ตอนที่แล้วตอนที่ 26   ส่วนที่ยื่นออกมา, ชุดชั้นใน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 28   ถูกจับได้?!

ตอนที่ 27   ชายหญิงอยู่กันตามลำพัง


ตอนที่ 27   ชายหญิงอยู่กันตามลำพัง

 

ผู้แปล  :  ThreeSwords

ปรับสำนวน  :  ThreeSwords

 

 

มองไปยังชุดชั้นในซึ่งอยู่ข้างในตะกร้าใบเล็ก  เป็นธรรมดาที่ฉินฟางจะจินตนาการว่าเซียวมู่เสวี่ยในเวลานี้ไม่ได้สวมอะไรไว้ใต้ร่มผ้า  หนุ่มบริสุทธิ์ที่อยู่ในวัยฉกรรจ์อย่างฉินฟางจึงไม่อาจที่จะระงับความคิดชั่วร้ายที่ผุดขึ้นมาภายในใจไว้ได้

 

น้ำที่เย็นเฉียบราดรดทั่วร่างกายของฉินฟาง  ดูเหมือนว่าเขากำลังจะพยายามใช้น้ำเย็นดับความปรารถนาในใจ  ต่อให้ผลลัพธ์ที่ได้เกือบจะเล็กน้อยก็ตาม  ช่วงเวลาที่เขาคิดถึงเรือนร่างผอมบางของเซียวมู่เสวี่ย  และยอดอกคู่นั้นที่ได้เห็น  เขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าความคิดอันชั่วร้ายในตัวได้แผ่ขยายขึ้น  จนไม่อาจขับไล่มันออกไปจากใจได้

 

ในสมองของเขา  เหมือนกับมีคนสองคนกำลังต่อสู้กันอยู่  คนหนึ่งเรียกว่าความดี  ส่วนอีกคนเรียกว่าความชั่ว

 

ความชั่วกำลังยุยงฉินฟางอย่างต่อเนื่องให้ทำการรวบรัดเซียวมู่เสวี่ยซะ  ในขณะที่ความดีนั้นก็คอยเตือนฉินฟางตลอดว่าเขาต้องไม่ฉวยโอกาสกับจุดอ่อนของคนอื่น

 

ด้วยความคิดสองฝ่ายที่ต่อสู้กัน  ก็ยิ่งทำให้ฉินฟางรู้สึกรวนเรมากขึ้น

 

ขณะที่เวลาผ่านล่วงไปอย่างช้าๆ  ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีก็เอาชนะความปรารถนาในใจได้ในท้ายที่สุด  ฉินฟางรู้ดีว่าต่อให้ตัวของเขาถูกกระตุ้น  เขาก็ไม่มีความกล้าและไม่ได้เต็มใจที่จะทำเช่นนั้น  เพราะถ้าเขาทำอย่างนั้นแล้วมันจะแตกต่างอะไรกับพวกอันธพาลอย่างเหลาซูเฉียงล่ะ?

 

ตอนที่ฉินฟางกลับไปที่ห้อง  เวลาก็ได้ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว  เพื่อข่มความปรารถนาในใจลง  สุภาพบุรุษอย่างเขาต้องสาดน้ำเย็นตลอดครึ่งชั่วโมง

 

เซียวมู่เสวี่ยในเวลานี้ได้ห่มผ้าคลุมร่างผอมบางของเธอไว้  ดังนั้นฉินฟางจึงไม่สามารถมองเห็นอะไรบนตัวเธอได้อีก  และเสื้อยืดสีขาวตัวโคร่งที่ดูเหมือนจะปิดบังอะไรไม่ค่อยได้นั้นเธอก็ยังคงสวมใส่อยู่  นอกจากนี้เธอก็นอนหันหลังให้กับฉินฟาง  อีกทั้งดูเหมือนว่าเธอจะหลับไปแล้วและไม่ได้รับรู้ว่าฉินฟางกลับเข้ามา

 

“เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน…”

 

ฉินฟางบอกตัวเองให้ทำใจหนักแน่น  จากนั้นก็จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย  ทำการปิดไฟและนอนลงบนฟูกที่ได้จัดเตรียมไว้

 

ท้องฟ้ายามราตรีเบื้องนอกในเวลานี้  มีดาวต่างๆ กำลังทอประกาย  และดวงจันทร์ที่สว่างสดใสซึ่งได้เคลื่อนไปอยู่กลางท้องฟ้าเป็นเวลานานแล้ว  อย่างไรก็ตาม ณ สถานที่แห่งนี้ก็ยังมีมุมที่แสงจันทร์จะฉายผ่านหน้าต่างบานเล็กเข้ามาในห้องของฉินฟางให้เขาได้ชื่นชน

 

บนเตียงข้างๆ เขามีสาวสวยนอนอยู่  นี่เป็นประสบการณ์ที่ฉินฟางไม่เคยประสบมาก่อนตลอดอายุสิบแปดปี  และความรู้สึกของเขาในเวลานี้ก็สับสนเป็นอย่างมาก  ตอนที่มองไปยังท้องฟ้านอกหน้าต่างจึงค่อนข้างใจลอย

 

เห็นได้ชัดว่าเขานอนไม่หลับ

 

เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้มันกระทันหันและไม่ธรรมดาเกินไป  ถึงแม้ว่าฉินฟางได้เตรียมตัวเตรียมใจมาแล้ว  แต่เขายังไม่สามารถยอมรับมันได้ในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้  และทำได้เพียงจัดระเบียบความคิดของเขาไปทีละนิด

 

อีกอย่างหนึ่งก็คือการปรากฏตัวของเซียวมู่เสวี่ย  ผู้ซึ่งทำให้ฉินฟางไม่รู้ว่าควรจะปฏิบัติต่อเธอยังไง  ปกติแล้วเขามีปฏิสัมพันธ์กับผู้หญิงโดยส่วนใหญ่นับครั้งได้  มีเพียงถังเฟยเฟยที่เขาใกล้ชิดมากกว่าปกติเพราะได้เปิดร้านขายบะหมี่ร่วมกัน  แต่เมื่อเปรียบเทียบกับถังเฟยเฟยซึ่งเป็นหญิงสาวที่กระตือรือล้นและน่ารักแล้ว  เซียวมู่เสวี่ยดูจะเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนและสงบเสงี่ยมแทน  พวกเธอทั้งคู่เป็นหญิงสาวที่มีบุคลิกภาพแตกต่างกัน  และทั้งคู่ต่างสร้างความประทับใจที่ล้ำลึกให้กับฉินฟาง

 

คืนนี้มันยากที่หลับตาลงนอนได้จริงๆ

 

แต่นอกจากฉินฟาง  เซียวมู่เสวี่ยซึ่งนอนหันหน้าเข้ากับกำแพงก็ประสบกับเรื่องร้ายเช่นเดียวกัน  แล้วตัวเธอจะหลับตาลงไปได้อย่างไร?

 

เธอเป็นเพียงหญิงสาวที่ธรรมดามากๆ  และพักอาศัยอยู่กับญาติของเธอจนเมื่อก่อนหน้านี้  เธอไม่คิดว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไปชั่วข้ามคืน  ญาติเพียงคนเดียวที่พึ่งพาได้ในเมืองแห่งนี้คือลุงของเธอ  แต่เขาก็ทอดทิ้งเธอไปทั้งที่รู้ดีว่าเธอจะโดนอันธพาลสามคนนั่นทำมิดีมิร้าย  ท้ายที่สุดก็ไม่แม้แต่จะส่งคนหรือกลับมาช่วยเหลือเธอ

 

จากวินาทีนั้นเซียวมู่เสวี่ยก็ตัดสินใจที่จะออกมาจากบ้านญาติซึ่งนำความเศร้าเสียใจมาให้กับเธอ  และเนื่องจากไม่ได้สนิทกับลุงเธอตั้งแต่แรก  เธอจึงไม่คิดที่จะมีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาอีกต่อไป

 

การขอร้องฉินฟางให้เธอไปอยู่ด้วยนั้นจริงๆ แล้วเสี่ยงมาก  แต่เธอก็ทำมันโดยรับรู้ถึงความเสี่ยงนั้นอย่างเต็มที่  เพราะฉินฟางสมัครใจช่วยเหลือเธอ  ทั้งๆ ที่เขาก็รู้ว่าตัวเองเสียเปรียบพวกอันธพาลสามคนนั่น  ซึ่งนี่แสดงให้เห็นถึงตัวตนของฉินฟางอย่างแท้จริง

 

เธอเป็นหญิงสาวธรรมดาทั่วไปที่เคยวาดฝันเอาไว้เช่นกัน  เธอฝันว่าวันหนึ่งจะมีเจ้าชายขี่ม้าขาวมาช่วยเมื่อเธอประสบปัญหา

 

แม้ว่าวิธีที่ฉินฟางช่วยเธอนั้นจะห่างไกลจากที่เธอวาดฝันไว้  แต่ภาพที่เขาถือก้อนอิฐเข้ามาช่วยเหลือเธอโดยไม่มีความเกรงกลัวนั้นได้สร้างความประทับใจให้กับเซียวมู่เสวี่ยอย่างล้ำลึก  เธอเชื่อว่าตัวเองจะไม่มีทางลืมภาพนั้นตลอดชีวิต

 

“ฉินฟาง  นายหลับไปหรือยัง?”

 

หลังจากเวลาผ่านไปนานมาก  เซียวมู่เสวี่ยก็ยังไม่สามารถหลับลงได้  ตอนที่เธอทำการเคลื่อนไหวตัวเล็กน้อยก็เห็นฉินฟางนอนขยับตัวไปมาด้วยความช่วยเหลือของแสงจันทร์  พอเห็นอย่างนั้นแล้วเธอจึงไม่สามารถหักห้ามความต้องการที่จะเอ่ยปากถามฉินฟางถ้าเขายังตื่นอยู่

 

“ยังไม่หลับ...”

 

ฉินฟางเงียบอยู่สักพัก  ก่อนที่จะตอบกลับไปในท้ายที่สุด

 

“ฉันนอนไม่หลับ... พวกเราคุยกันได้ไหม?”

 

เซียวมู่เสวี่ยถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ

 

“ได้สิ  เธออยากคุยเรื่องอะไรล่ะ?”

 

“แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับนาย!  ฉันรู้ว่านายแข็งแรงมาก  สามารถเอาชนะคนสามคนเพียงลำพัง  แถมยังรู้วิธีทำเส้นบะหมี่ด้วย...”

 

เซียวมู่เสวี่ยพูดอย่างเบิกบานใจ

 

“ผมทำบะหมี่ขายเพราะความจำเป็นน่ะ  ครอบครัวของผมยากจนมาก  ผมไม่ต้องการให้แม่ตรากตรำทำงานหนักเกินไป  ก็เลยมาที่เมืองหนิงไห่เพื่อหางานทำ  แต่ใครจะรู้ว่า...”

 

ฉินฟางเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับหลี่เฟิง

 

“โชคดีที่ชีวิตมักจะมีความหวังเสมอ  เนื่องจากผมมีความชำนาญเฉพาะ  ถึงแม้ว่าการเปิดร้านค้าแผงลอยจะค่อนข้างเหนื่อย  แต่ผลตอบแทนที่ได้ก็เป็นชิ้นเป็นอัน”

 

“น่าอิจฉาจัง”

 

เซียวมู่เสวี่ยยิ้ม  ถึงภายในห้องจะค่อนข้างมาก  แต่ฉินฟางก็ยังสามารถนึกภาพสีหน้าของเธอในเวลานี้ได้

 

“โอ้  ใช่แล้ว!  บาดแผลของนาย...”

 

จู่ๆ เซียวมู่เสวี่ยก็จำได้ว่าก่อนหน้านี้ฉินฟางถูกแทงที่เอว  และยังไม่ได้ไปโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษา  ซึ่งมันเป็นการกระทำที่อันตรายมาก  เพราะถ้ารักษาไม่ทันท่วงทีก็อาจมีผลกระทบในภายหลังได้

 

“ไม่มีปัญหา  ร่างกายของผมแตกต่างจากคนอื่น  ตราบเท่าที่ไม่ได้แทงผมตายในทันทีแล้ว  ไม่ว่าบาดแผลจะหนักขนาดไหน  มันก็จะค่อยๆ ฟื้นกลับคืนมา  ไม่ต้องกังวล!”

 

ฉินฟางพูดยิ้มๆ  ถึงแม้ว่าจะยังมีรอยแผลอยู่  แต่ความเจ็บปวดได้หายไปนานแล้ว  เลือดก็หยุดไหลอย่างสมบูรณ์เช่นกัน  ตอนนี้บาดแผลกำลังสมานกันอย่างช้าๆ  บางทีตอนที่เขาตื่นขึ้นมาเช้าพรุ่งนี้ก็อาจไม่พบร่องรอยของแผลอีกเลย

 

“ขอโทษจริงๆ ค่ะ  มันเป็นเพราะฉันที่ลากนายเข้ามาพัวพันกับเรื่องวุ่นวายนี่”

 

เสียงของเซียวมู่เสวี่ยเบามากๆ  และเธอก็อยู่ในอารมณ์ที่เศร้าสร้อยด้วย  ฉินฟางเดาว่าเธอต้องนึกถึงคนอ้วนเฉินที่ทอดทิ้งเธอไป...

 

“อย่าไปคิดถึงมันเลย  มีใครบ้างที่ไม่เคยประสบกับความยากลำบากมาก่อน?  เวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น...”

 

“ขอบคุณค่ะ”

 

“ขอบคุณผมเรื่องอะไรกันล่ะ?  มาคุยเกี่ยวกับเรื่องของเธอบ้าง  เธอดูไม่เหมือนคนในพื้นที่ของเมืองหนิงไห่...”

 

ฉินฟางพูดอย่างร่าเริง

 

“นายเดาแม่นมาก!  ฉันเป็นคนซูโจวและมาที่นี่ด้วยเหตุผลเดียวกับนาย  ฉันกำลังจะเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยหนิงไห่  ที่บ้านเกิดของฉันเหลือเพียงปู่กับย่า  เพื่อให้แน่ใจว่าฉันจะได้เรียนในสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย  พวกท่านเลยย้ายเข้าไปอยู่บ้านพักคนชราด้วยความยินยอมพร้อมใจ  ดังนั้นฉันจึงจำเป็นต้องมายังเมืองหนิงไห่โดยไม่มีทางเลือก  ตอนแรกฉันมีแผนที่จะทำงานในร้านของลุง  แต่...”

 

เซียวมู่เสวี่ยพูดเกี่ยวกับครอบครัวของเธอโดยสังเขป  สถานการณ์การเงินของเธอเป็นเหมือนกับของฉินฟาง  แต่อย่างน้อยฉินฟางก็ยังมีแม่  ขณะที่พ่อแม่ของเซียวมู่เสวี่ยเสียชีวิตในอุบัติเหตุทางรถยนต์  ถ้าไม่เป็นเพราะเงินประกันที่ได้รับนั้นค่อนข้างมาก  เซียวมู่เสวี่ยก็อาจจะต้องเลิกเรียนและแต่งงานกับใครสักคนไปแล้ว

 

“ไม่ต้องคิดมากนะ  สักวันหนึ่งเรื่องเลวร้ายพวกนั้นก็จะสิ้นสุดลง...”

 

ฉินฟางพูดอย่างแผ่วเบา  เซียวมู่เสวี่ยเป็นคนอ่อนโยนและสงบเสงี่ยม  อีกทั้งไม่ใช่คนที่ชอบพูดคุยอีกด้วย  แต่เธอก็มีบุคลิกที่ร่าเริง  อย่างน้อยในขณะที่ฉินฟางยังคงจมปลักกับความจริงที่ว่าตัวเขาไม่เคยเจอหน้าพ่อสักครั้ง  เซียวมู่เสวี่ยสามารถก้าวผ่านความเจ็บปวดของการสูญเสียพ่อแม่ในคราวเดียวไปได้  ตอนนี้เธอจึงทุ่มเทอย่างเต็มที่ในการใช้ชีวิต

 

“เรื่องที่ฉันขอร้องนายก่อนหน้านี้  นายตกลงไหม?”

 

เซียวมู่เสวี่ยนิ่งไปชั่วขณะ  จากนั้นก็ถามฉินฟางด้วยเสียงเล็กๆ ของเธอ

 

“ขอร้องเรื่องอะไรงั้นเหรอ?”

 

ฉินฟางคิดย้อนกลับไปเล็กน้อย  แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าเธอได้พูดขอร้องเรื่องอะไรไว้

 

“ก็เรื่องที่ฉันจะไปทำงานร้านนายไง!  ขอแค่มีที่พักกับอาหารให้  ไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าจ้างให้ฉัน...”

 

เซียวมู่เสวี่ยรีบพูด  แสดงให้เห็นว่าเธอนั้นเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขนาดไหน

 

“เรื่องนี้... ผมรู้สึกไม่สะดวกใจจริงๆ  ร้านของลุงเธอตั้งอยู่ข้างๆ ร้านผมน่ะ”

 

ฉินฟางพูดด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก  โชคยังดีที่แสงในห้องนั้นสลัว  เซียวมู่เสวี่ยจึงไม่สังเกตเห็นสีหน้าของเขา

 

“ไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องนั้น  ตอนนี้ฉันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาอีกต่อไป...”

 

แม้ว่าเซียวมู่เสวี่ยจะเป็นคนอ่อนโยนและอดทนอดกลั้น  แต่เธอก็ยังเป็นคนที่ใจเด็ดอีกด้วย  เธอประกาศว่าความสัมพันธ์ของเธอกับลุงเธอนั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว  เพราะสิ่งที่คนอ้วนเฉินปฏิเสธได้ทำร้ายจิตใจเธออย่างสาหัส  ดังนั้นเธอจึงไม่จำเป็นต้องมีมารยาทกับเขาอีกต่อไป

 

“ก็ได้... พวกเรามาลองกันดู”

 

ฉินฟางคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง  และเห็นด้วยในท้ายที่สุด  เพราะเขาจำเป็นต้องได้ผู้ช่วยเพิ่ม  อีกทั้งคนอ้วนเฉินกับเขาในเวลานี้ก็ได้กลายเป็นศัตรูกันแล้ว  ตั้งแต่ที่คนอ้วนเฉินได้พยายามทำลายร้านของเขา  จึงเป็นธรรมดาที่ฉินฟางจะไม่แสดงความเมตตาสงสาร

 

ในเมื่อพวกเขาถูกกำหนดให้ต้องต่อสู้กันแล้ว  ทำไมถึงไม่โจมตีให้หนักข้อขึ้นล่ะ?

 

การให้เซียวมู่เสวี่ยมาช่วยงานที่ร้านของเขา  ต่อให้เธอไม่สามารถช่วยงานอะไรได้  แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้คนอ้วนเฉินรู้สึกผิดและละอายอย่างหนักกับความจริงที่เขาทำกับเธอ  นอกจากนี้เซียวมู่เสวี่ยเป็นคนที่สวยมาก  ซึ่งน่าจะช่วยเรียกลูกค้ามาเข้าร้านเพิ่มได้

 

 

……………………………..

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด