ตอนที่แล้วตอนที่ 01 โชคดีกลายเป็นร้าย  แล้วก็กลับตาลปัตร
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 03   ค่าประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

ตอนที่ 02   ทักษะ [การทำบะหมี่]


ตอนที่ 02   ทักษะ [การทำบะหมี่]

 

ผู้แปล  :  ThreeSwords

ปรับสำนวน  :  ThreeSwords

 

 

“นายฟื้นแล้วเหรอ?”

 

เมื่อฉินฟางได้สติก็มีเสียงดังก้องใกล้หูเขา  เสียงนั้นเป็นของหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งฟังแล้วคุ้นมากๆ เหมือนกับของ...

 

“ถังเฟยเฟยงั้นหรือ?”

 

ขณะที่เขากำลังปรับสายตาให้เข้ากับความสว่างโดยรอบ  สุดท้ายฉินฟางก็รู้ว่าใครเป็นเจ้าของเสียงนั่น  ไม่คาดคิดเลยว่าจะเป็นประธานนักเรียนชั้นมอปลาย  เธอคือสาวงามที่เลื่องชื่อด้วยรูปโฉมอันเฉิดฉายเป็นอย่างมากราวกับว่าเธอเป็นเจ้าหญิงโดยแท้จริง

 

และแน่นอนว่าหลังจากนี้ครึ่งเดือน  เธอก็จะกลายเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนกับฉินฟางอีกครั้งหนึ่ง  ถ้าเขารวบรวมค่าเล่าเรียนได้เป็นผลสำเร็จ

 

ฉินฟางกับถังเฟยเฟยมีความสัมพันธ์กันค่อนข้างดีและก็มีผลการเรียนที่ดีเหมือนๆ กัน  ระหว่างที่เรียนปีสุดท้ายของระดับชั้นมอปลาย  พวกเขามักจะถกโจทย์ปัญหาที่ยุ่งยากด้วยกัน  ก็เลยมี็บางคนแซวพวกเขาว่ากำลังเป็นแฟนกัน  อย่างไรก็ตามตัวฉินฟางเองกลับมุ่งเน้นไปในเรื่องการศึกษาและไม่ได้ให้ความสนใจกับสิ่งอื่น

 

“ในที่สุดนายก็ฟื้น!  ตอนนี้ฉันก็วางใจได้แล้ว!”

 

ตอนที่เสียงของถังเฟยเฟยดังขึ้นอีกครั้ง  ฉินฟางที่เพิ่งรู้สึกตัวก็ฟื้นคืนสติกลับมาเต็มที่  ดังนั้นจึงได้เห็นภาพถังเฟยเฟยที่น่ารักและมีเสน่ห์กำลังเอามือที่ขาวสะอาดและอ่อนนุ่มของเธอตบเบาๆ ที่หน้าอกขนาดพอเหมาะด้วยท่าทางโล่งอก  ถึงแม้หน้าอกคู่นั้นจะไม่ได้สั่นไหวมากนักแต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ฉินฟางรู้สึกวอกแวกและลมหายใจกลายเป็นไม่สม่ำเสมอ

 

ฉินฟางรู้สึกประหลาดใจกับปฏิกิริยาตอบสนองและหน้าที่แดงของเขาก่อนที่จะรีบร้อนหันหน้าหนี  หลังจากมองดูสถานที่ที่อยู่ในตอนนี้  เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกว่าตัวเองอยู่ในห้องที่เช่าไว้ไม่ใช่โรงพยาบาล

 

ได้รับบาดเจ็บเป็นเรื่องหนึ่งแต่ถ้าเขาต้องเข้าโรงพยาบาลแล้ว  ค่าแรงเดือนหนึ่งของเขาคงไม่เพียงพอที่จะจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้  และแน่นอนว่าตัวเขาเองก็ไม่ต้องการให้ถังเฟยเฟยจ่ายแทนด้วย

 

อย่างไรก็ตามเมื่อไม่ต้องกังวลกับค่ารักษาพยาบาล  เขารีบเอามือยัดเข้าไปในกระเป๋าและพบว่าซองใส่เงินยังอยู่จึงถอนหายใจโล่งอกในทันที  ในขณะเดียวกันเขาก็ลุกออกจากเตียงและน่าแปลกที่ไม่ได้คิดถึงเรื่องที่เขาถูกซ้อมภายใต้เงื้อมมือของพวกอันธพาลก่อนหน้านี้

 

ตอนที่ถังเฟยเฟยเห็นฉินฟางกำลังลุกขึ้นจากที่นอน  เธอก็พูดในทันทีว่า

 

“นายเพิ่งจะฟื้นไข้  ต้องนอนพักให้มากกว่านี้!”

 

“ผมสบายดีแล้ว...”

 

ฉินฟางรู้สึกงุนงงเล็กน้อยว่าเขาน่าจะได้รับบาดเจ็บ  แต่ร่างกายของเขากลับสมบูรณ์ดีและหลังจากที่เดินไปสองสามก้าวก็ไม่พบความผิดปกติของร่างกาย  หลังจากนั้นจู่ๆ เขาก็นึกอะไรได้บางอย่างและถามด้วยท่าทางแปลกใจสงสัยว่า  “เธอเป็นคนช่วยผมไว้งั้นเหรอ?”

 

“ไม่ใช่ฉันหรอก...”

 

ถังเฟยเฟยส่ายหน้า  “เซี่ยวหนิงเจียเป็นคนช่วยไว้ตอนที่เห็นนายนอนหมดสติอยู่ในซอย  บังเอิญว่าพี่เค้าเคยเห็นรูปนายที่บ้านฉันก่อนหน้านี้เลยจำได้ว่าเป็นเพื่อนที่โรงเรียน  จากนั้นก็โทรเรียกฉันมาให้คอยช่วยดูแล...”

 

“ขอบใจนะ!”

 

ถึงแม้ว่าฉินฟางจะตะลึงงันอยู่บ้าง  แต่ก็ยังเอ่ยปากขอบคุณและยกมือขึ้นไปแตะที่หน้าผากของเขา  ไม่มีร่องรอยการบาดเจ็บ...  ตอนที่ถูกกระแทกตรงด้านหลังศีรษะและมีสติแค่ครึ่งเดียว  เขารู้สึกได้รางๆ ว่าตรงหน้าผากของเขาเจ็บมากและน่าจะมีบาดแผล  อย่างไรก็ตามในตอนนี้เขาไม่รู้สึกถึงร่องรอยของบาดแผลและหน้าผากของเขาก็ยังคงเรียบเนียนและไร้มลทินเหมือนก่อน

 

“หรือว่าผมจำผิดไปนะ?  น่าจะใช่ล่ะมั้ง!”

 

ฉินฟางเองก็ไม่แน่ใจในช่วงเวลานั้น  เพราะเขาอยู่ในสภาพที่มึนงงและแทบจะไม่ได้สติ  ดังนั้นภาพหลอนที่เกิดขึ้นอาจเป็นผลอันเนื่องมาจากถูกฟาดด้วยแท่งไม้ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย

 

จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นอีกรอบเพื่อทำการสัมผัสที่ด้านหลังของศีรษะ....  ไม่มีความเจ็บปวด!

 

ฉินฟางรู้สึกสับสนงุนงงมากขึ้น  หน้าผากของเขาไม่มีบาดแผลยังพออธิบายได้  แต่เขามั่นใจเป็นอย่างมากว่าถูกตีที่ด้านหลังศีรษะ  เพราะถ้าไม่ใช่อย่างนั้นแล้วเขาก็ไม่น่าจะนอนหมดสติในคราวแรก  ทว่าในตอนนี้ไม่มีแม้กระทั่งเสี้ยวของความรู้สึกเจ็บปวด!

 

*จ๊อกๆ จ๊อกๆ ~*

 

ขณะที่ฉินฟางกำลังตกใจเรื่องความเจ็บปวดที่หายไป  เสียงร้องแปลกๆ ก็ดังขึ้นมาเป็นชุดแต่มันก็ถูกฉินฟางสังเกตเห็นได้ในทันที  และเมื่อเขาตามหาแหล่งที่มาของเสียงก็เจอถังเฟยเฟยที่หน้าแดงก่ำ  ใบหน้านวลขาวนั้นแดงราวกับผลแอบเปิ้ลที่สุกงอม  กระตุ้นให้ผู้คนอดรนทนไม่ได้ที่จะขม้ำ

 

“ฉินฟาง  มันค่อนข้างเย็นมากแล้ว  ฉันควรที่จะกลับ...”

 

ใบหน้าของถังเฟยเฟยแดงสดใสด้วยความอับอาย  เธอมาอยู่ดูแลฉินฟางตั้งแต่เช้าจนกระทั่งไม่มีเวลาทานข้าวเที่ยง  และตอนนี้ก็เกือบที่จะเย็นแล้วแสดงว่าเธอไม่ได้กินอะไรเลยมานานกว่าครึ่งวัน  ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เธอจะรู้สึกหิว  แต่สุดท้ายแล้วเธอก็ยังเป็นเพียงแค่เด็กผู้หญิง  การแสดงกิริยาที่น่ากระอักกระอ่วนเช่นนี้ต่อหน้าเด็กผู้ชายทำให้เธอรู้สึกเคอะเขินมาก

 

“ถังเฟยเฟย  เธอมาอยู่ดูแลผมตลอดทั้งวันแต่ผมยังไม่รู้ว่าจะแสดงความขอบคุณเธอได้ยังไงเลย  ทำไมไม่อยู่ทานข้าวที่นี่ก่อนกลับไปล่ะ?”

 

ถึงแม้ว่าฉินฟางจะไม่ใช่คนประเภทที่มีความช่ำชองในการเอาอกเอาใจสาวๆ  แต่ก็ไม่ใช่คนที่หยาบกระด้างด้วยเช่นกัน  เขาจึงเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นได้ในทันทีและได้เชื้อเชิญเธอให้อยู่ทานข้าวด้วยกันสักมื้อเพื่อเบี่ยงประเด็น

 

“ทานข้าวที่นี่?”

 

พอถังเฟยเฟยได้ยินก็แปลกใจไปชั่วขณะและจากนั้นเธอก็มองสำรวจห้องของฉินฟาง  ถึงแม้มันจะสะอาดแต่ก็มีของอยู่ไม่มากนักเมื่อเปรียบเทียบกับห้องพักโดยทั่วไป  มีแค่เพียงเตียงหลังเล็กกับโต๊ะอ่านหนังสืออยู่เท่านั้น

 

ฉินฟางไม่ได้รู้สึกอับอายอะไร  เพราะเคยชินกับสภาพความเป็นอยู่แบบนี้มานานแล้วและก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจเกี่ยวกับเรื่องนี้  เขาจึงพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า

 

“ห้องของผมค่อนข้างเรียบง่ายแต่ก็มีห้องครัวส่วนกลางให้ใช้งาน  คิดว่ามันน่าจะยังมีผักเหลืออยู่บ้าง  ผมว่าจะทำอะไรสักอย่างให้เธอทาน!”

 

“นายรู้วิธีการทำอาหารด้วย?”

 

ถังเฟยเฟยรู้สึกประหลาดใจแต่ก็ยิ้มและพูดในทันทีว่า  “ถ้ายังงั้นฉันต้องลองชิมมันด้วยตัวเองซะแล้ว  อย่าทำให้ผิดหวังเชียวนะ!”

 

“อืม  ฝีมือการทำอาหารของผมถือว่าพอใช้ได้เลยล่ะ!”

 

ฉินฟางพยักหน้าจากนั้นก็ลุกขึ้นและเดินออกไปจากห้องตรงไปที่ห้องครัวในทันที  ถังเฟยเฟยจ้องมองอยู่สักพักก่อนตัดสินใจที่จะรออยู่ในห้อง

 

ห้องที่ฉินฟางเช่าอยู่แน่นอนว่าเป็นเพิงที่ราคาถูกที่สุด  ในเมืองที่มีความเจริญเช่นนี้บริเวณที่ฉินฟางอาศัยอยู่ถือว่าเป็นสลัม  สำหรับที่นี่พวกบ้านชั้นเดียวหรืออพาร์ทเมนท์ล้าสมัยหลายแห่งล้วนมีห้องครัวร่วมกัน

 

ตอนที่ฉินฟางเข้าไปในห้องครัว  เขาเห็นฟ่านเจี่ยเจียซึ่งเป็นเพื่อนบ้านกำลังทำอาหารอยู่  เมื่อเธอเห็นเขาเดินเข้ามาก็กระทำตัวราวกับหนูเจอแมว  กระทั่งร่างกายที่อวบอ้วนก็สั่นเล็กน้อย  ขณะที่ฉินฟางกำลังเดินตรงไปที่ตู้กับข้าว  สีหน้าของฟ่านเจี่ยเจียดูเหมือนจะซีดลงและกัดฟันพูดออกมาว่า

 

“เสี่ยวฉิน  ขอฉันบอกอะไรเธอหน่อย!”

 

“อะไรหรือครับ  ฟ่านเจี่ยเจีย?”

 

สำหรับน้าผู้หญิงวัยสามสิบกว่าปีคนนี้  ฉินฟางไม่ค่อยคุ้นเคยกับเธอเท่าไหร่นัก  อย่างไรก็ตามเธอมีชื่อเสียงที่ไม่ดีในเรื่องชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านและเอารัดเอาเปรียบคนอื่น  ดังนั้นทุกคนจึงได้พยายามหลีกเลี่ยงราวกับเธอเป็นโรคระบาดเพราะกลัวว่าเธอจะหาประโยชน์จากพวกเขา  มีข่าวลือว่าสามีของเธอก็ทนพฤติกรรมไม่ไหวซึ่งนั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมเขาถึงหย่าขาดกับเธอ

 

อย่างไรก็ตามเธอทำตัวเป็นมิตรกับฉินฟาง  ทุกครั้งที่เจอกันเธอก็จะทักทายฉินฟางด้วยรอยยิ้ม  ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ในหอพักที่ทำหน้าเย็นชาใส่เขา

 

“คือว่า...... พี่ลืมไปซื้อผักเมื่อเช้านี้  ตอนเที่ยงก็เลยเอาผักของเธอมาใช้.......”

 

ฟ่านเจี่ยเจียพูดด้วยน้ำเสียงลุแก่โทษ  ใบหน้าแสดงให้เห็นถึงความเสียใจและตาเรียวเล็กของเธอก็หยีเพิ่มขึ้นจนแทบจะมองไม่เห็น  แต่ก็ยังปรากฏแววตาที่ประหลาดพิกลขึ้นมาแวบหนึ่ง

 

ฉินฟางรู้สึกตกใจเล็กน้อยในทีแรกแต่จากนั้นก็หัวเราะอย่างขมขื่น  เขารู้ว่าเธอนั้นชอบที่จะเอาเปรียบคนอื่น  แต่เป็นเพราะว่าเธอไม่เคยฉวยโอกาสกับเขามาก่อน  จึงทำให้ไม่คาดคิดว่าเธอจะเอารัดเอาเปรียบเขาในครั้งนี้

 

“ถ้าใช้ไปแล้วก็ช่างมันเถอะครับ  เรื่องเล็กน้อย!”

 

อย่างไรก็ตามฉินฟางก็ไม่รู้จะพูดอะไรกับเธอต่อดี  ทำได้เพียงแต่ฝืนยิ้มและเตรียมที่จะหันหลังเดินกลับไป

 

“เอ่อ  เสี่ยวฉิน......”

 

ขณะที่ฉินฟางกำลังหันหลังเดินจากไป  ฟ่านเจี่ยเจียก็ร้องเรียกเขาในทันทีว่า  “ถึงจะไม่มีผักเหลือเลยแต่เนื่องจากวันนี้พี่ทำเกี๊ยวเป็นอาหาร  ก็เลยมีแป้งโดว์ที่ผสมไว้สำหรับทำเกี๊ยวเหลืออยู่  และถ้าเธอไม่เกี่ยงว่าผักพวกนั้นได้ถูกทำเป็นไส้เกี๊ยวไปแล้ว......ก็นำมันไปใช้ได้เลย!”

 

บางทีเธออาจจะรู้สึกเสียใจจริงๆ ก็ได้  เพราะเธอที่ปกติแล้วเป็นคนขี้เหนียวได้กลับกลายมาเป็นคนใจกว้าง เหมือนกับพระจันทร์เต็มดวงที่จะเกิดขึ้นเดือนละหนึ่งครั้ง  ได้มอบแป้งโดว์ที่ใช้ทำเกี๊ยวก้อนใหญ่ให้กับฉินฟาง

 

“ขอบคุณมากครับ!”

 

หลังจากลังเลอยู่สักพักสุดท้ายฉินฟางก็รับแป้งโดว์ก้อนใหญ่เอาไว้  เพราะในเวลานี้การออกไปซื้อผักเพื่อมาทำอาหารก็ดูจะเป็นไปไม่ได้อีกด้วย  ด้วยแป้งโดว์ก้อนใหญ่กับไส้เกี๊ยวที่ฟ่านเจี่ยเจียให้ไว้นั้นการปรุงเกี๊ยวมารับประทานน่าจะทำได้ง่าย

 

หลังจากให้วัตถุดิบในการปรุงอาหารกับเขาแล้ว  ฟ่านเจี่ยเจียน่าจะรู้สึกกระดากอายจริงๆ ถึงได้รีบเร่งจากไป  จนเหลือฉินฟางอยู่ในห้องครัวเพียงคนเดียว

 

ถ้าคุณต้องการทำเกี๊ยวแล้วเป็นธรรมดาที่จำเป็นต้องมีแป้งห่อเกี๊ยว  ซึ่งคนส่วนใหญ่ในเมืองจะซื้อแป้งห่อเกี๊ยวแบบสำเร็จรูปมาใช้  แต่ฉินฟางไม่ชอบแบบนั้นเพราะเขาชอบที่จะทำมันด้วยตัวเองมากกว่า  หลังจากทำการนวดแป้งโดว์อีกรอบและรีดให้บางจากนั้นก็พันทบเป็นชั้นๆ แล้วจึงหั่นมันเป็นเส้นแบนยาวจำนวนมากด้วยมีด  การเตรียมแป้งโดว์ที่ใช้ทำแป้งห่อเกี๊ยวถือว่าเสร็จสิ้น

 

จากนั้นเขาก็หยิบแป้งโดว์เส้นแบนยาวขึ้นมาหนึ่งเส้นเพื่อคลี่มันออก  เตรียมที่จะตัดมันออกเป็นชิ้นเล็กๆ

 

======

 

ทักษะที่เรียนรู้ : การทำบะหมี่

 

ทักษะความชำนาญ : ขั้นเริ่มต้น

 

ค่าประสบการณ์ : 0.1%

 

======

 

ขณะที่ทำการคลี่แผ่นแป้งโดว์ออกเป็นเส้นยาว  ข้อความหนึ่งก็ปรากฏขึ้นภายในจิตใจของฉินฟาง  ถึงแม้ว่าจะข้อความเหล่านั้นจะไม่มีเสียงประกอบ  แต่ฉินฟางก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีใครบางคนพูดตรงเข้ามาที่สมองของเขา

 

 

-----------------------------------

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด