล็กๆ น้อยๆ เช่น การลักขโมยหรือทะเลาะวิวาท  ในช่วงพริบตาพวกมันก็วิ่งหนีออกไปจากพื้นที่เกิดเหตุ  และทิ้ง ‘ศพ’ ของฉินฟางไว้ในซอยที่สงบเงียบและไม่มีผู้คน

 

แม้ว่าหลงเกอกับพวกจะหลบหนีไปด้วยความตื่นตระหนก  แต่หลี่เฟิงซึ่งนั่งอยู่ในรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่จอดตรงทางเข้าซอยก็ยิ้มสะใจไปยังทิศทางที่มีร่างของฉินฟางนอนอยู่  ตอนที่เห็นพวกหลงเกอรีบวิ่งจากไปเขาก็รู้แล้วว่าเหตุการณ์นั้นบานปลาย  ถึงขนาดพวกอันธพาลอย่างหลงเกอไม่กล้าทำอะไรอีกต่อไป

 

เลือดยังคงไหลริน

 

และไหลไปรอบๆ เครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะจากนั้นลอดผ่านเข้าไปในเคสซิ่ง  เลือดสีแดงสดใสของฉินฟางค่อยๆ ทำให้เมนบอร์ด ฮาร์ดไดรฟ์ การ์ดจอ... เปียกชุ่ม

 

ทันใดนั้นประกายแสงสีฟ้าอ่อนก็ปรากฏขึ้นจากองค์ประกอบหนึ่งภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ  ราวกับว่ามันมีชีวิต  ประกายแสงเริ่มจากเครื่องคอมฯ ไปยังสมองของฉินฟางผ่านทางรอยเลือดก่อนที่มันจะหายไปอย่างไร้ร่องรอยในที่สุด

 

และในเวลาเดียวกันนั้น  ลมหายใจของฉินฟางที่ได้หยุดนิ่งไปแล้วก็เริ่มฟื้นคืนมาอย่างช้าๆ .....

 

 

-----------------------------------

 

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด